ทุกคนหันไปมองซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ทันทีที่ได้ยินคำพูดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
นางเป็นผู้หญิงประเภทใดกัน ความคิดนั้นฉายชัดอยู่ในดวงตาของพวกเขา
ก่อนหน้านี้องค์ชายสามได้แสดงจุดยืนของตนเองออกมาอย่างชัดเจนแล้ว แต่นางกลับเอาแต่ตามตื๊อเขาอย่างหน้าด้านๆ
เมืองเซวียนหยวนเป็นเมืองใหญ่ แต่การกระทำของนางกลับนำพาความอับอายมาให้แก่ประเทศชาติ
เดิมทีนั้นซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์คิดว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะไว้หน้านาง เพราะหากพิจารณาดูแล้วนางก็ยังเป็นองค์หญิงจากเมืองข้างเคียง
แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นชายที่จิตใจแข็งกระด้างดั่งหินผาเช่นนี้!
ผู้อาวุโสซวีอู๋ตาโตแทบถลน เขารีบเดินเข้าไปคว้ามือของซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ไว้ แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า ”องค์หญิงหยุดพูดเถิดพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายสามไม่ใช่คนที่จะยอมจำนนกับอะไรง่ายๆ หากท่านพูดต่อก็มีแต่จะยิ่งทำให้ชื่อเสียงตัวเองต้องเสื่อมเสียพ่ะย่ะค่ะ”
ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์รู้ดีว่าในเวลานี้ทุกคนมองนางด้วยสายตาตัดสินอย่างไร นางรู้สึกเหมือนกับถูกตบหน้าอย่างแรงจนแก้มบวมช้ำ!
นางไม่เข้าใจ นางคิดว่านางแสดงให้เห็นแล้วว่านางเป็นห่วงไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แต่ไม่ใช่แค่เขาจะไม่ซาบซึ้งกับมัน เขายังตอบแทนน้ำใจของนางด้วยการคิดที่จะสังหารนางด้วยซ้ำ
มันเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร
ดวงตาของซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์กลายเป็นสีแดง และเอ่อท้นไปด้วยหยดน้ำตา
ในฐานะผู้เป็นพี่ ซงเจิ้งเหวินเหรินย่อมไม่สามารถยืนเฉยอยู่ข้างๆ และมองดูน้องสาวตัวเองถูกรังแกได้ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันทีที่เขาเอ่ยว่า ”พี่ไป๋หลี่ไม่คิดถึงความสัมพันธ์ในอนาคตระหว่างทั้งสองเมืองเลยหรือ จึงได้กล่าวเช่นนั้นออกมา”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหลือบมองเขา แล้วจึงตอบด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า ”ก่อนที่เจ้าจะคิดถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเมืองทั้งสอง เจ้าควรอบรมสั่งสอนน้องสาวของตัวเองให้รู้จักสงวนท่าที และไม่ลดเกียรติตัวเองลงเมื่อตกหลุมรักผู้ชายสักคนต่างหาก เมืองเซวียนหยวนกลายเป็นเมืองที่เปิดกว้างเสียจนคนของพวกเขามิถูกศีลธรรมและเกียรติยศศักดิ์ศรีผูกมัดเอาไว้เสียแล้วหรือ”
พวกเขาต่างตกตะลึงกับคำพูดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ตอนนี้แม้แต่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจากเมืองเซวียนหยวนก็ยังรู้สึกว่าการกระทำขององค์หญิงดูไม่เหมาะสม
พวกเขาหันหน้าไปมองซงเจิ้งเหวินเหรินโดยพร้อมเพรียงกัน
ซงเจิ้งเหวินเหรินกำมือแน่น ก่อนจะมาถึงเมืองหลวง เขาไม่ได้คาดคิดเอาไว้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นนี้
น้องสาวของเขาควรจะได้รับการอ้าแขนต้อนรับและอภิเษกสมรสกับองค์ชายอย่างสมเกียรติ
การแต่งงานระหว่างทั้งสองเมืองไม่ใช่แค่จะช่วยยกระดับให้กับเมืองเซวียนหยวน แต่ยังเปิดโอกาสให้พวกเขาสามารถนำทหารเข้ามาในเมืองหลวงได้อีกด้วย
แต่ตอนนี้… ซงเจิ้งเหวินเหรินหรี่ตาลง แต่รอยยิ้มของเขากลับยังคงอยู่ ”เสนาบดีเมืองท่านเป็นผู้เสนอความคิดเรื่องการแต่งงานระหว่างทั้งสองเมืองขึ้นก่อนที่เราจะมาถึงเมืองหลวง แต่ในเมื่อเสนาบดีคนนั้นถูกพี่ไป๋หลี่ตัดหัวไปแล้ว เช่นนั้นก็ช่างเถิด อวี้เอ๋อร์จะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่สอง ที่อวี้เอ๋อร์เตือนพี่ไป๋หลี่เช่นนั้นก็เพราะนางเป็นคนมีเมตตาและเป็นห่วงผู้อื่น แต่พี่ไป๋หลี่กลับเอาเรื่องศีลธรรมและเกียรติศักดิ์ศรีมาตำหนิเราเช่นนี้ก็ออกจะเกินไปหน่อย”
หลังจากซงเจิ้งเหวินเหรินบิดเบือนคำพูดนั้นจบ เรื่องนี้ก็กลับกลายเป็นปัญหาเรื่องการตกลงระหว่างทั้งสองเมือง
ขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังครุ่นคิดว่าจะตอกกลับแทนองค์ชายอย่างไร จู่ๆ นางก็ได้ยินเสียงหัวเราะเย็นชาอันไพเราะดังขึ้นในหู ”หึ นางคงมีเมตตาเสียจนพยายามที่จะทำให้พวกข้าเลิกกันและเป็นมือที่สามในความสัมพันธ์ของพวกข้าเลยทีเดียว นิยามคำว่าเมตตาของเมืองเซวียนหยวนช่างน่าประทับใจ ทำให้ข้าเปิดหูเปิดตายิ่งนัก”
ซงเจิ้งเหวินเหรินอึ้งกับคำพูดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ
แม้แต่ซงเจิ้งอวี้เอ๋อร์ก็รู้สึกอับอายขายหน้าจนแทบอยากมุดไปซ่อนอยู่ใต้หิน
ฝูงชนส่งเสียงหัวเราะเยาะออกมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่าบทสนทนานี้ช่างเปล่าประโยชน์ เพราะไม่เคยมีใครเถียงชนะองค์ชายมาก่อน
ซงเจิ้งเหวินเหรินเหมือนจะตระหนักได้ว่าเขาไม่สามารถเอาชนะไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้ ดังนั้นเขาจึงตวัดสายตาไปมองทางผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทั้งสองที่ถูกวิญญาณร้ายสิงอยู่แทน ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็พลันลึกล้ำขึ้น ”ในเมื่อพี่ไป๋หลี่ไม่เห็นคุณค่าในการกระทำของพวกเรา เช่นนั้นก็มาประลองกันต่อเถิด วิญญาณร้ายแตกต่างจากมนุษย์ ฝีปากปราบพวกมันไม่ได้ ดังนั้นพี่ไป๋หลี่ต้องระมัดระวังตัวเอาไว้ให้มากนะขอรับ จะได้ไม่มีเรื่องวุ่นวายอันใดเกิดขึ้นอีก”
เสนาบดีทุกคนรู้สึกกังวลแทนไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของซงเจิ้งเหวินเหรินและได้เห็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ถูกกระบี่ไม้ท้อขวางอยู่ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายขึ้นอย่างมาก ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทั้งสองยื่นมือออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาของหนึ่งในพวกเขาวาววับด้วยปราณหยิน
ซงเจิ้งเหวินเหรินก้าวออกไปที่กลางท้องพระโรงพร้อมกับยันต์ผ้าเหลืองในมือ ทันทีที่เขาเคลื่อนสายตาขึ้น พลังวิญญาณอันแข็งแกร่งก็พลันปรากฏขึ้นบนตัวยันต์แผ่นนั้น!
“นี่มัน.. สมกับเป็นองค์รัชทายาทเหวินเหรินจริงๆ!” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอุทานขึ้นด้วยความชื่นชมจากก้นบึ้งของหัวใจ ”นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ข้าได้เห็นพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์ถึงเพียงนี้ สงสัยจริงๆ ว่าหลังจากผู้พิพากษาวิญญาณปรากฏตัวขึ้นแล้วจะเป็นเช่นใด”
ซงเจิ้งเหวินเหรินได้ยินคำพูดนี้ ริมฝีปากของเขาจึงโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม ในเมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่คิดที่จะให้ความร่วมมือ เช่นนั้นข้าก็จะสอนบทเรียนให้เขา และแสดงให้เขาได้เห็นกับตาว่าข้าจะชนะการประลองนี้ได้อย่างไร!
“ปล่อยตัวหนึ่งในผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่โดนสิงอยู่ออกมาได้ ผู้อาวุโส ร่วมมือกับข้าและชำระล้างวิญญาณให้เขาด้วยขอรับ” ซงเจิ้งเหวินเหรินหันไปบอกกับผู้อาวุโสซวีอู๋
ผู้อาวุโสซวีอู๋เข้าประจำตำแหน่ง แล้วพยักหน้าให้กับซงเจิ้งเหวินเหริน
จากนั้นชายที่ทำหน้าที่คุมตัวผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ถูกสิงจึงคลายสิ่งที่มัดเขาไว้ออก
เมื่อไม่มีกระบี่ไม้ท้อและเชือกตรึงวิญญาณจำกัดการเคลื่อนไหวอีกต่อไป หนึ่งในผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงก็กระโจนเข้าใส่ซงเจิ้งเหวินเหริน!
ซงเจิ้งเหวินเหรินท่องคาถา ยันต์ผ้าเหลืองในมือของเขาดูเหมือนจะได้รับคำสั่งนั้น มันจึงเริ่มลอยขึ้นไปในอากาศ ฝูงชนมองเห็นเงาในชุดเสื้อคลุมสีดำได้เลือนราง บนศีรษะของร่างนั้นมีหมวกกระดาษที่สงวนไว้ให้กับคนตายสวมอยู่ ดวงตาของมันจับจ้องไปยังวิญญาณร้าย
วิญญาณร้ายล้มเลิกความตั้งใจที่จะจู่โจมซงเจิ้งเหวินเหรินทันที มันรีบหันไปหมายจะกัดผู้อาวุโสซวีอู๋!
เขาคล่องแคล่วว่องไวยิ่งนัก การเคลื่อนไหวของมันยากที่จะเป็นการเคลื่อนไหวของมนุษย์ธรรมดา ฟันของเขาขยับขึ้นลงอย่างต่อเนื่องจนเกิดเป็นภาพอันน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
ในการป้องกันไม่ให้ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงนั้น เราต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้ร่างกายสัมผัสกับคนที่ถูกมันสิงอยู่
นี่เป็นจุดที่ยากที่สุดสำหรับผู้ขับไล่วิญญาณร้าย เพราะการปรากฏตัวของผู้พิพากษาวิญญาณจะทำให้วิญญาณร้ายตัวนี้หนีออกจากร่างเดิมที่เคยอยู่ และมันพร้อมที่จะเข้าสิงใครก็ตามที่มันสัมผัสได้
แผนการของซงเจิ้งเหวินเหรินคือกำจัดมันทันทีที่มันออกจากร่างนั้นโดยสมบูรณ์
ผู้อาวุโสซวีอู๋ท่องคาถา และสร้างเกราะกั้นระหว่างเขากับวิญญาณร้ายขึ้นอย่างรวดเร็ว!
วิญญาณร้ายใช้กรงเล็บข่วนเกราะนั้นอย่างไม่ละความพยายาม
ซงเจิ้งเหวินเหรินหมุนตัวแล้วหยิบยันต์ผ้าเหลืองแผ่นที่สองออกมา
จากนั้นเขาก็หยิบยันต์แผ่นที่สามและแผ่นที่สี่ออกมา…
โดยพื้นฐานแล้วเขาจะทำสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อนำยันต์ผ้าเหลืองแผ่นที่ห้าออกมาใช้ ยันต์สีแผ่นแรกเป็นตัวแทนของทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตกซึ่งมีไว้เพื่อดักจับวิญญาณร้าย ส่วนยันต์แผ่นที่ห้าจะเป็นยันต์ที่ใช้เพื่อจู่โจมวิญญาณเป้าหมาย
แต่ทุกคนนึกไม่ถึงว่าจู่ๆ วิญญาณร้ายตนนั้นจะเบนความสนใจกลับมาที่ซงเจิ้งเหวินเหรินอย่างกะทันหัน แล้วพุ่งตัวเข้าใส่เขาในตอนที่เขากำลังจะนำยันต์แผ่นที่ห้าออกมา!
โชคดีที่ซงเจิ้งเหวินเหรินตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว เขาก้าวถอยหลังไปก่อนจะร่ายคาถาตรึงวิญญาณร้ายตนนั้นเอาไว้
ผู้ชมสังเกตเห็นเหงื่อที่ชุ่มโชกอยู่บนหน้าผากของเขาได้ หากไม่ได้ผู้อาวุโสซวีอู๋ผู้มากด้วยประสบการณ์ร่ายคาถาช่วย ซงเจิ้งเหวินเหรินก็คงไม่สามารถหนีจากสถานการณ์เมื่อครู่ได้ง่ายถึงเพียงนี้
หลังจากทั้งสองขับไล่วิญญาณร้ายได้สำเร็จ ซงเจิ้งเหวินเหรินก็ถอนหายใจออกมาเสียงเบาด้วยความโล่งอก
แต่ทันใดนั้นผู้พิพากษาวิญญาณก็อ้าปากขึ้น คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ว่า ”บนร่างของวิญญาณร้ายตนนี้ล้วนแต่เต็มไปด้วยปราณแห่งความเคียดแค้นอันไร้ที่มา มันจึงไม่สามารถลงนรกได้”