ความหมายของวาจานี้ชัดเจนยิ่ง นั่นก็คือต้องการให้ลูกน้องเอ่ยความจริง!
คนผู้นั้นก็เป็นคนเจ้าเล่ห์ เมื่อได้ยินลูกพี่เอ่ยเช่นนี้ ก็รู้ว่า ลูกพี่ไม่ต้องการปิดบังท่านหญิงซูซู จึงเอ่ยว่า “ที่ปากทางเข้าถ้ำของเส้นทางลับ เป็นบุรุษ หน้าตา…อิอิ หล่อเหลามาก!”
เมื่อลูกน้องเอ่ยจบ จ้าวเหล่ยก็รู้สึกได้ชัดเจนว่า ลมหายใจของท่านหญิงซูซูสับสนแล้ว!
คล้ายกับมีความร้อนใจและตื่นเต้นปะปนอยู่!
“เข้าใจแล้ว เจ้าถอยออกไปก่อนเถอะ”
เขาโบกมือใส่ลูกน้อง หลังจากปิดประตูแล้ว ก็หันไปมองท่านหญิงซูซู
“ท่านรู้จัก…คนผู้นี้หรือ” แม้ว่าจะเป็นคำถาม แต่เขากลับเอ่ยอย่างมั่นใจ
หากไม่รู้จักจะแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร
ส่วนซูซูกลับคว้าหมับเข้าที่มือของจ้าวเหล่ยในตอนนี้! นางมองเขาด้วยสายตาน่าสงสาร พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงขอร้องระคนวิงวอนว่า “พาข้าไปพบเขา! ขอร้องล่ะ!”
ตัวนางก็เดินออกมาจากทางลับเส้นนี้ เช่นนั้นคนที่จะเดินออกมาจากทางลับเส้นนี้อีกก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นหนึ่งในสามคนที่เหลือ!
แต่คนที่รูปร่างหน้าตางดงามนั้น…กลับมีแค่ซูชีแต่เพียงผู้เดียว!
กูเสี่ยวซูลองคาดเดาในใจว่า คนผู้นี้จะเป็นซูชีหรือไม่ เขามาที่นี่เพื่อตามหาตนเองใช่ไหม?
ใช่แล้ว ต้องใช่แน่นอน!
จ้าวเหล่ยอยากจะตอบรับคำขอร้องข้อนี้ของกูเสี่ยวซูยิ่งนัก!
เขาเห็นความรักที่นางมีต่อบุรุษผู้นั้น ความรู้สึกรักแต่ไม่อาจได้ครอบครองที่มีต่อบุรุษผู้นั้นในแววตาของกูเสี่ยวซูได้อย่างชัดเจน
ก็เหมือนกับเขา!
จ้าวเหล่ยสูดลมหายใจลึก จ้องมองกูเสี่ยวซูด้วยสายตาหนักแน่น น้ำเสียงก็จริงจังมากเช่นกัน!
“ท่านหญิงซูซู! โปรดอภัยที่ข้าถามละลาบละล้วง คนผู้นั้นรักท่านหรือไม่?”
กูเสี่ยวซูพลันสีหน้าแข็งค้าง!
หากจ้าวเหล่ยถามว่า คนผู้นี้ปฏิบัติกับนางเช่นไร บางทีนางอาจจะบอกว่าซูชีมีคุณธรรมและสัจจะ! แต่เขาเปล่า สิ่งที่เขาถามคือความรู้สึก! ซึ่งเป็นที่มาของความเจ็บปวดที่สุดของกูเสี่ยวซูพอดี!
จ้าวเหล่ยเห็นกูเสี่ยวซูตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ก็เข้าใจโดยไม่ต้องให้ใครเอ่ยอะไร ผลลัพธ์จะต้องไม่เป็นไปตามที่ต้องการแน่นอน!
“ท่านหญิงซูซู ในเมื่อคนผู้นี้สามารถหาที่นี่พบ เช่นนั้นก็อธิบายได้ว่าคนผู้นี้ไม่ใช่ว่าไม่มีความรู้สึกต่อท่านเลยเสียทีเดียว แต่หากท่านไปพบเขาทั้งแบบนี้ มากน้อยอย่างไรก็ทำให้รู้สึก…ดังนั้น ไม่สู้พวกเราลองหยั่งเชิงเขาสักครา หากเขาสามารถรู้เท่าทันร่องรอยพิรุธทั้งหมดได้ เช่นนั้นท่านเลือกจะจากไปกับเขา จ้าวเหล่ยก็จะไม่เอ่ยอันใดสักครึ่งคำ!”
แม้ว่าจะอาลัยอาวรณ์นาง แม้ว่าการปล่อยให้ท่านหญิงซูซูจากไป เขาจะยิ่งทุกข์ใจ! แต่สิ่งที่เขาต้องการเห็นก็มีเพียงแค่ ท่านหญิงซูซูมีความสุข ไม่เคยเป็นการครอบครอง!
ส่วนกูเสี่ยวซูกลับน้ำตารินไหลออกมาหลังจากได้ยินวาจาของเขา
แม้จะรู้ว่า วาจาที่เขาหยุดชะงักไปคืออะไร แต่นึกขึ้นได้แล้วกลับเจ็บปวดใจยิ่งนัก!
สิ่งที่จ้าวเหล่ยต้องการจะเอ่ยก็คือ ต่ำช้าหรือ
ซูชี เจ้ารู้ไหมว่าในสายตาของผู้อื่น ความรักที่ข้ามีให้เจ้าถึงกลับกลายเป็นเรื่องต่ำช้า!
ซูชีถูกคนตุมตัวไปขังไว้ในคุกใต้ดินอย่างหยาบคาบ
เขาที่อยู่ในเสื้อแพรสีขาวทั้งตัวยืนอยู่กลางคุกใต้ดินสกปรกและมืดสลัวแล้ว ไม่เพียงแต่จะทำให้เขาสกปรกย่ำแย่ ตรงกันข้าม คุกใต้ดินนี้กลับสว่างขึ้นมาเพราะเขาสะบัดพัดเล็กๆ ด้ามหนึ่ง
คุกใต้ดินพลันสว่างไสว คนคุมสองคนนึกว่าตาของตนเองบอดแล้ว
อย่าเอ่ยเลยว่า บนโลกใบนี้มีคนกลุ่มหนึ่งจริงๆ ที่ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใด ไม่ว่าพวกเขาจะพบเจอกับสภาพแวดล้อมแบบไหน แต่พลังอำนาจบนร่างกลับไม่เคยเปลี่ยนแปลง! ก็เหมือนกับซูชี
ตอนนี้โจรภูเขาคนหนึ่งเดินเข้ามา ก็คือคนที่ไปรายงานให้ลูกพี่ทราบเมื่อครู่นี้ หลังจากกระซิบกับผู้คุมสองคนแล้ว ก็มองซูชีด้วยสายตาประหลาด แล้วจากไป
ซูชีปรายตามองเขาแวบหนึ่ง ขณะที่ยังคงโบกพัดเบาๆ ด้วยท่าทางสง่างามไม่ธรรมดา และไม่ใส่ใจ คล้ายกับว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่คุกใต้ดิน แต่เป็นห้องพักหรูหราที่มีกลิ่นหอมของดอกเหมยกำจายไปทั่ว
หากพูดว่าก่อนหน้านี้ เขาสงสัยว่ากูเสี่ยวซูถูกจับมาที่นี่จะเป็นการคาดเดาแล้วล่ะก็ เช่นนั้นตอนนี้ เขาแน่ใจเต็มร้อยว่า กูเสี่ยวซู คนผู้นี้จะต้องอยู่ที่นี่แน่นอน!
คนเหล่านี้จับเขามา ประการแรกไม่วุ่นวายก้าวก่าย ประการที่สองไม่ซักถามสืบสวน ประการที่สามไม่ต้อนรับดูแล การเปรียบเทียบในสายตานั้นจะปิดบังนัยน์ตาเขาได้อย่างไร
เพียงแค่จุดนี้จุดเดียว ซูชีก็แน่ใจเต็มร้อยแล้วว่า นังหนูกูเสี่ยวซูนั่นอยู่ที่นี่!
นางไม่เพียงอยู่ที่นี่เท่านั้น แต่ดูท่าจะอยู่ร่วมกับพวกเขาได้ไม่เลวด้วย
ซูชีรู้ว่าตอนนี้กูเสี่ยวซูปลอดภัย จึงวางใจไปแปดส่วน
แต่ยังมีอีกสองส่วน ย่อมคือ…สตรีนางหนึ่ง ต่อให้กล้าหาญเพียงใด แต่ถึงอย่างไรก็อยู่ในรังโจร เขาไม่เห็นกับตาตนเองว่านางปลอดภัย ก็ไม่สามารถวางใจได้เต็มที่ใช่หรือไม่
คาดว่าเข้าใจประเด็นสำคัญของเรื่องนี้แล้ว ซูชีก็คิดคำนวณแผนการเรียบร้อยแล้วเช่นกัน จึงหาตำแหน่งที่สะอาดแห่งหนึ่งในคุก แล้วนั่งลง หลับตาพักผ่อน
ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือ เสริมพลังกาย เฝ้ารอการมาถึงของยามค่ำคืน!
เขาจะไปดูให้เห็นกับตาว่า กูเสี่ยวซูกำลังทำบ้าอะไรอยู่กันแน่
ส่วนอีกด้านหนึ่ง กูเสี่ยวซูที่ถูกจ้าวเหล่ยจัดให้อยู่ในห้อง ก็กำลังออกอุบายวางแผนการณ์กันอยู่
“ท่านหญิง ไม่สู้พวกเรามาแสดงละครฉากหนึ่งให้ซูชีดูเถอะ?”
ท่านหญิงซูซูเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ละครอะไร?”
ซูชีมาที่รังโจรภูเขาแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มาหานาง นางจึงไม่แน่ใจเล็กน้อยว่าซูชีมาตามหานางใช่หรือไม่
ซูชีเป็นใคร พวกคนไร้ค่าในมือจ้าวเหล่ยจะสามารถขวางเขาไว้ได้หรือ
เขาหมายความว่าอะไรกันแน่!
จ้าวเหล่ยเอ่ย “ละครการแต่งงานฉากหนึ่ง!”
“ใครกับใคร?” ท่านหญิงซูซูเอ่ยตอบไปอย่างนั้น แต่สมองกลับมีความคิดหนึ่งแวบผ่านไป และรู้แจ้งความหมายของจ้าวเหล่ยทันที นางมองจ้าวเหล่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจ แล้วลุกขึ้นสาดน้ำชาใส่ร่างจ้าวเหล่ย “เจ้าฝันไปเถอะ!”
จ้าวเหล่ยที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะมองร่างที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำชาอย่างจนปัญญา พลางลูบไล้ถ้วยชาในมือ แล้วปลอบว่า “ก็แค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้นเอง”
จ้าวเหล่ยเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง เขาสามารถเอ่ยเงื่อนไขเช่นนี้ออกมาได้ ย่อมต้องผ่านการพิจารณาใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งและรอบคอบมาแล้ว สำหรับความรู้สึกต่อต้านอย่างรุนแรงเช่นนี้ของท่านหญิงซูซู เขาย่อมคาดการณ์ได้แต่แรกแล้ว
บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นสตรีใด ก็ไม่มีทางสวมชุดแต่งงานตามใจชอบ มอบด้านที่งดงามและอ่อนโยนที่สุดในชีวิตตนเองให้กับคนที่ตนเองไม่ชอบ
ส่วนเขา จ้าวเหล่ย ก็ไม่ใช่คนเลวทรามต่ำช้าที่ฉวยโอกาสเอาเปรียบคนอื่นที่กำลังเดือดร้อน แม้ว่าพวกเขาจะตั้งตนเป็นผู้ครอบครองภูเขาแล้วสร้างรังโจรขึ้นมา แต่หลายปีมานี้ กลับไม่เคยปล้นชิงผู้ใดสักคน และไม่เคยมีความคิดอันน่าเหยียดหยามต่อผู้ใดมาก่อนเช่นกัน!
จ้าวเหล่ยเห็นท่าทีเช่นนี้ของท่านหญิงซูซูแล้ว ก็ถอนหายใจเล็กน้อย
“ท่านหญิงซูซู ข้าน้อยรู้ว่าท่านรับเรื่องนี้ไม่ได้ แต่หากไม่สร้างข่าวลือให้บุรุษผู้นี้ได้ยินสักหน่อย ท่านจะหยั่งเชิงฐานะของท่านในใจเขาได้อย่างไร แทนที่จะถูกความรักตามพัวพันเช่นนี้ไปตลอดชีวิต ไม่สู้ตัดไฟแต่ต้นลมให้แตกหักกันไปเลย อย่างน้อยที่สุดหลังจากรู้ผลแล้ว ท่านก็ไม่เสียใจในภายหลัง! และไม่เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์เช่นกัน!”