เฮ่อเหลียนเวยเวยเพิ่งนึกได้ว่าผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยมักจะพกเหรียญทองสัมฤทธิ์ไปด้วยเสมอ ยันต์ผ้าเหลืองจะถูกนำมาใช้เฉพาะตอนที่พวกเขาทำพิธีขับไล่ปีศาจเท่านั้น แต่นางกับองค์ชายกลับมองข้ามเหรียญทองสัมฤทธิ์เหล่านั้น และมอบยันต์ผ้าเหลืองให้กับเหยียนหลิ่วเอ๋อร์แทน การกระทำอันไม่สมเหตุสมผลนี้ย่อมทำให้คุณชายรองจางสันนิษฐานได้ว่าพวกนางมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อื่นอย่างไม่ต้องสงสัย
ในตอนแรกนั้น ใต้เท้าจางรู้สึกกระวนกระวายอย่างมากเพราะเขาได้ข้อมูลมาว่าเสนาบดีของกรมขุนนางจะมาตรวจสอบคดีนี้ด้วยตัวเอง อันที่จริงต้องบอกว่าเขาออกจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
หากคดีที่เกิดขึ้นในซอยนี้ถูกตรวจสอบโดยละเอียดแล้วละก็ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่บุตรชายสุดที่รักของเขาจะไม่พลอยติดร่างแหไปด้วย
แต่ตอนนี้เมื่อพวกเขามีแพะรับบาปแล้ว ทุกอย่างย่อมง่ายขึ้น
“ทหาร! พาตัวผู้ต้องสงสัยที่แอบอ้างเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทั้งสองคนนี้ไป!” ทันทีที่ใต้เท้าจางเหลือบมองทั้งสอง เขาก็ตั้งใจว่าจะจับพวกเขาเพื่อปิดคดีนี้
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าใต้เท้าจางกำลังคิดอะไรอยู่หลังจากสังเกตเห็นท่าทางของเขา ริมฝีปากของนางกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย ”ใต้เท้าจาง ท่านจับกุมพวกเราเพียงเพราะคำพูดของบุตรชายตัวเองเช่นนี้จะไม่ทำโดยพลการเกินไปหน่อยหรือ ท่านไม่กลัวหรือว่ามันจะกลายเป็นความอยุติธรรมกับผู้อื่นได้”
“คนที่ถูกข้าจับก็มักจะโต้แย้งว่าพวกเขาไม่ได้รับความยุติธรรมเช่นนี้ทั้งนั้น” ใต้เท้าจางมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสีหน้าเย็นชา ”แม้กระทั่งคนที่กระดูกแข็งที่สุดก็ยังไม่สามารถหนีรอดจากสายตาข้าไปได้!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ ”แล้วบุตรชายของท่านล่ะ ใต้เท้าจางเป็นคนฉลาดเฉลียว ท่านย่อมตระหนักได้แล้วกระมังว่าเหยื่อทุกรายที่หายตัวไปล้วนแต่เป็นคนรู้จักของบุตรชายท่าน อีกทั้งพวกนางก็ยังคบค้าสมาคมกับเขามาระยะหนึ่งแล้ว แต่กลับกัน พวกเรามาที่นี่เพียงเพื่อตรวจสอบฮวงจุ้ยเท่านั้น แต่ใต้เท้าจางกลับคิดที่จะจับกุมพวกเรา มิใช่ว่าผู้ต้องสงสัยคนสำคัญในที่นี้คือบุตรชายของท่านที่มีความสัมพันธ์กับเหยื่อที่หายตัวไปเหล่านั้นหรอกหรือ”
สีหน้าของใต้เท้าจางเปลี่ยนไปทันทีหลังจากได้ยินคำพูดของนาง
แม้แต่จางอวี้เองก็มีความรู้สึกผิดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
คนที่ยืนดูความวุ่นวายอยู่หน้าประตูบ้านต่างหยุดเคลื่อนไหวโดยพร้อมเพรียงกัน ตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของพวกเขาต่างพุ่งตรงไปที่จางอวี้
หนึ่งในนั้นเป็นผู้หญิงแต่งกายด้วยผ้าลินิน นางเรียกจางอวี้ด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือว่า ”คุณชายจาง เป็นท่านหรือเจ้าคะ วันนั้นหลิงเอ๋อร์ของข้าก็ออกไปพบท่าน! แต่หลังจากนั้นนางก็ไม่ได้กลับมา! ข้าคิดว่าข้าแค่คิดไปเอง แต่ท่านยังพบกับหญิงอื่นนอกจากหลิงเอ๋อร์ด้วยหรือ ท่านเห็นหลิงเอ๋อร์เป็นอะไร นางถอนหมั้นลูกชายของแม่เฒ่าหวังเพื่อท่านเชียวนะ ท่านมันสารเลว!”
ขณะที่พูด ผู้หญิงคนนั้นก็พยายามเอื้อมมือไปคว้าเสื้อของจางอวี้ไว้!
“พูดจบหรือยังยายแก่” จางอวี้ผลักนางออกด้วยความรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด
ข้อเท้าของนางพลิก หากไม่ได้เฮ่อเหลียนเวยเวยคว้าไว้จากด้านหลัง นางคงได้ลงไปกองอยู่กับพื้นแล้ว
จางอวี้ยังพูดต่อด้วยท่าทางไม่พอใจว่า ”ข้าหรือสารเลว เจ้าคิดว่าลูกสาวตัวเองสูงส่งนักหรือ นางพยายามหาประโยชน์จากข้าทุกครั้งที่เห็นข้าด้วยซ้ำ พูดตรงๆ ว่าข้าไม่เคยคิดที่จะชอบนาง แต่นางต่างหากที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน ข้าก็แค่พูดดีกับนางเล็กน้อยเท่านั้น แต่นางกลับคิดเข้าข้างตัวเอง นางคิดว่าข้าจะแต่งงานกับนางหรือ นางเคยคิดถึงภูมิหลังครอบครัวของนางหรือเปล่า นางเป็นคนหน้าตาสะสวย ข้าจะสนุกกับนางนิดหน่อยมันจะเป็นอะไรไป แต่ถ้านางอยากเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลจาง นางก็ควรจะรู้จักอดทนต่อความเหงาให้ได้ คู่หมั้นของนางห่างไปแค่ไม่กี่วัน นางก็เริ่มพยายามเข้ามายั่วยวนข้า และบอกให้คนนำจดหมายมาส่งให้ข้ากลางดึก ทุกสิ่งล้วนแต่เป็นฝีมือของบุตรสาวเจ้าทั้งนั้น ความพยายามที่เร่งรีบของนางทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ”
“เจ้า เจ้านี่มัน!” ผู้หญิงคนนั้นหายใจไม่ออกด้วยความโกรธจากคำพูดของจางอวี้
จางอวี้หัวเราะออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะว่าต่อ ”ยิ่งกว่านั้น ที่การหมั้นหมายกับลูกชายของแม่เฒ่าหวังถูกยกเลิกก็เป็นฝีมือเจ้าเองมิใช่หรือ วันนั้นทุกคนก็อยู่ด้วย เจ้ายังจำสิ่งที่ตัวเองพูดกับชายผู้นั้นได้หรือไม่ จริงสิ เจ้ากล่าวว่าพวกเขาไม่มีวันประสบความสำเร็จในชีวิตได้ และชีวิตของหลิงเอ๋อร์จะรุ่งเรืองกว่าหากนางอยู่กับข้า เจ้าบอกให้พวกเขาทำตัวให้มีเหตุผล แล้วยอมถอนหมั้นโดยเร็ว แทนที่จะบอกว่าข้าเป็นคนสารเลว ทำไมไม่มองความยโสโอหังอันเกินเหตุของเจ้าทั้งสองดูล่ะ ข้าถอดใจจากหลิงเอ๋อร์เพราะข้ามองนางออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่กระนั้นนางก็ยังเอาแต่ตามตื๊อข้าอย่างหน้าไม่อายจนข้าไม่มีทางสลัดนางหลุด”
หญิงนางนั้นพูดไม่ออก เพราะนั่นคือสิ่งที่นางพูดออกไปก่อนหน้านี้จริง ใบหน้าของนางขึ้นสีขณะที่นางหันมองผู้คนที่อยู่ในละแวกนั้น
คำพูดของนางในเวลานั้นยังสดใหม่อยู่ในใจของพวกเขา ดังนั้นจึงไม่มีใครยืนหยัดออกมาพูดเพื่อปกป้องนาง
นางมองไปรอบๆ และเห็นว่าไม่มีใครยอมยื่นมือเข้ามาช่วยนาง นางจึงทรุดลงกับพื้น และเริ่มร้องไห้ออกมา ”หลิงเอ๋อร์ผู้น่าสงสารของข้า ชื่อเสียงของเจ้าต้องมาป่นปี้เช่นนี้!”
จางอวี้จัดชุดตัวเองโดยไม่สนใจนาง
ทันทีที่รู้สถานการณ์ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่ได้คิดที่จะช่วยเหลือผู้หญิงคนนั้นอีก
แม้ว่าคุณชายรองจะเป็นคนเลว แต่ถ้าดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว ทั้งเขาและตระกูลของหลิงเอ๋อร์ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมารดาของหลิ่วเอ๋อร์ถึงดูลังเลตอนที่นางพูดถึงหญิงสาวเหล่านี้
เฮ่อเหลียนเวยเวยอยากพูดว่าหลิงเอ๋อร์ทำตัวไม่เหมาะสม แต่นางก็กลัวว่าการทำเช่นนั้นจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง ดังนั้นนางจึงตัดสินใจเปลี่ยนคำพูดของตัวเอง
อย่างไรการที่หญิงสาวเหล่านี้ต้องการแต่งงานกับคนที่ร่ำรวยและทรงอำนาจก็เป็นเรื่องจริง คุณชายรองจาง หน้าตาหล่อเหลาและยังมีคารมคมคายสำหรับมัดใจสาว และไหนจะยังฐานะน่าชื่นชมนั่นอีก พวกมันย่อมสามารถมัดใจสาวน้อยสาวใหญ่ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นสำหรับเขาแล้ว การรักษาความสัมพันธ์อันคลุมเครือกับใครสักคนจึงเป็นเรื่องสะดวกสำหรับเขา
หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อเส้นทางแห่งการเกิดใหม่ ปกติแล้วเฮ่อเหลียนเวยเวยก็คงไม่คิดที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับคดีนี้
สำหรับนางแล้ว มันเป็นวัฏจักรที่ฝ่ายหนึ่งพร้อมทำร้าย ส่วนอีกคนก็พร้อมที่จะทนทุกข์กับมัน
ในยุคปัจจุบันมีกรณีเช่นนี้อยู่มากมาย
คนบางประเภทก็ไม่รู้จักรักตัวเอง และยอมเข้าโรงแรมกับคนแปลกหน้าที่รู้จักกันบนโลกอินเตอร์เน็ต และสุดท้ายก็ถูกฆ่าตาย
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไม ทั้งที่มีตัวอย่างให้เห็นกันดาษดื่น แต่ผู้หญิงส่วนหนึ่งก็ยังเต็มใจที่จะฝ่าฝืนหลักการของตัวเองเพื่อความฝันที่จะยกระดับฐานะตัวเอง
ถึงกับขอถอนหมั้นเพียงเพื่อเหตุผลนี้หรือ
นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดชะงัก ขอถอนหมั้นหรือ
หึ ถ้าเทียบกันละก็ เหยียนหลิ่วเอ๋อร์ยังน่ารักกว่าเป็นไหนๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มให้เหยียนหลิ่วเอ๋อร์เมื่อคิดเช่นนี้
เหยียนหลิ่วเอ๋อร์กะพริบตาปริบอย่างสับสน นางรู้สึกงุนงงกับรอยยิ้มไม่มีปี่มีขลุ่ยของเฮ่อเหลียนเวยเวย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดึงเฮ่อเหลียนเวยเวยมายืนข้างตัวเองด้วยท่าทางดุๆ แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า ”เจ้ายิ้มสุ่มสี่สุ่มห้าออกมาทำไม”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดไม่ออก : …นางไม่ได้ยิ้มสุ่มสี่สุ่มห้าเสียหน่อย
“ต่อไปนี้อย่ายิ้มให้คนอื่นอีกนอกจากข้า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ
แม้สีหน้าของเขาจะเป็นเช่นนั้น แต่คนฉลาดอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมสัมผัสได้ถึงความหึงหวงที่อยู่ในคำพูดของเขา นางรู้สึกจนใจยิ่งนัก เพราะเห็นๆ กันอยู่ว่าคนที่เหยียนหลิ่วเอ๋อร์มีใจให้ก็คือองค์ชายต่างหาก ดังนั้นคนที่ควรหึงน่าจะเป็นนางมากกว่า…
ใต้เท้าจางประเมินสถานการณ์ จากนั้นดวงตาของเขาก็ดำทะมึน เขาหันหน้าไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วบอกว่า ”ข้าประเมินเจ้าต่ำไป พูดเพียงไม่กี่ประโยค เจ้าก็สามารถป้ายความผิดให้กับอวี้เอ๋อร์ได้ เก่งยิ่งนัก! เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะสามารถกำจัดความสงสัยและหนีรอดไปได้รึ เจ้ากลับยังกล้าพูดไปยิ้มไป! เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร?! พาตัวพวกมันไป!”