เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับกัดริมฝีปาก ดวงตาของนางเริ่มเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ”อย่า…”
เสียงร้องอ้อนวอนของนางยิ่งทำให้สายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลึกล้ำขึ้น และจูบของเขาก็ยิ่งทวีความร้อนแรงและเผด็จการมากขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกเหมือนร่างกายถูกแผดเผาจากอุณหภูมิผิวหนังอันร้อนระอุของคนที่นั่งติดอยู่กับนาง และได้ยินเขากระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบาว่า ”หนุ่มรูปงามคนอื่นๆ ที่เจ้าหลงเสน่ห์ทำให้เจ้าพอใจได้เช่นที่ข้าทำหรือไม่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกชาไปทั่วหนังศีรษะ อุณหภูมิร่างกายของนางสูงขึ้นในทุกครั้งที่เขาสัมผัสนาง แม้แต่เป็นคนหัวทึบเพียงใดก็ย่อมเข้าใจได้ว่าองค์ชายกำลังตั้งใจจะให้นางได้ชดใช้ในสิ่งที่นางพูดออกไปก่อนหน้านี้
นางเพียงแค่พูดเล่นเท่านั้น
เขาจำแม้กระทั่งเรื่องนั้นได้อย่างไร
ราวกับอ่านใจนางได้ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”โชคร้ายที่ข้าเป็นคนจู้จี้จุกจิก โหดเหี้ยม และยังเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นอีกด้วย”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …
“อย่าแม้แต่คิดที่จะทิ้งข้าไป” มือใหญ่ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคว้าร่างของนางไว้แน่น ก่อนจะจูบหน้าอกนุ่มๆ ของนางผ่านเสื้อที่สวมอยู่ ”ไม่อย่างนั้น ข้าจะทำให้แน่ใจว่าเจ้าจะไม่มีวันได้ลุกออกจากเตียงนี้อีก”
แม้นางจะไม่เต็มใจ แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เผลอตัวสั่นราวกับวิญญาณถูกดูดออกจากร่าง นางหายใจกระเส่า แก้มทั้งสองข้างของนางแดงก่ำ
แต่ผู้ก่อเหตุยังคงมีสีหน้าสง่างามเต็มไปด้วยศีลธรรมทั้งๆ ที่นิ้วของเขากำลังไล้ไปตามสัดส่วนโค้งเว้าบนร่างของนาง ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะแนบเข้ากับนางในที่สุด ”เจ้าได้ยินข้าหรือเปล่า”
เฮ่อเหลียนยังคงมีสติครบถ้วน นางรู้ว่านางไม่ควรท้าทายอำนาจขององค์ชาย ดังนั้นนางจึงกะพริบตาเป็นสัญญาณขอยอมแพ้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปล่อยมือจากนางด้วยความพึงพอใจ ”เด็กดี ทีนี้ก็กินมื้อเย็นได้แล้ว”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : เดี๋ยวสิ เขาพูดจบแล้วหรือ แต่ข้ายังมีเรื่องพูดอีกเยอะเลยนะ! นางคิดว่ามันคงถึงเวลาแล้วที่นางจะอบรมสั่งสอนองค์ชายให้ดี! นางเป็นคนมีหลักการ และทุกครั้งที่เขาคิดที่จะข่มขู่นาง เขาก็ไม่ควรที่จะแตะต้องนางเช่นนี้โดยที่นางไม่ยินยอม
“ข้าสั่งให้ห้องเครื่องเตรียมปูผัดพริกกับน่องลายของโปรดเจ้าเอาไว้แล้ว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจัดเสื้อ เมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังจ้องเขาอยู่ เขาก็เลิกคิ้วอย่างงดงาม ”เจ้าอยากได้อะไรหรือ อยากให้ข้าทำต่อรึ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรีบส่ายหน้า แล้วนั่งลงอย่างว่าง่ายพร้อมกับชามข้าวในมือ น่องลาย! นางกำลังอยากกินน่องลายอยู่พอดี เอาไว้ค่อยคุยเรื่องนั้นกับเขาวันหลังก็แล้วกัน
อาหารเย็นถูกนำมาวางบนโต๊ะ เมื่อมีไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอยู่ด้วย คนของห้องเครื่องก็ตั้งอกตั้งใจทำงานกันมากขึ้น
น่องลายถูกนำไปลวกผ่านน้ำเพื่อรักษาความเหนียวนุ่มของเนื้อไว้ จากนั้นจึงนำไปผัดโดยไม่ปรุง เมื่อเนื้อสุกแล้วจึงใส่น้ำปรุงรสเพิ่มลงไป ก่อนที่จะถูกยกมาวางบนโต๊ะ น่องลายที่เพิ่งปรุงสุกใหม่ๆ ส่งกลิ่นหอมกรุ่นน่ารับประทานเป็นอย่างยิ่ง
ความสุขถาโถมเข้าใส่เฮ่อเหลียนเวยเวยทันทีที่นางกัดเข้าไปคำแรก กลิ่นเนื้อหอมๆ ลอยอ้อยอิ่งอยู่ที่เพดานปากของนางระหว่างที่นางเคี้ยวเนื้อชิ้นนั้น
แต่ไม่ว่าจะกินไปมากเท่าใด ท้องของนางก็ไม่รู้สึกอิ่ม
นางรู้สึกกระหายน้ำ และในเวลาเดียวกันนั้นท้องของนางก็ส่งเสียงร้องราวกับกำลังขอให้ป้อนอาหารให้มันกินอีก
ดังนั้นนางจึงจัดการปูผัดพริกสองตัว ข้าวสามถ้วย ซาลาเปาไส้เนื้อลูกใหญ่ แล้วตบท้ายด้วยบ๊ะจ่างไส้หวานอีกสองชิ้น… เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยกินอิ่ม นางจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดูเหมือนว่าแม้กระทั่งอาหารในส่วนขององค์ชายก็ยังถูกนางกวาดลงท้องไปเช่นกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
แต่องค์ชายกลับไม่ได้ว่าอะไร แม้กระทั่งเวลาอาหารเขาก็ยังคงดูดีดังเดิม เมื่อถือตะเกียบไม้ไผ่ไว้ในมือ เขาก็ยิ่งดูเหมือนนายแบบหนุ่มสวมชุดโบราณที่อยู่ในโปสเตอร์ เขาวางตะเกียบลงตอนที่นางคีบปูขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้ววางลงในถ้วยของเขาอย่างเงียบๆ จากนั้นเขาก็รับผ้าเช็ดมือมาจากสาวใช้ แล้วเช็ดมือตัวเอง ก่อนจะจัดผมที่ปรกแก้มของนางให้เข้าที่ ”เจ้าไม่ต้องเอาให้ข้าหรอก เจ้าต่างหากที่ควรกินเยอะๆ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้า ก่อนจัดการอาหารที่อยู่บนจานขององค์ชายจนหมดเกลี้ยงเพื่อไม่ให้มันเสียของ
นางรู้ว่าองค์ชายเป็นคนเลือกกิน ถึงสีหน้าของเขาจะราบเรียบเวลากินแคร์รอต แต่มุมปากของเขาจะตกลง นางจึงตัดสินใจคีบอาหารที่เขาไม่ชอบมาไว้ในถ้วยของตัวเอง เพราะนางเป็นคนที่สามารถกินได้ทุกอย่าง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกินเสร็จก่อนนาง แต่เขาก็ไม่ได้ลุกไปจากโต๊ะอาหาร เขานั่งเงียบๆ อยู่ข้างนางพร้อมกับพาดแขนข้างซ้ายไปกับพนักเก้าอี้ของเฮ่อเหลียนเวยเวย บางครั้งบางคราวจึงจะยื่นมือขวาออกไปหยิบอาหารเพิ่มให้กับนาง
ในที่สุดเฮ่อเหลียนเวยเวยก็อิ่มแปล้จนแทบขยับตัวไม่ได้ ก็เป็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนี่เองที่ช่วยเช็ดมือให้นาง และพยุงนางลุกขึ้น ”เจ้าตั้งใจจะเริ่มตรวจสอบเรื่องนี้อย่างไร”
“แน่นอนว่าต้องเริ่มกันจากคนที่ยังไม่ตกเป็นเหยื่อ หญิงสาวทุกคนในละแวกนั้นหายตัวไปกันจนหมด เว้นก็แต่คนที่ชื่อเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ นางเป็นคนเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนั้น ท่านไม่คิดว่ามันแปลกหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดพลางลูบท้องเล็กๆ ของตัวเองด้วยท่าทางสบายๆ
เมื่อเห็นสีหน้าเจ้าเล่ห์ราวกับสุนัขจิ้งจอกของนาง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ห้ามตัวเองไม่ไหว เขาจูบริมฝีปากของนางก่อนพูดว่า ”แปลกอย่างไรหรือ”
“โดยปกติแล้ว คนที่ไม่ได้รับอันตรายมักจะเป็นได้ทั้งคนร้ายหรือไม่ก็คนที่มีความเกี่ยวข้องกับคนร้าย ไม่อย่างนั้น นางก็ควรจะเป็นเป้าหมายรายต่อไปของคนร้าย” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ดวงตาของนางกลับเป็นประกาย ”ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน พวกเราก็ต้องหาตัวนางให้เจอ”
สัญชาตญาณของเฮ่อเหลียนเวยเวยบอกนางว่าการหายตัวไปอย่างไร้คำอธิบายของคนเหล่านี้จะต้องเกี่ยวข้องกับต้นตอของการติดเชื้ออย่างแน่นอน
นางเริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาตอนที่ใต้เท้าหลี่บอกว่า ”ไม่มีสิ่งใดผิดปกติในสถานที่เกิดเหตุ”
มันควรจะมีเบาะแสไม่มากก็น้อยถูกทิ้งเอาไว้ในที่เกิดเหตุ แต่เสนาบดีของกรมขุนนางกลับบอกว่าพวกเขาไม่พบอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว
ถ้าเขาพูดจริง คดีนี้ก็ไม่อาจจัดการในแบบเดียวกันกับคดีคนหายทั่วๆ ไปได้
ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร นางก็จะต้องรีบตีแผ่มันออกมาโดยเร็วที่สุด..
….
พระอาทิตย์ยังไม่ทันลับฟ้า แต่ข้างนอกกลับเริ่มมีหิมะโปรยปราย เมืองหลวงดูมีชีวิตชีวาเมื่อมีผู้คนทุกช่วงวัยเดินสวนกันไปมาอยู่บนถนนสายหลัก ที่แห่งนี้ยังคงสงบสุขเหมือนปกติ
แต่อากาศในซอยที่อยู่ด้านหลังนั้นกลับแตกต่างกันลิบลับ รอบพื้นที่นั้นเต็มไปด้วยความมืดและเงียบสนิท เสียงฝีเท้าของพวกเขาดังสะท้อนไปทั่วบรรยากาศขณะที่เดินเข้าไป
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ไม่คิดจะออกจากบ้านในช่วงพลบค่ำ เพราะระยะนี้สถานการณ์ในละแวกบ้านของนางไม่ค่อยสงบสุขเท่าใดนัก แต่นางจำเป็นต้องนำรองเท้าที่นางเย็บให้กับลูกค้าไปส่ง และต้องส่งมันให้ถึงมืออีกฝ่ายก่อนเช้าวันรุ่งขึ้น
นางรีบออกจากบ้าน การเดินทางของนางยังคงราบรื่นเหมือนอย่างเคย
แต่ทันใดนั้น นางก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบเหมือนมีคนกำลังเดินตามหลังนางอยู่ ความคิดนั้นทำให้นางเริ่มรู้สึกกลัว
ยิ่งนางเดินเข้าไปในซอย เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายและจิตใจอยู่ไม่สุข
นางหยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหันด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะกลั้นหายใจ แล้วออกวิ่ง
นางหยุดวิ่งและกอบโกยลมหายใจเข้าปอดได้ก็ตอนที่ความหวาดกลัวนั้นจางหายไปในที่สุด นางวางมือข้างหนึ่งลงบนหน้าขาของตัวเอง
แต่ตอนนั้นเองที่นางสังเกตเห็นเงาที่เพิ่มขึ้นมาบนพื้น!
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ตัวแข็งขณะที่เลือดในร่างกายกำลังไหลย้อนกลับไปรวมกันที่สมองของนาง นางหวาดกลัวเกินกว่าจะเงยหน้าขึ้นไปมอง
โชคดีที่เงานั้นดูเหมือนจะอยู่ห่างจากนางพอสมควร ถ้านางวิ่งเร็วพอ นางก็น่าจะกลับถึงบ้านของตัวเองที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมของซอยได้อย่างปลอดภัย เวลานี้คนที่อาศัยอยู่ในซอยยังไม่เข้านอน ดังนั้นพวกเขาย่อมได้ยินเสียงนางถ้านางร้องขอความช่วยเหลืออย่างแน่นอน
ขณะที่เหยียนหลิ่วเอ๋อร์กำลังคิดหาทางหนีจากอันตรายนี้อยู่ เจ้าของเงานั้นก็เอ่ยขึ้นว่า ”หลิ่วเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นเคย เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก…