ตอนที่ 686 ชีวิตในคุกของหลินเพ่ย
เพียงชั่วพริบตา วันจันทร์ของต้นสัปดาห์ก็เดินทางมาถึง
หลินเพ่ยตื่นนอนเวลาตีห้าครึ่งพร้อมกับเพื่อนนักโทษ ก่อนเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย…
หลินเพ่ยมีรูปร่างผอมแห้งและน่าเกลียด หล่อนมักถูกรังแกโดยเพื่อนร่วมห้องขังในเรือนจำ
หล่อนมีเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงในการทำความสะอาดร่างกาย เนื่องจากนักโทษคนอื่น ๆ ใช้ห้องน้ำเสร็จแล้ว ดังนั้นจึงถึงคราวของหลินเพ่ยที่จะอาบน้ำ
ในขณะที่กำลังอาบน้ำ หลินเพ่ยได้เหลือบมองตัวเองในกระจกบนผนัง จากนั้นก็เบือนหน้าหนีด้วยความคลื่นไส้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพ่อลูกตระกูลไป๋หรือผู้ต้องขังที่ตบตีหล่อนอย่างรุนแรง หรือหมอที่หล่อนจ้างมาไม่เชี่ยวชาญเรื่องการทำศัลยกรรม ภายในหนึ่งเดือนที่ถูกคุมขัง ใบหน้าที่ผ่านการศัลยกรรมทั้งหมดของหล่อนก็พังยับ
จมูกของหล่อนบิดเบี้ยว ใบหน้าผิดรูปแปลกไปจากที่เคย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยรอยหลุมสิวดุจผิวของดวงจันทร์ ไม่น่ามองยิ่งนัก
จากที่น่ารังเกียจอยู่แล้วก็ทำให้ยิ่งไม่น่ามองมากขึ้นไปอีก
คนที่มีจิตใจอ่อนแอจะรับไม่ได้ที่ตนกลายเป็นแบบนี้
หลินเพ่ยเองก็รับไม่ได้เช่นกัน แต่หล่อนอดทนได้
หลังออกจากคุก หล่อนจะหาทางทำให้ตัวเองสวยขึ้นให้ได้
หล่อนจะต้องกลับมางดงามเฉิดฉายอีกครั้งอย่างแน่นอน
หลังจากทำงานหนักมาทั้งเช้า ในที่สุดก็ได้เวลาอาหารกลางวัน
หลินเพ่ยลากขาอันปวดระบมของหล่อนเดินตามผู้ต้องขังคนอื่น ๆ ไปยังโรงอาหารเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน
วันนี้เป็นครั้งแรกที่มีหมูตุ๋นเป็นอาหารกลางวัน นักโทษทุกคนต่างตื่นเต้นมาก
อาหารชั้นดีเช่นนี้แม้แต่นักโทษธรรมดาก็ไม่เคยได้กิน นับประสาอะไรกับนักโทษใช้แรงงานอย่างพวกหล่อน
นี่เป็นครั้งที่สองที่หลินเพ่ยได้กินหมูตุ๋นตั้งแต่ถูกคุมขัง
ระหว่างรอเข้าแถวกินอาหาร หล่อนก็น้ำลายสอไปกับหมูตุ๋นในหม้อใบใหญ่
เหล่าแก๊งอันธพาลในคุกต่างจับจองอาหารของตนไว้แล้ว เมื่อเดินผ่านหลินเพ่ยจึงบอกกล่าวกับหล่อน “อย่าคิดจะกินหมูตุ๋นเด็ดขาด เธอต้องรู้จักให้เกียรติรุ่นพี่!”
หลังกล่าวจบ คนเหล่านั้นก็จากไป
ครั้งแรกที่เหล่านักโทษได้กินหมูตุ๋น หลินเพ่ยทำได้เพียงดมกลิ่น เพราะอันธพาลกลุ่มนี้ไม่อนุญาตให้หล่อนกิน
คราวนี้หล่อนจะไม่ยอมให้ใครกินหมูตุ๋นของหล่อนเป็นอันขาด
ทันทีที่ได้หมูตุ๋นมาไว้ในมือ หลินเพ่ยก็ยืนใกล้กับผู้คุมที่กำลังกินข้าว และรีบสวาปามหมูตุ๋นจนหมดราวกับสุนัขเขมือบอาจม
เหล่าทรราชคุกเห็นหล่อนจากระยะไกล ใบหน้าของพวกหลอนพลันครึ้มทะมึนและมองไปที่หลินเพ่ยอย่างเย็นชา
แต่หลินเพ่ยก็ไม่สนใจ
ผลของการกตัญญูกับคนพาลในคุกก็เท่ากับไม่กตัญญู เพราะไม่ว่าอย่างไรก็โดนทุบตีทุกวัน
ดังนั้นการกินดับความหิวย่อมดีกว่ายอมทรมานตัวเองให้หิวโหย
หลังอาหารกลางวัน หลินเพ่ยก็อยากไปที่ห้องอ่านหนังสือเพื่อพักสักหนึ่งชั่วโมง
ไม่ใช่ว่าหล่อนสนใจอ่านหนังสือ แต่เป็นเพราะที่นั่นมีผู้คุมรักษาความสงบเรียบร้อยอยู่ และผู้คุมเรือนจำจะช่วยปกป้องไม่ให้ผู้ใดทำร้ายหล่อนได้
แต่ก่อนที่จะไปถึงห้องอ่านหนังสือ หล่อนก็ถูกหญิงสองสามคนลากไปที่มุมห้อง ปิดปากหล่อนแน่นด้วยเศษผ้าเน่าก่อนจะทุบตีและเตะหล่อน
คนเหล่านี้ล้วนมีประสบการณ์ พวกหล่อนทุบตีเฉพาะส่วนของร่างกายภายใต้เสื้อผ้า และไม่จะไม่ทำร้ายส่วนที่อยู่นอกร่มผ้า เช่น ใบหน้าและแขน
จุดประสงค์ของพวกหล่อนก็คือ ไม่ต้องการให้ผู้คุมมองเห็นบาดแผลบนร่างกายเหยื่อ
หลินเพ่ยถูกรังแกอย่างหนัก อีกฝ่ายกระแทกเข้าที่ท้อง ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นทำให้หล่อนถึงกับเหงื่อแตก
หญิงสาวเหล่านั้นต่อว่าหล่อน “กล้าดียังไงถึงกินหมูตุ๋นที่ควรจะเป็นของฉัน ฉันจะทุบจนกว่าหมูตุ๋นจะออกมาจากท้องของแก! ถ้าพวกเราไม่ได้กิน แกก็ต้องไม่ได้กิน!”
หญิงสองคนยกหลินเพ่ยขึ้นจากพื้น หญิงอีกคนกำลังจะต่อยท้องหล่อน แต่กลับมีหญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก
หล่อนกล่าวอย่างลุกลี้ลุกลน “หยุดก่อน พวกเราหยุดทุบตีกันก่อน ตำรวจมาตามสอบสวนหล่อน หล่อนต้องไปพบพวกเขา”
เหล่าแก๊งอันธพาลปล่อยหล่อนไป และรู้ว่าหลินเพ่ยจะต้องบอกคนอื่น ๆ อย่างแน่นอนว่าหล่อนถูกทุบตี
จากนั้นพวกหล่อนก็ตบหน้าหลินเพ่ยอย่างแรง “คืนนี้ฉันจะสั่งสอนแกให้สาสม!”
หลินเพ่ยถูกพาตัวไปหาผู้คุมเรือนจำโดยหญิงที่วิ่งมาบอกข่าว
ผู้คุมพาหล่อนไปยังห้องรับแขกซึ่งมีตำรวจสองคนนั่งอยู่
หลังจากที่ผู้คุมออกไป ตำรวจสองนายก็เริ่มสอบปากคำหล่อน
พวกเขาให้หล่อนอธิบายว่าหล่อนนำใครมาข่มขืนไป๋ซวง
หลินเพ่ยตื่นตระหนกในทันที
หล่อนร่ำไห้ในใจราวกับทุกอย่างกำลังจะจบสิ้น หากยอมเปิดเผยว่าใครข่มขืนไป๋ซวง หล่อนจะไม่ถูกยิงเป้าเหรอ?
แม้ไม่ถูกยิงก็ยังต้องโดนขังคุก
หลินเพ่ยบังคับตัวเองให้สงบลง
ครอบครัวไป๋ให้สัญญากับหล่อนแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะปล่อยให้หล่อนมีชีวิตอยู่หากหล่อนไม่ทำลายชื่อเสียงของไป๋ซวง
แล้วทำไมจู่ ๆ ตำรวจถึงมาสอบสวนเรื่องนี้? เป็นไปได้ไหมว่าตระกูลไป๋กลับคำ?
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น หล่อนก็ทำลายรูปถ่ายอนาจารของไป๋ซวงไปหมดแล้ว
ครึ่งปีผ่านไปแล้วนับตั้งแต่เหตุการณ์ข่มขืน และไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่หลงเหลืออยู่บนร่างกายของไป๋ซวง
ผู้ชายที่ข่มขืนไป๋ซวงเป็นกลุ่มอันธพาลที่หล่อนพบตามถนน
ขนาดหล่อนยังจำหน้าตาของพวกเขาไม่ได้ นับประสาอะไรกับไป๋ซวงที่หมดสติในตอนนั้น เป็นไปไม่ได้ยิ่งกว่าที่จะรู้รูปร่างหน้าตาของพวกเขา
แม้ว่าคุณพ่อไป๋จะมีจดหมายสารภาพผิดที่หล่อนเขียนอยู่ในมือเขา ตราบใดที่หล่อนปฏิเสธที่จะยอมรับโดยบอกว่าถูกบังคับให้เขียนลงไป ก็ไม่มีใครทำอะไรหล่อนได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือไม่มีหลักฐานว่าเขาพบคนข่มขืนไป๋ซวง
ที่ตำรวจซักถามหล่อนเช่นนั้น เก้าในสิบครั้งคือต้องการหลอกล่อให้หล่อนพูดความจริง
เมื่อคิดได้ดังนี้ หลินเพ่ยก็สงบลง
หล่อนเผยสีหน้าตกใจ “ไป๋ซวงถูกกลุ่มผู้ชายข่มขืนเหรอ? ฉันไม่ได้ทำ และไม่รู้เรื่องเลย”
ตำรวจจ้องมองหล่อน “แต่หลายคนบอกว่าคุณยอมรับกับพวกเขาเป็นการส่วนตัวว่าคุณทำ”
หลินเพ่ยเผยแววตาแน่วแน่ “หากมีหลักฐานก็เอามาแสดงสิคะ อย่าเอาแต่กล่าวหาว่าฉันเป็นคนทำ”
ตำรวจทั้งสองมองหน้ากัน
น่าเสียดายที่รูปถ่ายอนาจารของไป๋ซวงถูกพ่อไป๋ทำลายไปแล้วเพื่อรักษาชื่อเสียงของไป๋ซวง
แม้จะยังมีจดหมายสารภาพผิดที่หลินเพ่ยเขียน เขาก็เผลอทำหายไปแล้วโดยไม่ได้ตั้งใจในตอนย้ายบ้าน
เห็นได้ชัดว่าพ่อไป๋และคนอื่น ๆ ไม่อาจหาหลักฐานใดมาแสดงเพื่อเอาผิดหล่อนได้ และไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าหลินเพ่ยนำคนมาข่มขืนไป๋ซวง
ตำรวจยังคงพยายามหลอกล่อให้หลินเพ่ยสารภาพ
ความรู้เท่าทันต่อการล่อลวงของหลินเพ่ยนั้นแข็งแกร่งมาก และจิตใจของหล่อนก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน
ตำรวจสองคนสอบปากคำหล่อนด้วยวิธีการทางจิตวิทยา แต่ก็ไม่อาจล่อลวงหล่อนได้ พวกเขาจึงคว้าน้ำเหลวกลับไป
แววยินดีส่องประกายในดวงตาของหลินเพ่ย หล่อนถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที
เมื่อถึงสามทุ่มครึ่ง ผู้คุมเรือนจำได้ให้ความรู้ด้านอุดมการณ์ประจำวันแก่นักโทษ และขอให้พวกหล่อนกลับไปที่หอพักเพื่องีพักผ่อน
หัวใจของหลินเพ่ยแทบกระดอนขึ้นมาจุกคอหอย ยามได้ยินคำสั่ง “เลิกแถว!”
หล่อนรู้ว่าตัวเองกำลังจะถูกทุบตี
หลังจากล้างหน้า หลินเพ่ยก็นอนลงบนเตียงของตัวเอง
เวลาสี่ทุ่ม เรือนจำก็ปิดไฟตามเวลา และมีเพียงไฟทางเดินเท่านั้นที่ส่องเข้ามาทางประตูรั้วเหล็ก
เสียงฝีเท้าของผู้คุมเรือนจำค่อย ๆ จางหายไป และหลินเพ่ยก็ไม่สบายใจมากขึ้น
ในหอพักมีเสียงเดินแผ่วเบา
ขณะที่หลินเพ่ยกำลังจะมองหาต้นเสียง ทันใดนั้นก็มีคนนำผ้านวมมาคลุมหัวหล่อน
คนกลุ่มหนึ่งทุบตีหล่อนบนเตียงอย่างรุนแรง และเสียงกรีดร้องของหล่อนก็ดังก้องอยู่ในผ้านวม
……
ไม่กี่วันต่อมา คดีลอบทำร้ายหลินม่ายก็ได้รับการตัดสิน
อาการบาดเจ็บของหลินม่ายถูกระบุว่าเป็นอาการบาดเจ็บเล็กน้อย ดังนั้นลวี่กั๋วต้งและเพื่อนของเขาจึงไม่ต้องถูกจำคุก
แม้เขาจะรอดพ้นจากคุก แต่การควบคุมตัวทางอาญา ค่าปรับสำหรับการรักษาความปลอดภัยสาธารณะ และค่าชดเชยสำหรับค่ารักษาพยาบาลของเหยื่อก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
หลินม่ายได้รับค่ารักษาพยาบาลรวมหกสิบหยวนจากลวี่กั๋วต้งและเพื่อนของเขา เธอจึงบริจาคให้กับองค์กรสวัสดิการ
สิ่งที่ทำให้เธอเสียใจคือ เธอจงใจเปิดโปงเรื่องทั้งหมดเพื่อคลี่คลายคดีที่ไป๋ซวงถูกข่มขืน น่าเสียดายที่หลักฐานไม่เพียงพอ ตำรวจจึงไม่สามารถเอาผิดหลินเพ่ยได้
ลวี่กั๋วต้งไม่เพียงต้องชดเชยค่ารักษาพยาบาลให้กับหลินม่ายเท่านั้น แต่ยังต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลของเพื่อนอีกหลายคนด้วย
พวกเขาทั้งหมดถูกหลินม่ายทุบตีอย่างรุนแรง แต่หลินม่ายทำไปเพราะป้องกันตัว จึงไม่จำเป็นต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับพวกเขา
ดังนั้นจึงมีเพียงลวี่กั๋วต้งเท่านั้นที่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล เพราะเขาเป็นคนสั่งให้พวกเขาโจมตีหลินม่าย
ลูกอัณฑะของเพื่อนคนหนึ่งในหมู่พวกเขาถูกหลินม่ายเตะจนบาดเจ็บ และต้องใช้เงินจำนวนมากในการรักษา
ลวี่กั๋วต้งยังคงถูกควบคุมตัวทางอาญา แม้ว่าเขาจะเป็นอิสระ แต่ก็ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลของเพื่อนหลายคนได้ โดยเฉพาะคนที่ได้รับบาดเจ็บที่ลูกอัณฑะ
ในที่สุดอู่ผิงและสามีก็จ่ายเงินทั้งหมดแทนเขา
ครึ่งเดือนต่อมา ลวี่กั๋วต้งก็ได้รับการปล่อยตัว และเมื่อเขากลับถึงบ้าน พ่อลวี่ก็พยายามใช้ไม้ทุบตีเขา
เป็นเพราะเขาทำให้ครอบครัวสูญเสียเงินจำนวนมาก
และเป็นเพราะลูกคนนี้เช่นกัน จึงทำให้พ่อไป๋ย้ายเขาไปแผนกอื่น
ไม้เท้าของพ่อลวี่กระแทกศีรษะของลวี่กั๋วต้ง และเลือดก็ไหลออกมาทันที
แต่ปัญหาคือหัวหน้าแผนกนั้นเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขา และถือว่าอาชีพทางการของเขาหายไปแล้ว
พ่อลวี่เกลียดลูกชายไร้ประโยชน์คนนี้มากจนอยากจะทุบเขาให้ตาย
เมื่อเห็นว่าท่าไม่ดีแล้ว อู่ผิงก็ใช้ร่างกายของหล่อนปกป้องลวี่กั๋วต้ง
ไม้เท้าของพ่อลวี่กระแทกศีรษะหล่อนจนเลือดไหลออกมาทันที
ตั้งแต่นั้นมา ลวี่กั๋วต้งก็ตระหนักว่าแม่เลี้ยงของเขาปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจ
เขาไม่ต่อต้านหล่อนเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป คิดจะเชื่อฟังแม่เลี้ยงทุกอย่าง ยกเว้นการเลิกรากับไป๋ซวง
ไป๋ซวงมาหาลวี่กั๋วต้งทันทีหลังพ้นโทษ พลางร้องไห้พร่ำบ่นว่าตนใช้ชีวิตลำบากแค่ไหนตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา
ครึ่งเดือนที่ผ่านมาของไป๋ซวงค่อนข้างลำบาก
แม้จะได้รับเงินชดเชยสามสิบหยวนจากไป๋เซี่ย แต่ไป๋ลู่ก็บอกหลินม่ายเกี่ยวกับเรื่องนี้ในวันเดียวกัน
หากแม่ไป๋มอบเงินให้กับไป๋ซวง หลินม่ายจะไม่เข้าไปยุ่ง
แต่หลินม่ายไม่ยอมให้เงินของไป๋เซี่ยกลายเป็นของไป๋ซวงเด็ดขาด
เธอเดินไปที่ถนนเพื่อหานักล้วงกระเป๋า ว่าจ้างเขาด้วยเงินห้าหยวนเพื่อให้ไปล้วงกระเป๋าไป๋ซวง
นักล้วงกระเป๋าไม่เพียงขโมยเงินสามสิบหยวนที่ไป๋เซี่ยชดเชยให้ไป๋ซวง แต่ยังขโมยเงินเก็บเล็กน้อยของหล่อนด้วย ตามนิสัยทั่วไปของเหล่าหัวขโมย
ไป๋ซวงกลายเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอกในทันที ดังสุนัขจรจัดที่เดินเตร่ไปตามถนนและตรอกซอกซอยตลอดทั้งวัน และในไม่ช้าก็กลายเป็นโสเภณีเพื่อหาเลี้ยงชีพ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ทำอะไรก็ได้ผลอย่างนั้น จงใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้นไปเถอะนะสองพี่น้องบ้านหลิน
หวังว่าไอ้หนุ่มนี่มันจะเลิกตาถั่วและขอเลิกกับนังงูพิษไป๋ซวงได้สักที ทำพ่อเสียหน้าที่การงานขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่ลูกก็คงโดนตีตายอะ
ไหหม่า(海馬)