“ข้าสบายดี” เหยียนหลิ่วเอ๋อร์รู้สึกโล่งใจ จังหวะการพูดของนางจึงเริ่มเร็วขึ้น
“เจ้าดูไม่เหมือนคนที่สบายดีเท่าใดนัก” เจ้าของเงานั้นยืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับถือถังไม้ไว้ในมือ เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”หลังตะวันตกดิน สาวงามเช่นเจ้าควรอยู่แต่ในบ้านจะดีกว่า”
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ยิ้ม พร้อมกับเดินเข้าไปหาเจ้าของเงานั้น ”ข้าสบายดีจริงๆ ข้าแค่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นละแวกนี้ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเท่านั้น”
“ในเมื่อเจ้าไม่เป็นอะไร เจ้าก็ควรรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุด อย่างไรเจ้าก็เป็นหญิงสาวที่สุภาพเรียบร้อยเพียงคนเดียวในละแวกนี้” เงานั้นพูดพลางวางถังไม้ลงกับพื้น จากนั้นเขาจึงพึมพำว่า ”อย่าได้ทำตัวเหมือนหญิงสาวคนอื่นๆ เล่า”
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ยิ้มเงียบๆ และพยักหน้าแทนคำตอบ แต่ความรู้สึกชวนขนลุกที่อยู่ในอากาศ ณ ขณะนี้กลับชัดเจนเสียจนนางต้องหันกลับไปมองทางด้านหลังอีกครั้งอย่างลืมตัว
เงาร่างนั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับจ้องมองนาง เขาโบกมือและเร่งให้นางรีบกลับบ้าน
คราวนี้เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ไม่ลังเล นางรีบตรงกลับบ้านทันที แต่เมื่อนางเปิดประตูบ้าน นางก็ได้รับการต้อนรับด้วยน้ำเสียงอันสงบของใครคนหนึ่ง ”ขอโทษที ที่นี่ใช่บ้านของเหยียนหลิ่วเอ๋อร์หรือไม่”
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ตัวสั่น ก่อนที่นางจะหันกลับไปหาพวกเขา คนทั้งสองดูงดงามอย่างยิ่งแม้จะอยู่ในชุดลำลองธรรมดา นางอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะตั้งสติได้ แล้วพยักหน้าให้ผู้มาเยือน
เฮ่อเหลียนเวยเวยปลอมตัวเป็นชาย นางมองหญิงสาว ก่อนที่สุดท้ายสายตาของนางจะไปหยุดอยู่ที่รองเท้าของหญิงสาว ”เมื่อครู่นี้เจ้าเดินผ่านซอยนั้นมาหรือ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร…” เหยียนหลิ่วเอ๋อร์สับสน เขารู้ว่าข้าไปไหนมาได้อย่างไร
แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมไม่เปิดเผยให้เหยียนหลิ่วเอ๋อร์รู้ว่านางได้ทำการสำรวจพื้นที่ทั้งหมดมาแล้ว ทางเข้าตรอกนั้นเป็นเพียงที่แห่งเดียวที่ยังมีหิมะทับถมกันอยู่ ในขณะที่หิมะที่อื่นละลายหมดแล้ว แต่พื้นรองเท้าของเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ยังมีเศษหิมะติดอยู่ ไม่ใช่แค่นั้น ใบหน้าของนางซีดเผือด อีกทั้งยังมีอาการหอบ สองสิ่งนี้ทำให้รู้ได้อย่างชัดเจนว่านางคงเพิ่งผ่านการวิ่งมาพักใหญ่
มีความเป็นไปได้สูงว่านางวิ่งหนีเพราะความกลัว ไม่อย่างนั้นนางก็คงไม่ตัวสั่นก่อนที่จะหันหน้ากลับมาทักทายเฮ่อเหลียนเวยเวย
มันเป็นหนึ่งในปฏิกิริยาตอบสนองปกติเวลาที่ใครสักคนอยู่ในอาการตื่นตระหนก
หลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยมองสำรวจนางอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงกระตุกยิ้มขึ้น ”เมื่อครู่นี้พวกข้าเห็นเจ้าเข้าพอดี”
“มิน่าล่ะข้าถึงได้รู้สึกเหมือนถูกใครสักคนเดินตาม” เหยียนหลิ่วเอ๋อร์พึมพำกับตัวเอง
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยบังเอิญได้ยินคำพูดที่เหยียนหลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น นางรีบจดมันไว้ในใจทันที นางหันกลับไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่เข้าใจดีว่าคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นเพียงข้อแก้ตัวเท่านั้น ความจริงแล้วพวกเขาไม่เคยเห็นเหยียนหลิ่วเอ๋อร์มาก่อน แต่จากที่เหยียนหลิ่วเอ๋อร์พูด ดูเหมือนนางจะคิดว่าเมื่อครู่นี้มีใครบางคนเดินตามหลังนางมา
สายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยลึกล้ำขึ้น แต่พอนางหันไปหาเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ นางก็รีบยิ้มออกมาอีกครั้ง ”เจ้าบอกว่าเจ้าคิดว่ามีคนเดินตามหลังเจ้าหรือ”
“ใช่” เพราะความหวาดกลัวที่ยังคงอยู่ เหยียนหลิ่วเอ๋อร์จึงหันมองไปรอบตัว จากนั้นนางจึงตอบด้วยรอยยิ้มเขินๆ ว่า ”บางทีข้าอาจจะขี้กลัวเกินไปเอง ช่วงนี้แถวบ้านเราไม่ค่อยสงบสุขนัก ข้าจึงอดคิดมากไม่ได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยสามารถบอกได้ว่าความกลัวของเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ไม่ได้เสแสร้ง ดังนั้นนางจึงแอบสรุปอยู่ในใจว่าเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ไม่ใช่คนร้าย นางยิ้มตอบอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นแต่ก็ดูเหนื่อยล้า จากนั้นจึงเอ่ยว่า ”หญิงสาวออกไปข้างนอกยามวิกาลย่อมไม่ปลอดภัยจริงดังว่า ข้าได้ยินเหตุร้ายที่เกิดขึ้นในละแวกนี้ตลอดช่วงสองสามวันที่ผ่านมาแล้ว แต่ข้ายังไม่รู้รายละเอียดของมันมากนัก เจ้าบอกว่ารู้สึกว่ามีคนสะกดรอยตามเจ้า นั่นเป็นสาเหตุที่เจ้าวิ่งหนีหรือ”
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์รู้สึกเขินเล็กน้อย ”ท่านเห็นข้าวิ่งหนีด้วยหรือ ข้ากลัวยิ่งนัก ทั้งๆ ที่ข้างหลังข้าไม่มีใครอยู่เลย แต่จะว่าไป ท่านมาถึงที่นี่ก่อนข้าได้อย่างไร ท่านบอกว่าท่านอยู่ข้างหลังข้ามิใช่หรือ”
แม้เหยียนหลิ่วเอ๋อร์จะมองเห็นช่องโหว่ในคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังคงสงบเยือกเย็นพร้อมกับโกหกออกมาว่า ”พวกเราใช้ทางลัด”
“ทางลัดหรือ” เหยียนหลิ่วเอ๋อร์มีสีหน้างุนงง ”ข้าก็ใช้ทางลัด มีแค่คนที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้เท่านั้นที่จะรู้เรื่องทางลัดนั่น”
คนฉลาดอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมไม่คิดที่จะพูดประเด็นนั้นต่อ นางรีบเปลี่ยนคำถามทันที ”ดึกป่านนี้เจ้าออกมาทำไมหรือ เจ้าคือเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ใช่หรือเปล่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยถามทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แล้ว
ทันทีที่เหยียนหลิ่วเอ๋อร์หันหน้ากลับมามองพวกเขา เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้ได้ถึงตัวตนของหญิงสาวผู้นี้
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ดูกังวลอย่างยิ่ง นางลังเลที่จะตอบคำถามนี้
บังเอิญที่มารดาของหลิ่วเอ๋อร์ปรากฏตัวขึ้นพอดี นางดูโล่งใจเมื่อได้เห็นหลิ่วเอ๋อร์ ”ทำไมเจ้าถึงไม่เชื่อคำข้าบ้าง ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งกี่หนแล้วว่าช่วงนี้อย่าออกไปไหนตอนกลางคืน เจ้าไม่รู้หรือว่าข้างนอกมันอันตราย”
มารดาของหลิ่วเอ๋อร์เอ่ยตำหนิเหยียนหลิ่วเอ๋อร์ จากนั้นนางจึงสังเกตเห็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยและเฮ่อเหลียนเวยเวย นางจึงหยุดพูดไปชั่วขณะ และถามว่า ”คุณชายทั้งสองเป็นใครหรือเจ้าคะ”
แม้จะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าถูกๆ แต่ทั้งสองก็ดูเหมือนขุนนาง ยิ่งเมื่อบวกกับรูปลักษณ์อันหล่อเหลา ก็ยากที่จะไม่มีใครสังเกตเห็นพวกเขา ชายที่ยืนอยู่ไกลออกไปยืนอยู่ห่างจากนางมากทีเดียว เขาสวมเพียงเสื้อคลุมหน้าตาธรรมดา แต่บรรยากาศที่เขาแผ่ออกมากลับโดดเด่นอย่างมาก
เขาดูเหมือนขุนนางระดับสูงที่นางเคยเจอเมื่อไม่นานมานี้
มารดาของหลิ่วเอ๋อร์รู้สึกหวั่นใจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าการให้องค์ชายปลอมตัวเป็นสามัญชนย่อมเป็นเรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้ ดังนั้นนางจึงจำต้องแสดงท่าทีเป็นมิตรออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเป็นการรับผิดชอบต่อเรื่องนี้
สมัยอยู่ที่ยุคปัจจุบัน นางเคยเรียนเรื่องอาชญาวิทยามาก่อน และนางเข้าใจดีว่าคนอย่างมารดาของหลิ่วเอ๋อร์กำลังคิดอะไรอยู่
โดยปกตินั้น เวลาที่คนทั่วไปรู้ว่ามีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นในละแวกที่ตัวเองอยู่ พวกเขาย่อมขอความช่วยเหลือจากรัฐ แต่ในขณะเดียวกันก็จะเก็บงำความลับบางอย่างเอาไว้กับตัวเองโดยไม่รู้ตัว
ไม่ใช่แค่เพราะพวกเขากลัวภาครัฐ แต่เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องที่อาจทำให้ตัวเองเดือดร้อน
ดังนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงไม่ได้ทำเหมือนตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่ และเลือกที่จะแต่งตัวเป็นคนธรรมดาเพื่อตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นในซอยนั้น
แต่ตราบใดที่มีองค์ชายอยู่ด้วย พวกเขาย่อมไม่มีวันดูเป็นสามัญชนได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วเมื่อคิดได้ดังนั้น แต่นางก็เอ่ยขึ้นว่า ”เอ่อ ข้ากับสหายผ่านมา และบังเอิญได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่เข้าพอดี พวกข้าจึงตัดสินใจกันว่าจะตรวจสอบดูเสียหน่อย แต่ตอนนี้พวกข้าเสร็จธุระแล้ว ข้าแค่อยากบอกว่าฮูหยินควรระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง คงเป็นโชคดีที่เราได้เจอกัน ข้ามียันต์ผ้าเหลืองอยู่ ฮูหยินจะนำติดตัวไปด้วยก็ได้ แล้วก็ อันที่จริง…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงส่ายหน้า ”ช่างเถิด อย่างไรเจ้าหน้าที่พวกนั้นก็ห้ามไม่ให้ข้าพูดถึงเรื่องนี้”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้ว่านางจงใจพูดเช่นนี้เพื่อล่ออีกฝ่าย เขาจึงเหลือบมองเฮ่อเหลียนเวยเวย ริมฝีปากบางสวยของเขาโค้งขึ้น รอยยิ้มนั้นดูราวกับเยาะเย้ย แต่ก็แฝงไปด้วยความพอใจ
เป็นอย่างที่เฮ่อเหลียนเวยเวยคิด มารดาของหลิ่วเอ๋อร์ห้ามตัวเองไว้ไม่ได้อีกต่อไปเมื่อนางได้ยินคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย ”เมื่อครู่นี้คุณชายจะพูดอะไรรึ จริงๆ แล้วมีอะไรเกิดขึ้นที่นี่หรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่ายศีรษะอีกครั้ง
มารดาของหลิ่วเอ๋อร์ก้าวเข้าไปหาเฮ่อเหลียนเวยเวย ”ท่านกำลังจะบอกว่าที่นี่มีผีหรือ”
เมื่อเห็นนางเริ่มคล้อยตาม เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ตอบอย่างกำกวมว่า ”ข้ายังไม่ได้พูดเลยสักคำ แต่ดูเหมือนว่าฮูหยินคงจะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว”
คนจากยุคโบราณล้วนแต่งมงายและเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างสุดหัวใจ มารดาของหลิวเอ๋อร์พยักหน้าอย่างรุนแรง ดวงตาของนางปกคลุมไปด้วยความกังวล ”วันนั้นตอนที่เจ้าหน้าที่ไม่พบเบาะแสอันใดเลย ข้าก็รู้ได้ทันทีว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายถึงเพียงนั้น คุณชาย ท่านคงไม่รู้หรอกว่า…”