กูเสี่ยวซูเดินออกมาด้วยสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าซีดเซียว
ซูชีรีบลุกขึ้นยืน แต่กลับไม่ได้เดินไปข้างกายนาง
เขายืนมองนางเงียบๆ อยู่ตรงนั้น
ทันทีที่กูเสี่ยวซูเปิดประตู ย่อมมองเห็นเงาร่างของซูชีเป็นธรรมดา
นางคิดอยากจะทักทายอย่างไม่ถือสา หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังเหมือนเช่นเคย แต่นางค้นพบว่าทำไม่ได้เลยสักนิดเดียว
เมื่อวานตอนซูชีจะออกไปได้กล่าววาจาเหล่านั้น นางได้ยินทั้งหมดแล้ว เรื่องพวกนั้นที่ซูชีทำกับนาง นางก็รู้เช่นกัน เมื่อครู่ที่ตื่นขึ้นมา ก็อธิบายทั้งหมดได้ชัดเจนแล้วเช่นกัน!
แต่กูเสี่ยวซูไม่รู้ว่าตนเองควรจะรู้สึกโชคดี หรือจนปัญญาที่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไปไม่ถึงขั้นสุดท้าย
เพราะในใจซูชีมีคนคนหนึ่งที่ไม่เคยลืม
กูเสี่ยวซูอยากจะหึง และริษยา แต่คนผู้นั้นคือมั่วเชียนเสวี่ย ผู้เป็นสหายที่ดีของนาง! แบบนี้ ความรู้สึกโกรธเคืองของนางจึงไม่ปะทุขึ้นมาเลยสักนิดเดียว
เชียนเสวี่ยโดดเด่นขนาดนั้น ถูกทุกคนชอบย่อมเป็นเรื่องสมเหตุสมผล!
กูเสี่ยวซูหลับตาลงอย่างจนปัญญา มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันเล็กน้อย นี่คือรอยยิ้มเยาะเย้ยตนเอง
เย้ยหยันตนเองที่ไม่รู้จักประมาณกำลังของตน
“เจ้า…เจ้าได้สติแล้วหรือ ร่างกายดีขึ้นบ้างไหม”
ทั้งสองคนเงียบกันไปครู่หนึ่ง
สุดท้ายคนที่เอ่ยปากก่อนก็คือซูชี
เมื่อเห็นกูเสี่ยวซูยืนอยู่ที่หน้าประตูโดยไม่พูดไม่จาด้วยท่าทางผิดหวังท้อแท้ใจ เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมในใจถึงเกิดความรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาครู่หนึ่ง แต่เขากลับนึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะความรู้สึกเสียใจ!
เป็นความรู้สึกเสียใจที่เขามีต่อท่านหญิงซูซู
กูเสี่ยวซูพยักหน้า นางไม่อยากพูด และไม่กล้าพูดเช่นกัน
เมื่อวานนี้ผ่านมาอย่างทุกข์ทรมานเกินไป จนกระทั่งตอนนี้นางยังรู้สึกเจ็บคอยิ่งนัก
นางไม่อยากเอ่ยวาจาใด ไม่อยากเผยน้ำเสียงที่แหบพร่าของตนเองออกมาเมื่อเอ่ยพูด
“ข้าอุ่นอาหารเช้าแล้ว กินสักหน่อยเถอะ” ซูชีเอ่ยแล้วหันกลับไปเตรียมยุ่งกับการอุ่นอาหาร แต่กลับถูกกูเสี่ยวซูปฏิเสธเรียบๆ
ตอนนี้ไม่เอ่ยวาจาก็คงจะไม่ได้แล้ว
“ไม่ล่ะ…” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาทำให้ตกใจสะดุ้งได้แม้กระทั่งตนเอง
แหบพร่าเกินไปแล้ว น่าเกลียดเกินไปแล้ว!
แต่ว่า กูเสี่ยวซูยังคงกลืนน้ำลายให้คอชุ่มชื้นเล็กน้อย แล้วเอ่ยต่อว่า “ข้าไม่กิน ไม่หิว ข้าอยากออกไปเดินเล่นสักหน่อย”
“ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า!”
“ไม่ต้อง! ข้าอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”
ซูซูเอ่ยจบก็ไม่มองท่าทีของซูชี นางก้าวเท้าเดินออกไปทันที
ซูชีเห็นแผ่นหลังที่จากไปของนางแล้ว ก็อ้าปากอย่างต้องการจะพูดอะไรบางสิ่ง แต่สุดท้ายกลับทำได้แค่ปิดปากลงเท่านั้น
นางอารมณ์ไม่ดี เขาเข้าใจได้
ช่างเถอะ อยู่เงียบๆ คนเดียวก็ดี พอดีเลย เขาก็จำเป็นต้องอยู่เงียบๆ คนเดียวเช่นกัน!
ซูชีมองเตาทำอาหารที่ถูกตนเองจุดไฟเอาไว้ แล้วเม้มปาก หมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง
สองวันมานี้เกิดเรื่องขึ้นเยอะเกินไปแล้ว ทำให้พวกเขาล้วนรู้สึกเหนื่อยล้า
ท่านหญิงซูซูเดินออกมาจากบ้านไร่ มุ่งตรงไปข้างหน้าแบบนั้น ทั้งที่สวมเสื้อผ้าบางมาก
ความจริงแล้ว กระทั่งตัวท่านหญิงซูซูเองก็ไม่รู้ว่าตนเองควรจะไปที่ไหน แต่อยู่ในห้องก็รู้สึกว่า กระทั่งหายใจก็รู้สึกลำบากอย่างเห็นได้ชัด ทุกครั้งที่สูดลมหายใจเข้า นางล้วนเจ็บปวด รวดร้าวยิ่งนัก
ช่วยไม่ได้ สุดท้ายนางก็ทำได้แค่ออกมาข้างนอก ทำได้เพียงเลือกที่จะออกจากสถานที่ที่ทำให้นางหายใจไม่ออกแห่งนั้น
นางกอดแขนสองข้างของตนเองแน่น ลมหนาวในเดือนสิบสอง อากาศแบบนี้เป็นของจริงไม่ใช่ของปลอม
สุดท้ายกูเสี่ยวซูก็ยืนอยู่หน้าแม่น้ำที่ถูกความเย็นทำให้กลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว นางเหม่อมองลำน้ำที่แข็งตัวเป็นน้ำแข็งหนาๆ ชั้นหนึ่ง
ความจริง นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นเมื่อวาน
แม้ว่านางจะเอาแต่ใจและดุร้าย แต่กลับรู้จักขอบเขต
อีกอย่างกูเสี่ยวซูก็รู้เช่นกันว่า ซูชีรังเกียจเด็กสาวที่เอาแต่ใจ ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนแปลงไปเยอะมากแล้ว!
นางอยากเป็นสตรีที่มีความสามารถและคู่ควรกับเขาคนหนึ่ง!
เหมือนกับมั่วเชียนเสวี่ย
แต่หลังจากเกิดเรื่องเมื่อวานขึ้น กูเสี่ยวซูพลันรู้สึกไม่แน่ใจเสียแล้ว
จู่ๆ นางก็ไม่แน่ใจแล้วว่า เหตุผลที่ตนเองยืนหยัดเป็นเวลานานขนาดนี้นั้นคืออะไรกันแน่ สุดท้ายแล้วจะได้ผลลัพธ์แบบไหน?
ไม่ใช่ว่านางอยากล้มเลิกกลางคัน แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสีหน้าท่าทางเย็นชาของซูชี เมื่อต้องเห็นแววรังเกียจที่ซูชีมีต่อหน้าอย่างไม่ปิดบัง หัวใจของนางก็เจ็บปวด และนางก็รู้สึกเหนื่อยเช่นกัน
นั่นเป็นความเหนื่อยที่เกิดจากจิตใจมาถึงร่างกาย ความเหนื่อยจากภายในสู่ภายนอก
ซูชีไม่ได้รักนาง!
นางไม่มีฐานะอะไรในหัวใจซูชีเลยสักนิดเดียว
กระทั่ง…คุณสมบัติในการเป็นตัวแทนก็ไม่มี!
พริบตาเดียว ระยะห่างของเวลาที่ตกลงกันเอาไว้ก็เหลือไม่กี่วันแล้ว จนถึงตอนนี้กูเสี่ยวซูอดรู้สึกสงสัยไม่ได้ว่า ระหว่างนางกับซูชีจะมีความเป็นไปได้จริงๆ หรือ
ดูเหมือนว่า…จะเป็นไปไม่ได้แล้วสินะ
“ท่านหญิงซูซู ด้านนอกอากาศหนาวเย็น หากเป็นไข้จากลมหนาวขึ้นมาก็คงจะไม่ดีแล้ว เพราะฉะนั้นกลับกันเถอะ”
ตอนนี้เองที่มีเสียงดังลอยมาจากด้านหลัง กูเสี่ยวซูหันหน้าไป ก็เห็นว่าในมือจ้าวเฟยลู่ถือเสื้อคลุมตัวหนึ่งยืนอยู่ข้างหลังตนเอง
ไม่ใช่เขา…
เขาไม่ได้ตามมา
เขาไม่มีความสงสารให้ตนเองเลยแม้แต่น้อย แม้จะเห็นว่านางสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นขนาดนี้ออกมาข้างนอก ก็ไม่เคยจะเป็นห่วงเลยสักครั้ง
เขาไม่อยากพบนางอีกแล้วหรือ
ซูซูซุกหน้าเข้ากับแขนทั้งสองข้างของตนเอง เหมือนกับนกกระจอกเทศตัวหนึ่ง
นางเอ่ยกับจ้าวเฟยลู่ที่อยู่ไม่ไกลจากด้านหลังตนเองด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้า…อยากอยู่ที่นี่อีกสักครู่”
กลับไปแล้วจะทำอะไรได้?
หลังจากกลับไปแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าต้องอยู่กับช่องว่างที่ยากจะผสานกันกับซูชี การอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนั้น ไม่สู้อยู่แบบนี้ดีกว่า แม้ว่าจะหนาวไปหน่อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ทำให้ทรวงอกเจ็บปวดไปด้วย
ท่านหญิงซูซูคิดไปคิดมา น้ำตาก็หลั่งรินราวกับสายฝน!
จ้าวเฟยลู่ได้ยินวาจานี้แล้ว ก็ส่ายหน้าถอนหายใจ
โบราณกล่าวไว้ว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์
เขาคลุมเสื้อคลุมลงบนร่างท่านหญิงซูซูเงียบๆ แล้วยืนอยู่ข้างลำน้ำ เหม่อมองไปยังสถานที่ไร้นามบางแห่งเป็นเพื่อนนาง
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น จ้าวเฟยลู่ก็เปิดปากเอ่ยพูด
“หากว่าท่านหญิงซูซูชอบคุณชายซูชีจริงๆ เหตุใดจึงไม่ทดสอบเขาสักครา? หากสำเร็จ ทุกคนล้วนดีอกดีใจกันถ้วนหน้า ไม่สำเร็จ ท่านก็สามารถปล่อยวางได้อย่างแท้จริง และไม่ต้องโศกเศร้าเสียใจอยู่คนเดียวเหมือนในตอนนี้”
กูเสี่ยวซูได้ยินแล้วก็ตะลึงไปเล็กน้อย…
“ทดสอบหรือ”
ทดสอบซูชีน่ะหรือ
นางยิ้มเจื่อน ซูชีไม่ต้องให้นางไปทดสอบด้วยซ้ำ เพราะตัวเขาไม่มีความรู้สึกใดๆ กับนางเลยสักนิดเดียว หากว่าต้องการเพิ่มความรู้สึกอะไรเข้าไปจริงๆ ล่ะก็ เช่นนั้นก็อาจจะเป็นมิตรภาพหลังจากร่วมรบด้วยกัน เป็นมิตรภาพระหว่างสหาย หรือพี่น้องพวกนั้น
ความจริงแล้ว ไม่ใช่ว่านางไม่เคยคิดถึงคำแนะนำที่จ้าวเฟยลู่เสนอมา
สาเหตุที่นางลังเลไม่กล้าตัดสินใจก้าวไปข้างหน้า ไม่กล้าลงมือกระทำมาตลอด