“หลังจากที่นายอำเภอจยาซิ่งได้เสียชีวิตลงเนื่องจากการเจ็บป่วย นายอำเภอซิ่วสุ่ยก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นผู้ว่าการเขตไท่ชัง น่าเสียดายที่หลัวเจิ้นซิ่งเป็นคนอวี๋หัง ข้าเองยังแอบรู้สึกเสียดายแทนเจิ้นซิ่งอยู่เลย นึกไม่ถึงว่าทางมณฑลหูก่วงจะทำการทูลขอให้เปลี่ยนชื่อจากเขตเหอชังเป่ามาเป็นอำเภอจยาเหอ” สวีลิ่งอี๋ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ “ถือว่าเสียอย่าง แต่ได้อีกอย่างมาทดแทน”
วันที่สองเดือนหก หลัวเจิ้นซิ่งที่รอคอยมานาน ในที่สุดก็ได้รับหนังสือจากทางกระทรวงขุนนางให้เข้ารับตำแหน่งเป็นนายอำเภอของจยาเหอในมณฑลหูก่วง เข้าประจำการก่อนเดือนหกวันที่ยี่สิบ ในคืนนั้นสวีลิ่งอี๋ก็ได้จัดงานเลี้ยงฉลองให้กับหลัวเจิ้นซิ่งและส่งเขาออกเดินทาง
“เรื่องนี้ต้องขอบคุณใต้เท้าเซี่ยง” หลัวเจิ้นซิ่งยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่คลุมเครือ “หากไม่ใช่เพราะใต้เท้าเซี่ยงเขียนจดหมายมาหาท่านโหว เกรงว่าข้าคงจะต้องไปแย่งตำแหน่งนายอำเภอที่หนิงโจวกระมัง ถึงเวลานั้นแย่งได้หรือไม่ได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง บางทีอาจจะไปล่วงเกินเหลียงเก๋อเหล่าเสียด้วยซ้ำ อำเภอเล็กๆ เหมือนกัน แต่มีใต้เท้าเซี่ยงและใต้เท้าหวังอยู่ด้วย ดีกว่าที่หนิงโจวเป็นไหนๆ”
แม้ว่าคำพูดจะฟังดูค่อนข้างติดขัด แต่ความเป็นจริงคือช่วงเดือนสามที่ผ่านมานี้ ทางกระทรวงขุนนางได้ปลดตำแหน่งนายอำเภอของจยาซิ่งและซิ่วสุ่ยสองอำเภอที่อุดมสมบูรณ์ไป แต่เพราะหลัวเจิ้นซิ่งเป็นคนอวี๋หัง คนที่มีบ้านเกิดอยู่ที่เดียวกันจะไม่สามารถประจำการในพื้นที่เดียวกันได้ จึงสูญเสียสิทธิ์ในการบรรจุตำแหน่งไป เมื่อเข้าสู่ปลายเดือนสี่ นายอำเภอหนิงโจวก็ได้ย้ายไปประจำการที่เขตอานอี้ เหลียงเก๋อเหล่าอยากจะส่งลูกศิษย์ของเขาเข้าประจำการที่เขตหนิงโจว สวีลิ่งอี๋จึงชั่งใจว่าควรจะไปปรึกษาหารือเรื่องลู่ทางกับเหลียงเก๋อเหล่าดีหรือไม่ แต่แล้วจู่ๆ ใต้เท้าเซี่ยงก็ได้ส่งจดหมายมา ให้พวกเขาชะลอก่อน กลางเดือนห้า ทางฝั่งเหอชังเป่าที่หูก่วงนั้นเต็มไปด้วยโจรขโมย อีกทั้งยังค่อนข้างห่างไกลจากเมือง จึงจะมีการก่อตั้งอำเภอเพื่อปกครองและจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ แทนที่จะไปแย่งตำแหน่งนายอำเภอที่หนิงโจวกับเหลียงเก๋อเหล่า สู้เข้าไปปรึกษาหารือกับเหลียงเก๋อเหล่าเสียยังดีกว่า ไหว้วานเขาให้ช่วยออกหน้ามอบตำแหน่งนายอำเภอของจยาเหอที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่ให้กับหลัวเจิ้นซิ่งแทน
สวีลิ่งอี๋อ่านจดหมายแล้วก็ชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็รีบเรียกหลัวเจิ้นซิ่งมาปรึกษาหารือเรื่องนี้ทันที “หวังเหล่ยผู้บัญชาการมณฑลหูก่วงเคยเป็นบุคคลในสังกัดของข้ามาก่อน หากเจ้าไปที่จยาเหอ ก็จะมีใต้เท้าเซี่ยงและหวังเหล่ยหนุนหลัง มีเรื่องอันใดขึ้นมา ใต้เท้าทั้งสองก็จะเข้ามาให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง!”
หลัวเจิ้นซิ่งกำลังเป็นกังวลใจกับเรื่องนี้อยู่พอดี เมื่อได้ยินแล้วก็รู้สึกคลายกังวลไปในทันที ราวกับได้ดื่มน้ำที่เย็นชื่นใจในต้นฤดูร้อนก็ไม่ปาน หลังจากที่ได้เข้าหาเหลียงเก๋อเหล่าตามวิธีการแบบฉบับของสกุลหลัวเรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นอันสำเร็จลุล่วงไปอย่างไร้ซึ่งความพะวงใดๆ
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “จยาเหอเป็นพื้นที่ที่แร้นแค้น แต่สามารถสร้างผลงานได้ง่าย เวลาที่กระทรวงขุนนางเข้าตรวจสอบประเมินผล ส่วนใหญ่แล้วก็หนีไม่พ้นเรื่องภาษี โจรขโมย คดีเรือนจำ ทะเบียนราษฎร ที่นาและสำนักศึกษา อย่างอื่นก็ง่ายแล้ว หากว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาษี เกรงว่าเจ้าคงจะต้องเหนื่อยหน่อยแล้ว…”
ทั้งสองคุยกันอยู่ในห้องตำรา ส่วนสืออีเหนียงกำลังนั่งจัดระเบียบเสื้อผ้าของจิ่นเกออยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่างในเรือนชิงหยินจวี “…เสื้ออ่าวเล็กผ้าไหมทอลายตัวนี้ข้าตัดเย็บด้วยผ้าไหมของข้าที่เหลือจากปีก่อนโน้น สีค่อนข้างดี เนื้อผ้าก็ยังดูใหม่ เก็บไว้ก่อนดีกว่า ไม่แน่บางทีวันข้างหน้าถิงเกออาจจะได้ใช้ก็เป็นได้!”
อาจินยิ้มพลางขานรับเสียงเบา
จิ่นเกอปัดเส้นผมที่เปียกชุ่มพลางเดินออกมาจากห้องชำระ
“คุณชายน้อยหก คุณชายน้อยหก!” อิงเถาสาวใช้น้อยถือผ้าขนหนูวิ่งตามหลังจิ่นเกอมาติดๆ
“ข้าเช็ดให้ก็แล้วกัน!” สืออีเหนียงพูดขึ้นพลางรับผ้าขนหนูจากมือของอิงเถา จากนั้นก็ช่วยบุตรชายเช็ดผม “โตขนาดนี้แล้ว ไม่รู้จักดูแลตัวเองเอาเสียเลย”
จิ่นเกอหัวเราะเสียงเบาด้วยความชอบใจ จากนั้นก็หย่อนตัวนั่งลงบนเตียงเตาพลางยื่นมือไปหยิบเสื้อที่วางเต็มอยู่บนเตียงเตาขึ้นมาดู “นี่ของข้าหมดเลยหรือ ข้ามีเสื้อผ้ามากมายขนาดนี้เชียว”
“ย่อมต้องเป็นของคุณชายน้อยหกอยู่แล้ว” อาจินยกน้ำอุ่นมาให้จิ่นเกอหนึ่งแก้วด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “บางตัวยังไม่ทันได้ใส่ คุณชายน้อยหกก็ตัวสูงขึ้นเสียแล้ว” พูดพลางชี้ไปยังเสื้อผ้ากองโต “ล้วนตัดเย็บมาจากผ้าเนื้อดีทั้งนั้นเจ้าค่ะ”
จิ่นเกอหยิบขึ้นมาดูอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วเขาก็วางมันลงและไม่ได้สนใจมันอีก จากนั้นก็ถามสืออีเหนียงว่า “ท่านแม่ ท่านลุงจะไปเป็นนายอำเภอที่จยาเหออะไรนั่นจริงๆ หรือขอรับ”
“จริงสิ” สืออีเหนียงช่วยจิ่นเกอเช็ดผมอย่างเบามือ “ทางกระทรวงขุนนางได้ออกหนังสือมาแล้ว วันมะรืนนี้ท่านลุงของเจ้าก็จะต้องออกเดินทาง”
จิ่นเกอนึกถึงช่วงเวลาครึ่งปีที่อยู่ร่วมกันมา พลันรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก “เหตุใดถึงต้องไปที่โน่น ที่เมืองเยี่ยนจิงไม่ดีหรือ ไกลขนาดนั้น เวลาถึงเทศกาลหรือปีใหม่ก็ไม่ได้เจอหน้ากัน…” จิ่นเกอพูดขึ้นพลางหันไปมองสืออีเหนียง “ท่านแม่ ท่านไปโน้มน้าวท่านลุงเถิด อยู่ที่เมืองเยี่ยนจิงก็สามารถเลื่อนขั้นจนเป็นขุนนางระดับห้าได้ เหตุใดถึงต้องทิ้งผลประโยชน์ที่อยู่ใกล้แล้วไปแสวงหาผลประโยชน์ที่อยู่ไกลแทนด้วยเล่า ไปอยู่ในถิ่นที่ทุรกันดารและห่างไกลแบบนั้น!”
หลังจากได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางระดับห้าแล้วก็จะได้รับยศพระราชทาน หรือที่ว่ากันว่าแต่งตั้งยศแก่ภรรยา แผ่ร่มบารมีสู่ลูกหลาน
“ท่านลุงของเจ้าไม่ได้ทำเพื่อยศพระราชทานหรือตำแหน่งขุนนางข้าราชการเท่านั้น” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “แต่เขาอยากที่จะทำคุณงามความดีเพื่อราษฎรด้วยความตั้งใจ ไม่อยากที่จะเสียเวลาไปกับการเขียนสาส์นเหล่านั้น”
จิ่นเกอนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นก็ขานรับเสียงเบาว่า “ขอรับ” แล้วจึงพูดต่อไปว่า “ข้าเข้าใจแล้ว…” น้ำเสียงฟังดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะหุบยิ้มลง “เจ้ารู้อะไรมาหรือ” สืออีเหนียงหยิบหวีขึ้นมาช่วยจิ่นเกอหวีผมที่ยังเปียกหมาดเล็กน้อย
จิ่นเกอหันกลับไปพลางเอียงศีรษะจ้องมองสืออีเหนียง “ท่านลุงใหญ่คงอยากจะเป็นเหมือนเช่นท่านลุงเขยห้ากระมัง! ตอนข้าไปเหวินเติงครั้งที่แล้ว ท่านลุงใหญ่ก็เคยพูดให้ข้าฟัง” เขาพูดพลางยิ้มขึ้น “ข้าเองก็เหมือนกัน รอให้ข้าโตขึ้น ข้าจะไปประจำการที่ด่านหุบเขาจยาอวี้…” ตาหงส์ดวงโตเป็นประกายแวววาว แววตาเต็มไปด้วยความฝันใฝ่
สืออีเหนียงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
ตั้งแต่จิ่นเกอกลับเมืองหลวงมา นางยังไม่มีโอกาสคุยเรื่องนี้กับเขาอย่างจริงจังเลยสักครั้ง หนึ่งคือสืออีเหนียงรู้สึกว่าจิ่นเกอจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาเพื่อทำความเข้าใจกับการเดินทางไปยังเจียงหนานในครั้งนี้ สองคือจิ่นเกออายุยังน้อย แต่นึกไม่ถึงเลยว่าในใจของเขากลับยังคงโหยหาแต่ซีเป่ยไม่ห่างหาย!
“เจ้าตัดสินใจจะไปด่านหุบเขาจยาอวี้เร็วขนาดนี้เชียวหรือ” จู่ๆ มือที่กำลังหวีผมก็ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด “เจ้าบอกกับแม่เองไม่ใช่หรือ ว่า ‘กลอุบายยืมลูกเกาทัณฑ์ของจูกัดเหลียง แยบยลเหนือชั้นไร้ซึ่งเทียมทาน จิวยี่วางเพลิงเผาเซ็กเพ็ก ยิ่งใหญ่เกรียงไกรและทรงพลังอำนาจ…’”
“ใช่ขอรับ!” จิ่นเกอยิ้มพร้อมกับพูดต่อไปว่า “แต่ข้าชอบซีเป่ยที่สุด ที่นั่นท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล ทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่เหมือนเจียงหนาน ทุกสิ่งทุกอย่างดูเล็กไปหมด เหล่าบรรดาชายชาตรีปฏิบัติหน้าที่ราวกับหญิงสตรีที่แต่งงานแล้วก็ไม่ปาน…”
“พูดจาเหลวไหล!” สืออีเหนียงพูดขึ้น “ท่านลุงของเจ้าเป็นคนเจียงหนาน อาจารย์จ้าวเป็นคนเจียงหนาน เฉินเก๋อเหล่าและโต้วเก๋อเหล่าล้วนแต่เป็นคนเจียงหนานทั้งสิ้น มีใครเหมือนหญิงที่แต่งงานแล้วกันเล่า บ้านเมืองเรื่องใหญ่โต ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจชี้ขาดของพวกเขาทั้งสิ้น สี่มหาสมุทรสุขสงบได้ ไม่ใช่คุณงามความดีของพวกเขาหรืออย่างไรกัน”
สำหรับจิ่นเกอแล้ว ถึงแม้ว่าเจียงหนานจะดีแค่ไหนก็ตาม แต่ซีเป่ยเหมาะกับนิสัยใจคอของเขามากกว่า เขาอยากที่จะไปซีเป่ย แต่หากว่ามารดารู้สึกว่าที่ซีเป่ยไม่ดี คงจะต้องคัดค้านเขาอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าบิดาของเขาจะได้รับปากแล้วก็ตาม เกรงว่าคงจะต้องมีอุปสรรคหรือการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ตามมาเป็นแน่แท้ หากมีอะไรผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว อาจจะไม่ได้ไปเลยก็ว่าได้!
ตนจะต้องโน้มน้าวมารดาให้ได้
“ท่านแม่ ซีเป่ยเป็นที่ที่ดีมากขอรับ!” จิ่นเกอพูดขึ้น “ที่นั่นกว้างใหญ่ไพศาล อีกทั้งสูงชันและไกลโพ้น คิดอยากวิ่งก็วิ่ง คิดอยากกระโดดโลดเต้นก็กระโดดโลดเต้น…”
“แต่ที่ซีเป่ยลำบากมาก” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ที่นั่นคละคลุ้งไปด้วยพายุทราย อีกทั้งยังไม่มีของอร่อย เจ้าก็แค่ไปเที่ยวประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น หากว่าเจ้าอยู่ที่โน่นนานๆ เข้าคงจะรู้สึกเบื่อหน่าย เหมือนกับตอนที่เจ้าอยู่บ้านตลอดเวลา รู้สึกน่าเบื่อไม่มีอะไรน่าสนใจ”
“เปล่าเสียหน่อย!” จิ่นเกอร้อนใจขึ้นมาทันที เขารีบหมุนตัวกลับมาประจันหน้ากับสืออีเหนียงโดยที่ไม่สนใจว่านางกำลังช่วยเขาหวีผมอยู่ “ข้าและท่านพ่อเดินทางตั้งแต่ด่านหุบเขาจยาอวี้จนถึงเขตปกครองฮามี่เว่ย ทานขนมต้าปิ่งทุกวัน บางครั้งยังต้องค้างแรมกลางป่าเสียด้วยซ้ำ แต่เวลาที่ได้ขี่ม้าวิ่งผ่านเนินสูง ทอดสายตามองไปยังผืนแผ่นดินที่อยู่เบื้องล่าง เทือกเขาที่สูงใหญ่ถูกซ่อนอยู่ข้างหลังข้าจนหมด ข้ารู้สึกว่ามันน่าหลงใหลเป็นอย่างมาก” พูดจบเขาก็ยิ้มขึ้น “ไม่เหมือนตอนไปเจียงหนานกับท่านลุง แค่เรือนไม้สูงสามชั้นก็พูดว่าจะเก็บดาว แค่เนินเขาเล็กๆ ก็เรียกมันว่าเทือกเขา แค่สระน้ำเล็กๆ ก็เรียกมันว่าทะเลสาบ ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย…” สีหน้าของเขาแลดูเบื่อหน่าย
เยี่ยมั่วเหยียนเคยขี่ม้า
เวลาที่นั่งอยู่บนอานหลังม้า ทัศนวิสัยของคนเราก็จะกว้างไกล แผ่นดินและผู้คนก็จะอยู่เบื้องล่าง รู้สึกเหมือนได้อยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งปวง ทำให้ผู้คนมากมายลุ่มหลงในความพิศวงของมัน
บางทีการที่เขาชอบขี่ม้าอาจเป็นเพราะสามารถวิ่งได้อย่างอิสรเสรีดังใจหวัง
“เจ้าไปไกลถึงที่นู่นเพียงเพราะอยากจะขี่ม้าเท่านั้นหรือ” สืออีเหนียงถามเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
จิ่นเกอส่ายหน้าเบาๆ เขาเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบกลับไปว่า “ข้าอยากเป็นผู้บัญชาการกองทัพทหารของด่านหุบเขาจยาอวี้!”
สืออีเหนียงตกใจเป็นอย่างมาก “เหตุใดถึงต้องไปเป็นผู้บัญชาการกองทัพทหารของด่านหุบเขาจยาอวี้ด้วย”
“เมื่อถึงฤดูหนาว ชาวตาดมองโกล[1]ก็จะพากันออกปล้นสะดมและแย่งชิงข้าวของของชาวบ้านที่ด่านหุบเขาจยาอวี้ ในฤดูหนาวของทุกๆ ปีก็จะมีคนมากมายที่ต้องเสียชีวิตลงเพราะเหตุการณ์นี้ ข้าเคยเห็นคนที่ไม่มีแขนไม่มีขา ต้องไปเป็นขอทานตามท้องถนน” ใบหน้าเล็กๆ ของจิ่นเกอค่อยๆ ตึงเครียดขึ้นมา “ตอนที่ผู้บัญชาการกองทัพทหารด่านหุบเขาจยาอวี้ดื่มสุรากับท่านพ่อก็เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ทั้งน้ำตา ว่าเขานั้นชราภาพแล้ว ต่อสู้กับชาวตาดมองโกลไม่ไหวแล้ว ให้ท่านพ่ออย่าถือโทษโกรธเขา ท่านพ่อเองก็จนใจอย่างที่สุด พากันก้มหน้าก้มตาดื่มสุรากับผู้บัญชาการกองทัพทหารด่านหุบเขาจยาอวี้ทั้งคืนจนเมามายทั้งคู่” ขณะที่พูดอยู่นั้น มือน้อยๆ ของเขาก็กำหมัดแน่น “หากข้าโตแล้ว ข้าจะเป็นผู้บัญชาการกองทัพทหารของด่านหุบเขาจยาอวี้ ไปปราบปรามชาวตาดมองโกล ให้พวกมันขยาดกลัว ไม่กล้าที่จะมาปล้นข้าวของของเราอีก”
สืออีเหนียงจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า ทั้งรู้สึกคุ้นเคยทั้งรู้สึกแปลกหน้าในเวลาเดียวกัน
“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าการต่อสู้กับชาวตาดมองโกลนั้นเป็นเรื่องที่อันตราย” ดวงตาของนางมีเงาสะท้อนของน้ำตาเป็นประกายแวววาว “หากชะล่าใจไปหน่อยเดียว ไม่เพียงแต่ไม่สามารถปราบปรามชาวตาดมองโกลได้เท่านั้น แต่ยังพ่วงชีวิตของเจ้าไปด้วย ฉังอานและสุยเฟิงที่ติดตามเจ้าไปก็จะพลอยติดรากแห เอาชีวิตไปทิ้งกับเจ้าด้วย!”
“ไม่หรอกขอรับ!” จิ่นเกอพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม จากนั้นก็เข้าไปจูงมือของสืออีเหนียงเดินออกไปยังด้านนอก เมื่อถึงกลางลานสวนก็หยุดฝีเท้าลง
ข้างๆ ลานสวนมีชั้นวางที่ใช้สำหรับวางอาวุธต่างๆ บนชั้นเรียงรายไปด้วยหอกยาว กระบอง ทวนอสรพิษและอาวุธอื่นๆ อีกมากมาย
จิ่นเกอเดินเข้าไปพลางหวดไม้กระบองไปมา เขาตวัดไม้กระบองอยู่ครู่หนึ่ง กลางอากาศเต็มไปด้วยเสียงที่เกิดขึ้นจากการเสียดสีของลม เขาพยักหน้าเบาๆ ด้วยความพึงพอใจ จากนั้นหวดไม้กระบองไปยังต้นทับทิมที่อยู่ข้างๆ
สวบ! กิ่งไม้ขนาดเท่าต้นแขนหักและตกลงบนพื้น
“ท่านแม่!” แสงของโคมไฟสีแดงที่แขวนอยู่ใต้ชายคาส่องกระทบลงบนใบหน้าของเขา สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจที่ไม่อาจปกปิดได้ “ข้าเก่งหรือไม่! ต่อไปภายภาคหน้าข้าจะเก่งมากขึ้นเรื่อยๆ! ฉังอานและสุยเฟิงที่ติดตามข้า จะไม่เอาชีวิตไปทิ้งอย่างแน่นอน” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น
“จิ่นเกอ!” สืออีเหนียงเรียกชื่อของเขาด้วยความเจ็บปวด เดินเข้าไปกอดบุตรชายอย่างทะนุถนอม “การสู้หัวชนฝาไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องเสมอไป เจ้าจะต้องเรียนรู้ว่าต้องจัดวางกองทัพทหารและเคลื่อนพลอย่างไร เรียนรู้ว่าจะสื่อสารและคบค้าสมาคมกับเหล่าบรรดาขุนนางในราชสำนักอย่างไร รวมไปถึงวิธีการบัญชาการเหล่าพลทหาร” จู่ๆ ภาพที่อยู่เบื้องหน้าก็เลือนรางไปหมด รู้สึกจุกอกจนพูดไม่ออก “มันคือหนทางที่ยากและลำบากที่สุด….”
หนทางที่บุตรชายจะเดินนั้นเต็มไปด้วยความลำบากยากเข็ญ นางจึงรู้สึกเจ็บปวดหัวใจอย่างที่สุด แต่ไม่รู้เพราะสาเหตุอันใด ลึกๆ ในใจของนางถึงได้รู้สึกภาคภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก
หยาดน้ำตาของนางค่อยๆ ร่วงหล่นลงมา
“ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไป” จิ่นเกอถามขึ้นด้วยความแปลกใจ แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ในทันที “ท่านกลัวว่าหลังจากที่ข้าไปซีเป่ยแล้ว ท่านจะไม่ได้เจอข้าอีกหรือ ไม่หรอกขอรับ ข้าจะคอยเขียนจดหมายมาหาท่านบ่อยๆ และหากมีเวลาว่าง ข้าก็จะรีบกลับมาเยี่ยมท่านอย่างแน่นอน…”
สืออีเหนียงค่อยๆ เริ่มสะอึกสะอื้นขึ้นมา
จิ่นเกอเห็นแล้วก็ทำตัวไม่ถูก “ท่านแม่ ข้า…ข้ายังไม่ได้ไปเสียหน่อย ผู้บัญชาการกองทัพทหารของด่านหุบเขาจยาอวี้บอกแล้วว่ารอให้ข้าได้สวมรองเท้าหนังจามรีคู่นั้นแล้ว จึงค่อยเดินทางไปที่ซีเป่ยขอรับ…”
จู่ๆ ก็มีอ้อมแขนที่มั่นคงและอบอุ่นเข้ามาโอบกอดสองแม่ลูกไว้
“พอแล้ว พอแล้ว หยุดร้องไห้ได้แล้ว!” สวีลิ่งอี๋ปลอบโยนสืออีเหนียงด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “จิ่นเกอไม่เป็นอะไรหรอก…ตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพทหารด่านหุบเขาจยาอวี้ไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถทำหน้าที่ได้…หากจิ่นเกอไม่มีความสามารถ ข้าไม่ปล่อยให้เขาไปอย่างแน่นอน…”
สืออีเหนียงซุกใบหน้าเข้าไปในอ้อมกอดที่อบอุ่นของเขาพลางร้องไห้เสียงเบาขึ้นมาอีกครั้ง
[1]ชาวตาดมองโกล ชื่อมองโกลเผ่าหนึ่งที่ชอบรบราฆ่าฟันและอพยพเร่ร่อนอยู่เสมอ