“พวกคุณรับไปคนละชุด”
ในที่สุดผลงานใหม่ของฉู่ขวงก็ส่งมาแล้ว
เดิมทีเฉาเต๋อจื้ออยากกลับไปนั่งอ่านที่ห้องทำงานเพียงลำพัง
แต่เมื่อตกเป็นจุดสนใจของเหล่าบรรณาธิการในแผนกแล้ว เขาจึงทำได้เพียงให้ผู้ช่วยพิมพ์แจกทุกคน
ทุกคนมาอ่านด้วยกัน
ส่วนเขากลับไปนั่งยังห้องทำงาน
และพิมพ์ต้นฉบับออกมาเช่นกัน
เฉาเต๋อจื้อดื่มชาที่ผู้ช่วยชงให้ พลางอ่านหนังสือเรื่องใหม่ของฉู่ขวง
ถึงแม้ในใจจะมีความกังวลมากมาย ทว่าเขายังต้องอ่านเนื้อเรื่องเสียก่อนจึงจะประเมินสถานการณ์โดยละเอียดได้
โฮล์มส์อาจเป็นปัวโรต์ที่เปลี่ยนชื่อ?
หรืออาจฉายแววตั้งแต่คดีแรก?
[สงครามชิงอำนาจเปิดฉากขึ้นในปี 1978 ]
สงครามชิงอำนาจเริ่มต้นขึ้นในปี 1978 หลังจากได้รับปริญญาเอกด้านการแพทย์จากมหาวิทยาลัยหานโจว ผมก็เข้าเรียนหลักสูตรการแพทย์ทหาร หลังจากสำเร็จการศึกษา ผมถูกส่งไปเป็นผู้ช่วยแพทย์ทหาร ประจำการยังหน่วยที่สามในกองทัพที่ห้าของบลูสตาร์ในสนามรบเร่อหลูในฉีโจว…]
เรื่องราวถูกเล่าผ่านมุมมองของบุคคลที่หนึ่ง
นิยายชุดรหัสคดีของปัวโรต์ก่อนหน้านี้ของฉู่ขวงใช้การบรรยายผ่านมุมมองบุคคลที่หนึ่งเช่นเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่น ฆาตกรรมโรเจอร์ แอ็กครอยด์อันโด่งดังก็ตีแผ่เรื่องราวผ่านมุมมองบุคคลที่หนึ่ง แถมยังบุกเบิกกลอุบายผู้เล่าเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้
นิยายชุดรหัสคดีของปัวโรต์ส่วนมากเริ่มต้นด้วยบทพูดกับตนเองของปัวโรต์และเฮสติงส์
ครั้งแรกที่ฉู่ขวงเริ่มสร้างสรรค์ผลงานผ่านวิธีบรรยายผ่านมุมมองบุคคลที่หนึ่งคงต้องย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยคนขุดสุสาน
ฉู่ขวงดูเหมือนจะค่อนข้างกระตือรือร้นเกี่ยวกับวิธีการบรรยายจากมุมมองบุคคลที่หนึ่ง และในขณะเดียวกัน เขาก็มีความรู้ลึกซึ้ง และมักใช้วิธีเขียนเช่นนี้ในนิยายสืบสวนสอบสวน
เรื่องราวตรงหน้านี้
ตัวละครบุคคลที่หนึ่งซึ่งบรรยายเรื่องราวนี้มีชื่อว่า ‘วัตสัน’
คนคนนี้ไม่ใช่ตัวเอกอย่างแน่นอน เพราะชื่อหนังสือและตัวฉู่ขวงเองเคยอธิบายไว้
ตัวเอกชื่อว่า ‘โฮล์มส์’
มาพูดถึงวัตสันก่อน
วัตสันมีประสบการณ์โชกโชน
เขาเคยผ่านสงครามในการเปลี่ยนระบบการปกครองบลูสตาร์ อีกทั้งเคยได้รับบาดเจ็บในสมรภูมิเร่อหลูที่ฉีโจว เนื่องจากร่างกายของเขาไม่สามารถแบกรับสงครามได้อีก จึงปลดประจำการและกลับไปยังลอนดอน
เฉาเต๋อจื้อรู้จักลอนดอน
ลอนดอนคือหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดของหานโจว
ภูมิหลังในนิยายของฉู่ขวง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยจำกัดว่าอยู่ในพื้นที่ใด ความรู้ด้านภูมิศาสตร์ของเขาไม่เลว และมีความรู้ความเข้าใจต่อสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่
และการออกแบบฉากพื้นหลังของตัวละครก็สมจริง ราวกับว่าคนเหล่านี้มีชีวิตอยู่จริงในสมัยนั้น
ซึ่งจุดนี้สอดคล้องกับนิยายชุดรหัสคดีของปัวโรต์
อ่านต่อไป
หลังจากวัตสันปลดประจำการและเตรียมกลับมาหางานในลอนดอน โดยมีเงื่อนไขว่าเขาต้องมีที่อยู่อาศัย ทางที่ดีควรมีคนอยู่ร่วมบ้านด้วย ปรากฏว่าเขาบังเอิญพบกับสหายเก่าในอดีตซึ่งเป็นหมอเหมือนกัน
อีกฝ่ายบอกกับวัตสัน ว่าชายชื่อโฮล์มส์ก็กำลังมองหาคนเช่าห้องด้วยกันเมื่อเร็วๆ นี้
ดังนั้นวัตสันและสหายเก่าคนนี้จึงไปยังห้องทดลองทางการแพทย์ในลอนดอน
สถานที่ซึ่งโฮล์มส์ทำงานล่าสุด
นี่ทำให้เฉาเต๋อจื้อนึกถึงการพบกันครั้งแรกของเฮสติงส์และปัวโรต์ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
บางทีวัตสันอาจมีบทบาทเป็นผู้ช่วยของโฮล์มส์คล้ายกับที่เฮสติงส์มีบทบาทผู้ช่วยของปัวโรต์?
แน่นอนว่ามีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง
ในใจของเฉาเต๋อจื้อมีความกังวลที่ซ่อนอยู่ เขาเชื่อว่าผู้อ่านเองก็มองจุดนี้ออก และจุดนี้คล้ายกับเป็นข้อพิสูจน์ทางอ้อมว่าโฮล์มส์มีความคล้ายคลึงกับปัวโรต์
อย่างไรก็ตาม เมื่อวัตสันรีบไปที่ห้องทดลองและพบกับโฮล์มส์เป็นครั้งแรก ทันใดนั้นเฉาเต๋อจื้อก็สัมผัสถึงความแตกต่างระหว่างโฮล์มส์กับปัวโรต์ได้ในทันที
โฮล์มส์ไม่ใช่ปัวโรต์จริงๆ!
“เพียะๆๆ!”
ท่ามกลางการจับจ้องด้วยความตกตะลึงของวัตสัน โฮล์มส์กำลังใช้แส้เฆี่ยนศพอย่างรุนแรง ใครก็ตามที่เห็นภาพนี้คงคิดว่าโฮล์มส์มีสติสตังไม่สมประกอบ
ราวกับเป็นคนเสียสติ!
ปัวโรต์ไม่มีทางหยาบคายเช่นนี้ ชายชราตัวน้อยผู้เป็นโรครักความสะอาดไม่มีทางลืมรักษาความสง่างามไว้
เกิดอะไรขึ้น
เฉาเต๋อจื้อรู้สึกว่าฉู่ขวงพยายามเกินไปที่จะแสดงความแตกต่างระหว่างโฮล์มส์และปัวโรต์
[“เขาเป็นแบบนี้บ่อยไหม?” วัตสันเอ่ยถาม
สหายตอบด้วยความกระอักกระอ่วน “บางทีวันนี้เขาอาจอารมณ์ไม่ดี”
ในขณะนั้น โฮล์มส์มองมายังหมอซึ่งเพิ่งรุดมาถึง “คุณมาพอดี ผมอยากรู้สถานการณ์ของรอยฟกช้ำของเขาหลังจากผ่านไปยี่สิบสี่ชั่วโมง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคำกล่าวอ้างถิ่นที่อยู่ในขณะเกิดเหตุ”]
เฉาเต๋อจื้อสูดลมหายใจเข้าลึก
ที่แท้ก็เพื่อสืบคดี
ถึงแม้วิธีนี้จะง่ายต่อการเข้าใจผิดก็เถอะ
แต่ในยุคสมัยนั้น มันเป็นวิธีการทดลองทางวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง
[ทันใดนั้นโฮล์มส์ก็เหลือบมองวัตสัน “เร่อหลู?”
“ขอโทษครับ ไม่ทราบว่าคุณรู้ได้อย่างไร” วัตสันสับสนเล็กน้อย]
คงเป็นเพราะหมอแจ้งไว้ล่วงหน้า?
เฉาเต๋อจื้อคิดเช่นนี้ตามสัญชาตญาณ
[โฮล์มส์พูดต่อ “คุณคิดอย่างไรกับไวโอลิน”
วัตสัน “เอ่อ…”
โฮล์มส์ไม่เงยหน้าขึ้นมองด้วยซ้ำ “ตอนที่ผมขบคิดเรื่องต่างๆ มักจะสีไวโอลิน บางครั้งก็ไม่พูดไม่จาติดต่อกันหลายวัน คุณรังเกียจไหม เป็นเพื่อนร่วมห้องกันทางที่ดีควรให้อีกฝ่ายรับรู้ข้อบกพร่องของตัวเอง”
“คุณบอกเรื่องนี้กับผมทำไม”
วัตสันชำเลืองมองหมอ หมอรีบส่ายหน้า “ผมไม่ได้พูดอะไรเลย”]
ฮะ?
เฉาเต๋อจื้อตะลึง
หมอไม่ได้บอกหรอกหรือ?
แล้วโฮล์มส์รู้ได้ยังไงกัน
วัตสันเอ่ยถามข้อสงสัยของเฉาเต๋อจื้อ
[“เรื่องพวกนี้ใครเป็นคนบอกคุณครับ”
“ตัวผมเอง”
โฮล์มส์กำลังขีดๆ เขียนๆ บนสมุด ราวกับกำลังพึมพำกับตนเอง “คนอย่างผมอยากจะหาเพื่อนร่วมห้องสักคนยากเย็นนัก เช้าวันนี้ผมเพิ่งพูดเรื่องนี้ให้ไมค์ฟัง ตกบ่ายเขาก็พาคุณมาที่นี่ พาสหายเก่าคนหนึ่งมา เห็นได้ชัดว่าเพิ่งประจำการที่หน่วยไหนสักหน่วยในสมรภูมิเร่อหลู เรื่องนี้เดาได้ไม่ยาก”]
เฉาเต๋อจื้อตาค้าง
พี่ชาย แบบนี้เดาได้ไม่ยากหรือ?
วัตสันเอ่ยถามข้อสงสัยของผู้อ่านอย่างเฉาเต๋อจื้อเป็นครั้งที่สอง
[“คุณรู้เรื่องสมรภูมิเร่อหลูได้อย่างไร”
โฮล์มส์ไม่ตอบ แต่กลับลุกขึ้นบอก “เลขที่ 221 ถนนเบเกอร์ จะเป็นที่อยู่ของพวกเรา”
“แค่นี้?”
วัตสันมีคำถามมากมายอัดแน่นอยู่เต็มอก “เราเพิ่งรู้จักกัน ก็จะหาบ้านด้วยกันแล้ว? เราไม่รู้จักกัน คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมชื่ออะไร…”
ฝีเท้าของโฮล์มส์ชะงักลงเล็กน้อย
เขาหันกลับมา “ผมรู้ว่าคุณเป็นแพทย์ทหาร เพิ่งถูกส่งตัวกลับมาจากสมรภูมิเร่อหลู แล้วผมก็รู้ว่าคุณอาจป่วยเป็นโรคทางจิตเวช บางทีอาจลบคำว่า ‘อาจ’ ออกไปก็ได้ ในฐานะเพื่อนร่วมห้อง แค่นี้ไม่พอหรือ?”
โฮล์มส์หยัดกายลุกขึ้นก่อนจะเดินออกไป ทันใดนั้นเขาพลันเอ่ยแนะนำตัวอย่างรวบรัด “เชอร์ล็อก โฮล์มส์” ขณะที่พูดประโยคนี้ โฮล์มส์กำลังสวมหมวกทรงกลมของเขา และกล่าวลาด้วยคำว่าทิวาสวัสดิ์
วัตสันหันไปมองสหายซึ่งอยู่ข้างกาย
สหายมีสีหน้าจนใจ “ใช่ ปกติเขาก็เป็นแบบนี้แหละ” ]
ในนิยาย วัตสันงง!
นอกนิยาย เฉาเต๋อจื้อก็งง!
เฉาเต๋อจื้ออ่านนิยายผ่านมุมมองบุคคลที่หนึ่งซึ่งก็คือวัตสัน เขาย่อมรู้ว่าวัตสันเคยเข้าร่วมสมรภูมิเร่อหลู รู้ถึงอาการบาดเจ็บของวัตสัน และรู้ว่าวัตสันเป็นแพทย์ทหารปลดประจำการ แต่โฮล์มส์รู้ได้อย่างไรกัน?
คุณเป็นนักสืบ?
แต่คุณเหมือนหมอดูมากกว่า!
เห็นชัดๆ ว่าเพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก ก็รู้รายละเอียดของคนเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง สรุปแล้วโฮล์มส์คนนี้ทำได้ยังไงกัน!
เฉาเต๋อจื้อเกิดคำถามในใจเป็นหมื่นข้อแล้ว!
………………………………………………………….