ตอนที่ 678 ป่าไผ่ต้องห้าม
แม้ว่าตอนบ่ายจะมีเรียนเพียงสามคาบ แต่หลังจากเลิกเรียนก็ไม่มีอะไรแล้ว
หลินม่ายต้องการเรียนวิชาเอกการเงิน ดังนั้นเธอจึงขอให้เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งช่วยบอกเพื่อนร่วมห้องของเธอเตรียมอาหารเย็นให้เธอด้วย
หลังจากเรียนเสร็จ เธอก็ตรงกลับไปยังหอพักเพื่อกินอาหารเย็น จากนั้นก็ไปเรียนด้วยกัน
หลังจากเรียนวิชาเลือกเสร็จ หลินม่ายก็เดินลัดกลับหอพัก
เมื่อผ่านป่าไผ่ จ้าวซั่วหยางก็หยุดเธอไว้
แม้ว่าในป่าไผ่จะไม่มีใครนอกจากพวกเขาสองคน แต่หลินม่ายก็ไม่กลัว นับตั้งแต่เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเธอก็ดีขึ้นมาก
หากจ้าวซั่วหยางกล้าที่จะทำร้ายเธอ เธอจะทุบเขาจนแหลกละเอียดอย่างแน่นอน!
จ้าวซั่วหยางถือช่อดอกไม้ไว้ในมือและพูดอย่างรักใคร่ “หลินม่าย ฉันชอบเธอจริง ๆ นะ ฉันคิดถึงเธอทุกวันจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เรามาเป็นแฟนกันเถอะ”
หลินม่ายมองเขาดุจจ้องมองสัตว์ประหลาด “นายไม่สบายหรือเปล่า ไม่รู้หรือว่าฉันแต่งงานแล้ว?”
หากขอชื่นชอบเธอจริง เขาจะต้องสนใจเธอในทุกย่างก้าว และเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ว่าเธอแต่งงานแล้ว
จ้าวซั่วหยางพูดอย่างชัดแจ้ง “การแต่งงานโดยปราศจากความรักนั้นผิดศีลธรรม”
หลินม่ายโกรธมากจึงเตะจ้าวซั่วหยางออกไป “นายรู้ได้อย่างไรว่าฉันและสามีไม่ได้รักกัน? แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันจะรักตือโป๊ยก่ายแบบนาย?”
จ้าวซั่วหยางพยายามลุกขึ้นจากพื้น “อย่าหลอกตัวเองเลย สามีเธอแก่กว่าเธอตั้งสิบปี จะรักกันได้ยังไง?”
การใช้เหตุผลกับคนไร้เหตุผลนั้นเปล่าประโยชน์ ดังนั้นหลินม่ายจึงลงมือทุบตีเขา
เขาบอกว่าเขารักเธอไม่ใช่หรือ ดังนั้นต่อให้เธอทุบตีเขามากเพียงใด เขาก็จะไม่ตอบโต้กลับ แต่หากเขาตอบโต้กลับก็แสดงว่าไม่ได้รักเธอจริง
แม้ว่าชายคนนี้จะสร้างปัญหามากมายให้กับผู้นำโรงเรียน แต่หลินม่ายก็ไม่เกรงกลัว
เธอยืนกรานจะวางแผนต่อต้านชายผู้นี้ และเลือกที่จะปกป้องตัวเอง เพราะแน่นอนว่าหัวเราะทีหลังดังกว่า
จ้าวซั่วหยางถูกทุบตีและนอนอยู่บนพื้นก่อนที่จะพยายามลุกขึ้น
เขาด่าทอหลินม่ายในใจ เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าหญิงสาวที่ดูผอมแห้งแรงน้อยจะแข็งแกร่งและมีพละกำลังมากถึงขนาดนี้
แต่ยิ่งหลินม่ายปฏิเสธ เขาก็ยิ่งเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะพิชิตใจเธอ
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเห็นหลินม่าย เขาก็ต้องการดึงเธอเข้ามาในฮาเร็มและตั้งเธอเป็นเมียหลวง
แต่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า หญิงผู้นี้จะจ้องมองเขาด้วยความรังเกียจ
จากนั้นเขาก็ต้องการเอาชนะเธอและทำให้เธอเชื่อฟังเขาอย่างเต็มใจเหมือนสวีชิงหยา
แล้วเขาจะทิ้งเธอไป
เขายังต้องการกระจายข่าวลือว่า เธอเป็นหญิงที่มีสามีอยู่แล้วแต่กลับพยายามยั่วยวนเขา ดังนั้นเขาจะต้องแก้แค้นทุกอย่าง
เขาเป็นประธานเก่งกาจของมหาวิทยาลัยชิงหวา และไม่เชื่อว่าตนจะไม่สามารถเอาชนะนักศึกษาน้องใหม่ได้!
หลังจากนั้นหลินม่ายก็กลับไปที่หอพัก
บรรยากาศในหอพักน่าหดหู่มาก
สวีชิงหยาทิ้งตัวลงบนเตียงและร้องไห้ไม่หยุด ในขณะที่เพื่อนร่วมห้องของหล่อนอ่านหนังสืออย่างเงียบงัน
หลินม่ายกินอาหารที่เพื่อนร่วมห้องของหล่อนซื้อมาให้
เธอหันมองสวีชิงหยาด้วยหางตาพลางเอ่ยถามเพื่อนร่วมห้องอย่างเงียบงันว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ
เหมียวเหมียวกล่าว “หล่อนร้องไห้อีกแล้ว”
หลังจากที่หลินม่ายรับประทานและล้างกล่องอาหารเสร็จ เธอและเพื่อนร่วมห้องก็หิ้วกระเป๋าเพื่อไปเรียนหนังสือทันที
ทันทีที่พวกหล่อนจากไป เสียงร้องไห้ของสวีชิงหยาก็ดังมาจากหอพัก
เธอร้องไห้เพราะเมื่อคืนนี้เพื่อนร่วมห้องของเธอไม่ได้ชวนเธอไปติวหนังสือด้วยกัน พวกเธอจากไปโดยทิ้งสวีชิงหยาไว้
เพื่อนร่วมห้องพูดไม่ออกเมื่อได้ยินเสียงร้องของไห้สวีชิงหยา
เห็นได้ชัดว่าหล่อนเข้ากับคนได้ยากและมักจะทำตัวน่าสมเพชเหมือนถูกรังแก แล้วใครจะอยากยุ่งกับหล่อน!
เสิ่นอวิ้นกล่าวด้วยความโมโห “การที่สวีชิงหยาร้องไห้แบบนี้ หากคนอื่นไม่รู้ก็จะคิดว่าหล่อนถูกเพื่อนร่วมห้องรังแก และเจ้าหน้าที่องค์การนักศึกษาก็จะมาสอบสวนเราอีกครั้ง”
หลินม่ายถาม “เกิดอะไรขึ้นกับหล่อน? ฉันเห็นหล่อนร้องไห้ตั้งแต่ที่ฉันเข้าไปในห้อง”
ฉีเยว่ชิงกล่าว “เราซื้ออาหารมาให้เธอ แต่เราไม่ได้ซื้ออาหารมาให้หล่อน หล่อนจึงรู้สึกเสียใจและบอกว่าเราดูถูกหล่อน”
หลินม่ายไม่รู้จะแสดงสีหน้าอย่างไร
ขณะที่พวกเธอกำลังติวหนังสือให้แก่กัน จู่ ๆ เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นพร้อมนำตัวหลินม่ายไปยังสำนักงาน
เมื่อมาถึง เธอเห็นเพื่อนร่วมห้องหลายคนอยู่ในสำนักงาน ยืนอยู่หน้าที่ปรึกษาของพวกเขา
ที่ปรึกษารวบรวมหลินม่ายและเพื่อนร่วมชั้นมาเพื่อสอบถามว่าพวกเขาดูถูกและปฏิเสธที่จะทำความรู้จักสวีชิงหยาหรือไม่
เพื่อนร่วมห้องทุกคนโกรธมาก เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดเป็นความผิดของสวีชิงหยา และหล่อนยังสร้างปัญหาให้กับที่ปรึกษาอีกด้วย
เพื่อนร่วมห้องรีบเล่าเรื่องทั้งหมดให้ที่ปรึกษาฟัง
ทุกอย่างเป็นเพราะหล่อนคิดไปเอง ไม่มีใครในหอพักพยายามปลีกตัวจากสวีชิงหยา และแน่นอนว่าไม่มีใครดูถูกหล่อน ทุกอย่างเกิดจากจินตนาการของหล่อนเองทั้งนั้น
สวีชิงหยากล่าวหาเพื่อนร่วมห้องของหล่อนทุกคน ยกเว้นหลินม่าย
ในสายตาของที่ปรึกษา เธอเป็นกลาง และชอบธรรมที่สุด
ที่ปรึกษาเอ่ยถามหลินม่าย “สิ่งที่เถียนเฟินและคนอื่น ๆ พูดเป็นความจริงหรือไม่?”
หลินม่ายพยักหน้า “เป็นเรื่องจริงทั้งหมดค่ะ”
ที่ปรึกษาหลายคนตกตะลึง
ในฐานะที่เป็นเพียงคนเดียวที่ไม่โดนสวีชิงหยากล่าวหา แต่หลินม่ายกลับพูดจาเข้าข้างเพื่อนร่วมห้องของตน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสวีชิงหยามีแนวโน้มที่จะสร้างเรื่องทั้งหมดขึ้นมาเอง
สวีชิงหยาคนนี้ไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่าย หล่อนกล้าที่จะสร้างศัตรูกับเพื่อนร่วมห้องรวมถึงเกือบทุกคนในหอพัก
เพื่อให้สวีชิงหยายอมรับความผิดพลาดของตน ที่ปรึกษาหลายคนจึงเรียกหล่อนมาเพื่อเผชิญหน้ากับเถียนเฟิงและคนอื่น ๆ
เพื่อนร่วมห้องต่างโกรธเกรี้ยวและถามสวีชิงหยาเสียงดังว่า พวกเขาต้องไปไหนมาไหนกับหล่อนและทำสิ่งต่าง ๆ ตามความต้องการของหล่อนเพื่อไม่ให้หล่อนรู้โดดเดี่ยว ถูกกีดกัน หรือถูกดูถูกอย่างนั้นหรือ
สวีชิงหยายืนยันว่าเถียนเฟินและคนอื่น ๆ ปฏิเสธหล่อน อีกทั้งยังดูถูกหล่อนด้วย
หล่อนยกตัวอย่างมากมายเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่หล่อนพูดเป็นความจริง
หากเถียนเฟินและคนอื่น ๆ เป็นมิตรกับหล่อน ทำไมพวกเขาไม่ให้ขนมกับหล่อน?
พวกเขารู้ว่าหล่อนยากจนและไม่สามารถซื้ออาหารดี ๆ ในโรงอาหารกินได้ แต่ทำไมยังเลือกที่จะไม่ชวนหล่อนทุกครั้งที่ไปโรงอาหาร?
ที่ปรึกษาหลายคนตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งที่สวีชิงหยากล่าว เป็นสวีชิงหยาเองที่จงใจวิจารณ์เพื่อนร่วมห้อง แต่กลับกล่าวหาพวกหล่อนว่าไม่เป็นมิตรกับหล่อน
ที่ปรึกษาหลายคนโบกมือเป็นสัญญาณว่าให้หลินม่ายและเพื่อนร่วมห้องคนอื่น ๆ ออกไปได้
หลังจากออกจากสำนักงาน เพื่อนร่วมห้องต่างก็สงสัย ทำไมสวีชิงหยาถึงฟ้องพวกเขาทั้งหมด แต่ไม่ได้ฟ้องหลินม่ายเพียงคนเดียว
หลินม่ายยิ้มพลางกล่าว “บางทีฉันอาจดุร้ายจนสวีชิงหยากลัวฉันก็ได้”
เพื่อนร่วมห้องคนอื่น ๆ กล่าว “แสดงว่าสวีชิงหยาพยายามทำร้ายผู้อ่อนแอและหวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง ดูเหมือนว่าเราจะต้องก้าวร้าวกับหล่อนให้มากขึ้นในอนาคตเสียแล้ว”
ในสำนักงาน ที่ปรึกษาหลายพยายามอย่างมากที่จะสั่งสอนให้สวีชิงหยาคิดได้
พวกเขาบอกหล่อนว่าเพื่อนร่วมห้องของหล่อนไม่ได้คิดร้าย และพยายามช่วยให้หล่อนผ่อนคลายและเข้ากับเพื่อนร่วมห้องได้ดี
สวีชิงหยาพยักหน้าเห็นด้วยทั้งน้ำตา
ที่ปรึกษารู้สึกปวดหัว พวกเขาไม่ได้พูดอะไรร้ายแรงแม้แต่คำเดียว ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงร้องไห้?
หลังจากติวหนังสือ หลินม่ายกลับไปที่หอพักพร้อมกับเพื่อนร่วมห้องสองสามคน
เธอเห็นคนสองคนเถียงกันอยู่ในมุมมืด
แม้แสงจะสลัวเกินกว่าจะมองเห็นใบหน้าได้ชัดเจน
และเสียงทะเลาะกันก็เบามากจนบอกไม่ได้ว่าเป็นเสียงของใคร
แต่เมื่อพิจารณาจากรูปร่างแล้ว ชายคนนั้นต้องเป็นจ้าวซั่วหยางแน่
ผมยาวสลวย ใบหน้าอ้วนท้วนเหมือนหมูนั้น เธอสามารถจดจำได้แม้จะอยู่ในความมืด
เสียงของทั้งสองคนโต้เถียงกันแผ่วเบา แต่การกระทำนั้นรุนแรงมาก
ชายคนนั้นผลักผู้หญิงลงกับพื้นแล้วเดินออกไป
ผู้หญิงคนนั้นลุกขึ้นจากพื้นและค่อย ๆ เดินออกมาจากความมืด จากนั้นหลินม่ายก็รู้ว่านั่นคือสวีชิงหยา!
หลินม่ายจินตนาการถึงเรื่องราวทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
จ้าวซั่วหยางทอดทิ้งสวีชิงหยาเสมอ แต่สวีชิงหยาก็ยังต้องการที่จะยึดติดกับเขา
เสียงร้องไห้ของสวีชิงหยาดังขึ้นในหอพักตลอดทั้งคืน
เสียงร้องไห้ไม่ดังนักในตอนแรก แต่สาเหตุที่สวีชิงหยาร้องไห้ดังขึ้นเรื่อย ๆ อาจเป็นเพราะไม่มีเพื่อนร่วมห้องมาดูแลหล่อน
แม้ว่าหลินม่ายและเพื่อนร่วมห้องของหล่อนจะรู้ว่าสวีชิงหยาร้องไห้ดังขึ้นเพราะต้องการให้พวกหล่อนปลอบโยน แต่หลินม่ายและเพื่อนร่วมห้องกลับยังคงเฉยเมย
ไม่มีใครอยากข้องเกี่ยวกับสวีชิงหยาเพราะกลัวจะไปสัมผัสกับอารมณ์อ่อนไหวของหล่อนโดยไม่ตั้งใจจนทำให้หล่อนร้องไห้และฟ้องอาจารย์อีกครั้ง
สวีชิงหยาเสียใจอย่างมาก หล่อนร้องไห้เสียงดัง แต่ไม่มีเพื่อนร่วมห้องคอยปลอบ เพราะหล่อนเป็นคนถือตัวเกินไป
การร้องไห้ของสวีชิงหยาไม่ได้ทำให้หลินม่ายและคนอื่น ๆ รู้สึกสบายใจ ไม่นานจากนั้นผู้คนจากองค์การนักศึกษารวมทั้งหลูเชวี่ยมาดูเธอ
หลูเชวี่ยกล่าวว่าเพื่อนร่วมชั้นของสวีชิงหยามาบอกว่าหลินม่ายและคนอื่น ๆ กลั่นแกล้งสวีชิงหยาอีกครั้ง พวกเขาจึงมาที่นี่เพื่อตรวจสอบ
สวีชิงหยาตื่นตระหนก “หลินม่ายไม่ได้รังแกฉัน”
เพื่อนร่วมห้องคนอื่น ๆ กล่าว “เราก็ไม่ได้รังแกหล่อนเหมือนกัน!”
สวีชิงหยาจงใจเงียบงัน
เมื่อเพื่อนร่วมห้องเห็นท่าทางของหล่อน ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ อันที่จริงพวกหล่อนเลือกที่จะเงียบเพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป
หลินม่ายยืนขึ้นและเป็นพยานว่าไม่มีเพื่อนร่วมห้องรังแกสวีชิงหยา หล่อนร้องไห้โดยไม่มีเหตุผลเอง
หลูเชวี่ยกล่าวด้วยใบหน้าสงบ “แม้ว่าเธอจะไม่ได้รังแกสวีชิงหยา แต่เธอก็ไม่ควรให้การเท็จเพื่อเข้าข้างเพื่อนร่วมห้องคนอื่น เพราะนั่นจะถือเป็นความผิด”
แม้หลินม่ายย้ำหลายครั้งว่าเธอไม่ได้ให้การเท็จ แต่หลูเชวี่ยและเจ้าหน้าที่องค์การนักศึกษาก็ไม่เชื่อ พวกเขายืนกรานที่จะตำหนิเถียนเฟินพร้อมเพื่อนร่วมห้องคนอื่น ๆ ก่อนจากไป
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สร้างเรื่องเก่งจริงแม่คุณเอ๊ย จบโรงเรียนเอกมโนโทจินตนาการมาเหรอ
ไหหม่า(海馬)