“ใต้เท้าหลิว ข้าขออาสาขอรับ! อย่างน้อยข้าก็เคยร่ำเรียนวิชาอาคมมาก่อน!” เด็กหนุ่มรีบพูด ใบหน้าของเขาซีดเผือด และเห็นได้ชัดว่าเขาหวาดกลัวเพียงใด แต่แม้ว่าเขาจะกลัว เขาก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะปกป้องบ้านเมืองของตน!
แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของเขาเองก็ตาม!
ในฐานะขุนนางแห่งราชสำนัก หลิวอวี้ย่อมไม่สามารถทนเห็นเด็กหนุ่มส่งตัวเองไปตายก่อนวัยอันควรได้
ผู้อาวุโสซวีอู๋คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าปฏิกิริยาของหลิวอวี้จะต้องออกมาเป็นเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงได้กดดันอีกฝ่าย
ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์เอ่ยความกังวลของตัวเองออกมาเสียงเบา นางแสร้งทำเหมือนเป็นห่วงเฮ่อเหลียนเวยเวย ”ถ้าพวกเขาไม่สามารถหาคนมาลงประลองได้ครบ เช่นนั้นพระชายาสามก็จะถูกปรับแพ้ในยกนี้ทันทีหรือ”
“หากว่ากันตามกติกาการประลองก็เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ นางจะแพ้ในยกนี้” ผู้อาวุโสซวีอู๋ตอบ น้ำเสียงของเขาคล้ายกำลังบอกว่ากติกาการประลองนี้ล้วนแต่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม แต่คนที่มีสมองย่อมสามารถบอกได้ว่ากติกาเหล่านี้ล้วนแต่เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากกว่า
ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปากของตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงว่า ”หากเป็นเช่นนั้นเราก็คงไม่มีทางเลือก ดูเหมือนว่าจักรวรรดิจ้านหลงจะไม่สามารถหาตัวแทนมาลงแข่งได้อีก”
เมื่อได้ยินบทสนทนานั้น เด็กหนุ่มก็ร้อนใจขึ้นมาทันที เขาร้องออกมาว่า ”ใต้เท้าหลิวขอรับ!”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หลิวอวี้ก็กัดฟันกรอด แล้วเอ่ยเสียงลอดไรฟันว่า ”ในเมื่อเป็นเช่นนั้น…”
ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดต่อ คำพูดของเขาก็พลันถูกน้ำเสียงอันไพเราะและสง่างามที่คุ้นเคยขัดขึ้นเสียก่อน น้ำเสียงนั้นดังมาจากชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ”เช่นนั้นข้าจะลงแข่งเอง”
อะไรนะ
ทุกคนหันหน้ากลับไปยังต้นเสียง!
ดวงตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขณะที่เขาวางขาลงบนพื้น แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เสื้อคลุมสีดำทิ้งตัวลงยาวจรดข้อเท้าอยู่ด้านหลังของเขา แต่มันไม่ได้สกปรกหรือเปรอะเปื้อนฝุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว ใบหน้าด้านข้างอันสมบูรณ์แบบของเขาเปล่งประกายราวกับเพชรและประติมากรรมน้ำแข็งที่ได้รับการแกะสลักมาอย่างประณีต ขณะที่เส้นผมของเขาปลิวสยายอยู่ในสายลม ชายหนุ่มดูเหมือนเทพเจ้าที่อยู่เหนือโลกทั้งใบ!
คำพูดสั้นๆ ของเขาทำให้ทั้งท้องพระโรงตกอยู่ในความโกลาหล!
ขุนนางทุกคนต่างรีบส่งเสียงคัดค้านอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า ”องค์ชายจะลงแข่งไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
แม้แต่หลิวอวี้ก็แสดงออกว่าไม่เห็นด้วยเช่นกัน เขาคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น ”องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ การขับไล่วิญญาณร้ายแตกต่างจากวรยุทธ์ คราวนี้อีกฝ่ายเป็นวิญญาณร้ายที่สามารถเข้าสิงมนุษย์ได้ ท่านจะ…”
“วิญญาณร้ายพวกนั้นจะเข้าสิงข้าหรือ” รอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนรอยยิ้มวาดอยู่บนริมฝีปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”ข้าก็อยากเห็นเหมือนกันว่าจะมีวิญญาณร้ายตนใดกล้าพอจะเข้าสิงข้าหรือไม่”
หลิวอวี้อ้าปากเหมือนต้องการพูดอะไรบางอย่างเพิ่มเติม
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับพาไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเข้าประจำที่ ”หลังจากนี้ท่านต้องยืนอยู่หลังข้า ข้าจะอยู่ข้างหน้าเพื่อจัดการกับวิญญาณร้ายเอง จำไว้ให้ดีล่ะว่าอย่าให้วิญญาณพวกนั้นเห็นท่านได้ ไม่อย่างนั้นท่านอาจจะถูกวิญญาณพวกนั้นกระทำชำเราเอาได้เพราะใบหน้าอันงดงามของท่าน”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลิวอวี้ก็ตกตะลึง กระทำชำเราหรือ ตอนนี้ปัญหามันอยู่ที่ตรงนั้นเสียเมื่อไหร่กัน
“ได้” ตอนนี้องค์ชายกลับว่าง่ายจนน่าประหลาดใจ เขาเดินตามหลังเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยท่าทางสบายๆ เหมือนกำลังรออาหารมาวางตรงหน้า ท่าทางของเขายังคงสง่างามเหมือนเคย
เด็กชายตัวน้อยส่ายหน้า และคิดกับตัวเองว่า นายท่านช่างหน้าไม่อายจริงๆ เขาวางใจปล่อยให้พี่สะใภ้สามสู้อยู่ข้างหน้าด้วยตัวคนเดียวขณะที่เขาหลบอยู่ข้างหลัง และคอยดูดกลืนปราณแห่งความเคียดแค้นได้อย่างไร
ชิงหลงกับกิเลนอัคคีรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี โดยปกติแล้ววิญญาณร้ายจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้านายท่าน พวกมันจะรีบหนีไปทันทีที่สัมผัสได้ถึงอันตราย
แต่ในเมื่อมีพระชายาคอยเป็นเกราะให้กับนายท่าน วิญญาณร้ายจึงแทบสัมผัสถึงตัวตนของเขาไม่ได้
จากนั้นสิ่งเดียวที่นายท่านต้องทำก็เพียงแค่ยืนอาบปราณแห่งความเคียดแค้นอยู่ตรงนั้น
แม้การนินทานายท่านลับหลังจะเป็นเรื่องไม่สุภาพ
แต่พวกเขาต้องบอกว่านิสัยบางอย่างของนายท่านช่าง… ไม่น่ารักเอาเสียเลย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเยือกเย็นอย่างมาก เขาชำเลืองมองพวกเขาอย่างเย็นชาก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ‘ถ้าพวกเจ้าเก่งจริง เช่นนั้นป่านนี้เจ้าก็คงหาคนมาป้อนข้าวป้อนน้ำให้ได้แล้วกระมัง ยังไม่ต้องพูดถึงเจ้าเจ็ด กิเลน ฝีมือการเย็บปักถักร้อยของเจ้าก็จัดว่าไม่ได้แย่นัก แต่มันก็ผ่านมาเนิ่นนานหลายร้อยปีแล้วนี่ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์สาวสวยของเจ้าอยู่ที่ไหนหรือ’
กิเลนอัคคียืดคอขึ้น ก่อนหันหน้าหนีไปอีกทางพร้อมกับหลั่งน้ำตาออกมาอย่างเงียบๆ
ท่านจำเป็นต้องเล่นงานข้าเป็นการส่วนตัวด้วยหรือขอรับ กิเลนอัคคีรู้ดีแก่ใจว่าจนกระทั่งวันนี้มันก็ยังหาอีกตัวที่เป็นครึ่งหนึ่งของตัวเองไม่เจอ! นายท่านจงใจหยิบเรื่องการตามหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สาวสวยของเขามาพูดชัดๆ!
‘เจ้าร้องไห้ทำไม’ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปลอบมันอย่างไม่ใส่ใจนักผ่านกระแสจิต ‘หากหมดหนทางจริงๆ เช่นนั้นข้าจะให้ชิงหลงแต่งงานกับเจ้า’
กิเลนอัคคี : …เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งได้ยินเรื่องบ้าอะไรกัน
ชิงหลง : …นี่โลกกำลังจะถึงจุดจบแล้วหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับไปมองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองตัวที่อยู่ในร่างมนุษย์ นางเดาว่าคำพูดขององค์ชายคงกระตุ้นอะไรในตัวพวกเขาเข้าจนทำให้ใบหน้าทรงเสน่ห์และชั่วร้ายของพวกเขาแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาได้ถึงเพียงนี้!
น่ากลัวชะมัด! เด็กชายตัวน้อยมองเหตุการณ์นี้อยู่เงียบๆ จากด้านข้าง เขาถึงกับรู้สึกอยากกอดขานายท่านเอาไว้แน่นๆ เลยทีเดียว เมื่อคิดได้ดังนั้นเด็กชายจึงใช้ขาสั้นๆ ของตัวเองเดินเตาะแตะเข้าไปหาอีกฝ่าย แล้วย่อตัวลงที่เท้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนนอกย่อมมองไม่เห็นทั้งกิเลนอัคคีและชิงหลง รวมถึงไม่ได้ยินบทสนทนานั้นอีกด้วย พวกเขาจึงทำเพียงแค่มองดูองค์ชายสามยืนนิ่งอยู่กลางท้องพระโรง บรรดาเสนาบดีจากจักรวรรดิจ้านหลงต่างก็รู้สึกเป็นห่วงและร้อนใจยิ่งนัก
องค์ชายสามไม่เหมือนกับองค์ชายพระองค์ใด
ทันทีที่เขาตัดสินใจทำอะไรบางอย่างแล้ว ย่อมไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเขาได้
แต่องค์ชายสามไม่เคยเรียนศาสตร์แห่งหยินหยางในการขับไล่วิญญาณร้ายมาก่อน
ถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา จักรวรรดิจ้านหลงจะทำอย่างไร
แน่นอนว่าซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ย่อมไม่ต้องการเห็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตกอยู่ในอันตราย นางจึงอดไม่ไหวที่จะเอ่ยเตือนเขาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงว่า ”องค์ชายสามเพคะ พลังของวิญญาณร้ายนั้นแตกต่างจากวิญญาณธรรมดามาก หากท่านถูกสิง ผลที่ตามมาย่อมยากเกินจะคาดเดาได้ หม่อมฉันคิดว่าคงจะดีกว่าหากท่านปล่อยให้…”
“อวี้เอ๋อร์” ซงเจิ้งเหวินเหรินตัดบทนางอย่างเย็นชา เขายืนตระหง่านอยู่กลางท้องพระโรงพร้อมกับจ้องมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ”ในเมื่อพี่ไป๋หลี่อยากลอง เจ้าก็ไม่ควรพยายามที่จะเกลี้ยกล่อมเขา ยืนดูอยู่เงียบๆ ก็พอ”
ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์กำมือขวาแน่น ”ท่านพี่ ท่านสัญญากับข้าแล้วว่าท่านจะพยายามคลี่คลายปัญหานี้อย่างสันติ!”
“ข้าต้องการสร้างสันติกับพวกเขาเสมอ ตราบใดที่พี่ไป๋หลี่สัญญาว่าจะรับเจ้าเป็นพระชายา เช่นนั้นพวกเราก็สามารถข้ามการประลองในครั้งนี้ไปได้ทุกเมื่อ” ซงเจิ้งเหวินเหรินยืนขึ้นพร้อมกับเอามือไพล่หลัง ก่อนกล่าวเสริมด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า ”ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพี่ไป๋หลี่แต่เพียงผู้เดียว”
ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์มองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างมีความหวัง
แต่ชายคนนั้นกลับไม่เคยปรายตามามองนางเลยตั้งแต่ต้นจนจบ เขากลับเอาแต่ง่วนอยู่กับการสางผมราวเส้นไหมของเฮ่อเหลียนเวยเวย ใบหน้าด้านข้างของเขาดูหล่อเหลาและน่าดึงดูดอย่างยิ่ง
ราวกับทนมองภาพนี้ไม่ไหวอีกต่อไป ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์จึงขึ้นเสียงใส่เฮ่อเหลียนเวยเวยว่า ”พระชายาสามยอมให้องค์ชายสามต้องเสี่ยงอันตรายแทนที่จะยอมถอยหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว แล้วปรายตามองไปทางซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ นางตอบอีกฝ่ายด้วยมาดราวกับนางพญาว่า ”อันที่จริงเขาอยู่ข้างข้าจะปลอดภัยที่สุด ดังนั้นทำไมข้าจะต้องยอมถอยด้วยล่ะ ยิ่งกว่านั้น องค์หญิงซงเจิ้ง เสด็จแม่ของเจ้าไม่เคยสอนหรือว่าอย่าแย่งของของคนอื่น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นของข้า ข้าจะต้องพูดอีกกี่ครั้งกันเจ้าถึงจะเข้าใจ หือ”
“ทำไมท่านถึงต้องคิดกับข้าเช่นนั้นด้วย” ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์กัดริมฝีปากล่างพร้อมกับมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยสายตารักใคร่ ”ข้าเพียงแค่ไม่อยากให้องค์ชายได้รับบาดเจ็บเท่านั้นเอง”
ในที่สุดไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็มองไปที่ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ แต่สายตาของเขากลับเย็นชาราวกับน้ำแข็ง อีกทั้งน้ำเสียงของเขาก็ยังราบเรียบเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ”คนเมืองเซวียนหยวน ถ้าเจ้ายังอยากให้องค์หญิงของพวกเจ้ามีชีวิตอยู่ เช่นนั้นก็ปิดปากนางเอาไว้เสียตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า”