ตอนที่ 690 พบซูอวี้เจี๋ย
วันอาทิตย์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และถึงเวลาที่ต้องเดินทางไปเรียนอีกครั้ง
แม้อากาศจะเย็นจัดราวหนึ่งหรือสององศา แต่หลินม่ายก็มีช่วงเวลาที่สงบสุขในสุดสัปดาห์นี้
สายโทรศัพท์เข้าของคุณปู่ฟางทำให้ตระกูลจ้าวสั่นคลอนอย่างมาก
ปู่และลุงระดับสูงของจ้าวซั่วหยางถูกสอบสวนโดยคณะกรรมการกลางเพื่อตรวจสอบวินัย
ไม่ใช่ทุกคนจะมีโอกาสรับใช้ประเทศและประชาชน แต่ก็มีพวกสวะอยู่ไม่กี่คนท่ามกลางคนเหล่านั้น
ปู่และลุงของจ้าวซั่วหยางเป็นคนขี้โกง ทำให้หน่วยสอบสวนไม่อาจทนต่อไปได้
หากไม่ปราบปรามเสียให้สิ้น พวกเขาก็จะโกงเงินเข้ากระเป๋าตัวเองต่อไป
ตราบใดที่ตรวจสอบพวกเขา ก็จะพบหลักฐานการละเมิดกฎหมายและระเบียบวินัยได้อย่างง่ายดาย
ในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ คณะกรรมการกลางตรวจสอบวินัยแล้วพบว่าคุณปู่และลุงของจ้าวซั่วหยางทุจริต ติดสินบน และฉ้อโกงเพื่อนร่วมงาน
ซึ่งชายสองคนนี้เป็นผู้นำของตระกูลจ้าว
เมื่อชายที่ถือหางเสือได้ล้มลง ผู้ปฏิบัติงานอื่น ๆ ทั้งเล็กใหญ่ในตระกูลจ้าวก็ล้วนติดร่างแหไปด้วย
การสืบสวนตระกูลจ้าวสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว และแทบเป็นไม่ได้ที่พวกเขาจะเอาตัวรอด
เมื่อไม่มีพื้นฐานครอบครัวที่แข็งแกร่งคอยคุ้มกะลาหัว รังสีอิทธิพลที่ปกคลุมจ้าวซั่วหยางก็พลอยหายไปด้วย
เขาไม่ใช่เป้าหมายที่สาว ๆ อยากจะครอบครองอีกต่อไป หญิงบางคนถึงกับเลี่ยงเมื่อเห็นเขา เพราะนิสัยและรูปร่างหน้าตาอันอัปลักษณ์
มีเพียงสวีชิงหยาเท่านั้นที่อยู่เคียงข้างเขาอย่างซื่อสัตย์
สวีชิงหยามีความสุขมาก เพราะจ้าวซั่วหยางไม่ผลักไสหล่อนอีกต่อไป
แต่หลูเชวี่ยซึ่งอยู่ร่วมหอพักกับสวีชิงหยากลับรู้สึกเศร้าใจ
สวีชิงหยาเอาแต่ร่ำไห้ทุกวัน พร้อมกับถามหลูเชวี่ยและเพื่อนร่วมห้องว่าพวกหล่อนหัวเราะเยาะและดูถูกตนใช่หรือไม่
การกระทำโดยไม่ได้ตั้งใจของหลูเชวี่ยและเพื่อนร่วมห้องของหล่อนทำให้สวีชิงหยาอ่อนไหว และพวกหล่อนทั้งหมดก็เสียใจที่เป็นเช่นนั้น
เพื่อนร่วมห้องพากันกล่าวโทษหลูเชวี่ยอย่างลับ ๆ หากไม่ใช่หล่อนที่อ้าแขนยอมรับสวีชิงหยา พวกหล่อนก็คงไม่รู้สึกทรมานใจถึงขนาดนี้
ความทรมานทางจิตใจกลายเป็นเรื่องปกติ ที่สำคัญคือนักเรียนคนอื่น ๆ ล้วนถูกเข้าใจผิดเช่นเดียวกับหลินม่ายและรูมเมทของเธอ ทุกคนต่างบอกว่าพวกหล่อนจัดตั้งกลุ่มเพื่อกลั่นแกล้งสวีชิงหยา
หลูเชวี่ยเองก็เป็นมนุษย์ หล่อนจึงรู้สึกอึดอัดมาก ในที่สุดก็ได้มาพูดคุยกับหลินม่ายและรูมเมทของเธอขณะรับประทานอาหารกลางวัน
หลูเชวี่ยกล่าว “ตอนแรกฉันเข้าใจเธอผิด เธอไม่ได้รังแกสวีชิงหยา แต่…”
หลินม่ายกลับลุกออกไปพร้อมกล่องอาหารกลางวัน
ย้อนกลับไปตอนนั้น เธอและรูมเมทพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่ออธิบายหลูเชวี่ยว่าพวกเธอไม่ได้ทำร้ายสวีชิงหยา แต่หลูเชวี่ยกลับเลือกที่จะไม่ฟัง
ดังนั้นเมื่อหล่อนพร่ำบ่นถึงเรื่องนี้ หลินม่ายจึงไม่อยากรับฟัง
เพื่อนร่วมห้องคนอื่น ๆ เห็นดังนั้นก็หยิบกล่องอาหารกลางวันและเดินออกไป ทิ้งให้หลูเชวี่ยนั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะ
สิ่งเดียวที่กวนใจหลินม่ายในสัปดาห์นี้คือไม่มีความคืบหน้าในการส่งเสริมการลงทุนของร้านขายเสื้อผ้า
เธอกำลังจะประชุมในวันอาทิตย์นี้เพื่อหาสาเหตุและคิดมาตรการรับมือ
ไม่นานก็ถึงวันเสาร์อีกครั้ง
ฟางจั๋วหรานบอกหลินม่ายเมื่อไม่กี่วันก่อนว่าเขาจะต้องทำการผ่าตัดในวันเสาร์ ไม่สามารถไปรับเธอจากมหาวิทยาลัยได้ และขอให้เธอขึ้นรถโดยสารประจำทางกลับบ้านคนเดียว
หลังเลิกเรียนในตอนบ่าย หลินม่ายกลับไปยังหอพักเพื่อเก็บข้าวของ และเดินออกจากหอพักโดยไม่ลังเล
เมื่อเดินออกมาก็ได้ยินเสียงของบุคคลผู้หนึ่งตะโกนเรียกเธอ “พี่สะใภ้ นี่มองไม่เห็นฉันหรือยังไง?”
เสียงนั้นดูคุ้นหูอย่างมาก แต่ต่างไปจากเสียงของฟางจั๋วหราน
หลินม่ายหันศีรษะมอง และเห็นฟางจั๋วเยวี่ยยืนอยู่หน้ารถจี๊ปของพี่ชายพร้อมโบกมือให้เธอ “พี่สะใภ้ ขึ้นรถ!”
หลินม่ายเดินเข้ามาถามด้วยความประหลาดใจ “มาที่นี่ทำไม?”
เมื่อทั้งสองเข้าไปในรถ ฟางจั๋วเยวี่ยก็ติดเครื่องยนต์พลางกล่าว “ฉันนำเครื่องผสมไส้และเครื่องผสมแป้งให้มาส่งให้”
หลินม่ายพูดอย่างมีความสุข “นายมาถูกเวลาจริง ๆ ฉันกำลังเตรียมที่จะเปิดร้านขายอาหารเพิ่ม และนายก็ส่งอุปกรณ์ทั้งหมดมาให้ได้ทันท่วงที”
ฟางจั๋วเยวี่ยหัวเราะเบาๆ “ร้านเปาห่าวชือเพิ่งเริ่มต้นขายในเมืองหลวง มีเพียงเครื่องผสมและเครื่องทำแป้งก็เพียงพอแล้ว ถ้ามีร้านค้าเครือข่ายมากขึ้นในอนาคตแล้ว ฉันจะสร้างเครื่องผลิตให้”
หลินม่ายพยักหน้าและตอบรับ
เธอเหลือบมองไปยังเสื้อผ้าของฟางจั๋วเยวี่ยที่เปื้อนน้ำมันเครื่อง “นายควรเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสะอาดเมื่อออกไปข้างนอกนะ จะเดินทางจากเจียงเฉิงมายังปักกิ่งด้วยเสื้อผ้าสกปรกแบบนี้ไม่ได้ หากผู้คนในเมืองหลวงเข้าใจผิดคิดว่าผู้คนในเจียงเฉิงไม่ชอบความสะอาด มันจะทำลายชื่อเสียงของเจียงเฉิงเอาได้”
ฟางจั๋วเยวี่ยพูดด้วยความเสียใจ “ทุกคนย้ายมาที่เมืองหลวงแล้ว และป้าหวงก็มาทำความสะอาดสัปดาห์ละครั้งเท่านั้น ฉันอยู่คนเดียวในวิลล่า ไม่มีใครดูแล จะไม่ให้เป็นแบบที่เธอพูดได้ยังไง? ชุดนี้สะอาดที่สุดแล้วในบรรดาเสื้อผ้าทั้งหมดของผม แต่ยังไม่เป็นที่พอใจเธอ”
หลินม่ายพูดไม่ออกหลังจากได้ยินดังนั้น “ที่บ้านไม่มีเครื่องซักผ้าเหรอ? นายก็แค่โยนเสื้อผ้าลงในเครื่องซักผ้าแค่นั้นเอง”
“ปกติฉันก็ซักในเครื่องซักผ้า แต่ก็ไม่เห็นจะสะอาดเลย”
หลินม่ายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพาเขาไปซื้อเสื้อผ้าใหม่
เธอวางแผนที่จะโทรหาป้าหวงและขอให้เธอมาทำงานทุกวันเหมือนเมื่อก่อนเพื่อดูแลชีวิตของฟางจั๋วเยวี่ย
หลินม่ายขอให้ฟางจั๋วเยวี่ยขับรถไปยังห้างสรรพสินค้าซีตาน
เมื่อเขามาถึงห้างสรรพสินค้าซีตาน หลินม่ายก็ตรงไปยังร้านขายเสื้อผ้าผู้ชายและเลือกซื้อ
ฟางจั๋วเยวี่ยติดตามเธอและเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะกับเขา
หลินม่ายจินตนาการถึงเสื้อผ้าชิ้นหนึ่งและเปรียบเทียบกับฟางจั๋วเยวี่ยเพื่อดูผลลัพธ์
หากตัวไหนที่คิดว่าเหมาะสม เธอก็จะขอให้พนักงานช่วยแนะนำ
ทั้งสองเยี่ยมชมร้านขายเสื้อผ้าราวสามร้านและซื้อเสื้อผ้าไปกว่าห้าชุด
ฟางจั๋วเยวี่ยรู้สึกเสียใจเล็กน้อย “พี่สะใภ้ เธอจะซื้อเสื้อผ้าให้ฉันคนเดียวไม่ได้ ต้องซื้อให้พี่ชายฉันด้วย ไม่อย่างนั้นพี่ชายของฉันจะต้องโกรธจนทุบตีฉันแน่เมื่อเรากลับไป”
หลินม่ายกล่าวอย่างไร้เดียงสา “ฉันซื้อเสื้อผ้าทั้งหมดนี้ให้พี่ชายของนายต่างหาก นายคงเข้าใจผิดคิดว่าฉันซื้อให้นายสินะ นายอยากได้ชุดไหนก็เลือกเอาเอง ฉันมีหน้าที่จ่ายให้เท่านั้น!
มุมปากของฟางจั๋วเยวี่ยกระตุกอย่างรุนแรง ปรากฎว่าเขาคิดไปเองทั้งหมด
ขณะที่เขากำลังเลือกชุดชั้นในชายยี่ห้อหนึ่งอยู่นั้น ก็พลันได้ยินเสียงผู้หญิงเหน็บแนมจากข้างหลัง
“ถ้าฉันจำไม่ผิด นี่คือหลินม่ายใช่ไหม? ทำไมถึงพาน้องชายสามีตัวเองมาเดินห้างซื้อเสื้อผ้าแบบนี้ได้? รักพี่เสียดายน้อง แต่งงานกับพี่ แต่กลับเป็นชู้รักกันบน้อง ฟางจั๋วหรานจะรู้ตัวหรือยังนะว่ากำลังถูกนอกใจ แต่ถ้าไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ฉันจะบอกเขาเอง”
ฟางจั๋วเยวี่ยหันศีรษะไปมอง และเห็นซูอวี้เจี๋ยซึ่งกำลังมองมาที่เขาและหลินม่ายอย่างประชดประชัน
หลินม่ายยิ้มอย่างสดใส พลางกล่าว “เมื่อวานนี้ฉันเห็นเธอมาซื้อของกับผู้ชายกลุ่มหนึ่งเหมือนกัน เธอกำลังเล่นอยู่ชู้กับชายกลุ่มนั้นอยู่เหรอ?”
หลังหยุดไปครู่หนึ่ง เธอก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง “ลองบอกหน่อยสิว่าถ้าฉันปล่อยข่าวนี้ เธอจะยังสู้หน้าใครได้อยู่ไหม? และยังจะกล้าเชิดหน้าอยู่ในปักกิ่งหรือเปล่า?”
ใบหน้าของซูอวี้เจี๋ยพลันมืดครึ้มลงด้วยความโกรธ “พูดอะไรไร้สาระ เธอเห็นฉันกับชายกลุ่มนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
แท้จริงแล้ว หลินม่ายไม่เคยพบซูอวี้เจี๋ยกับกลุ่มผู้ชายพวกนั้น
เธอยิ้มพลางกล่าว “ไม่ว่าจะได้เจอจริงหรือเปล่า ฉันก็ปล่อยข่าวลือได้นะ”
ซูอวี้เจี๋ยไม่คาดคิดว่าหลินม่ายจะหน้าด้านขนาดนี้ จึงพูดด้วยความเดือดดาล “เธอมันไร้ยางอายที่สุด!”
“เพราะฉันเรียนรู้จากเธอยังไงล่ะ” หลินม่ายพูดอย่างใจเย็น “เธอสามารถสร้างข่าวลือเกี่ยวกับฉันและจั๋วเยวี่ยต่อหน้าฉันได้ แล้วทำไมฉันจะสร้างข่าวลือเกี่ยวกับเธอไม่ได้?”
“เธอ!” ซูอวี้เจี๋ยโกรธเกินกว่าจะพูดอะไรได้
“เธออะไรเหรอ?” ฟางจั๋วเยวี่ยเดินมาหาซูอวี้เจี๋ย “เธอคิดว่าตระกูลฟางของเราไม่ทรงพลังเท่าตระกูลซูของเธอเพราะปู่ของฉันเกษียณใช่ไหม? เพราะแบบนั้นเธอเลยกล้าหาเรื่องพี่สะใภ้ฉันงั้นเหรอ? ฉันจะบอกอะไรให้นะ อูฐตัวใหญ่ผอมและด้อยกำลังกว่าม้าฉันท์ใด ตระกูลซูก็อ่อนแอกว่าตระกูลฟางของเรามาก!”
ทันใดนั้นเขาก็ดึงกระเป๋าหนังราคาแพงออกจากหลังของซูอวี้เจี๋ย แล้วเหวี่ยงออกไปไกล
สิ่งของข้างในหล่นกระจายทั่วพื้น ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างจ้องมองไปยังฟางจั๋วเยวี่ยด้วยความหวาดกลัวและตกตะลึง
ซูอวี้เจี๋ยโกรธมากจนร้องไห้ “ฟางจั๋วเยวี่ย คุณทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง! ครอบครัวของเราสองคนเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันนะ!”
ฟางจั๋วเยวี่ยเยาะเย้ย “เธอก็รู้นี่ว่าครอบครัวของเราสองคนเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน แต่เธอกลับคิดร้ายต่อพี่สะใภ้ของฉัน!”
เขาเห็นอาหารจานหนึ่งบนเคาน์เตอร์แคชเชียร์ ซึ่งน่าจะเป็นอาหารเย็นของพนักงานขาย ก่อนหยิบมันขึ้นทันที
ภายใต้สายตาที่ประหลาดใจของทุกคน เขาก็ยกจานข้าวนั้นคว่ำลงบนศีรษะของซูอวี้เจี๋ยและเคาะหน้าผากของหล่อนเสียงดัง
น้ำแกงหนืดข้นไหลลงบนใบหน้าที่ตบแต่งอย่างประณีตของซูอวี้เจี๋ย ไหลลามลงไปยังคอเสื้อและหน้าอกของหล่อน ทำให้เสื้อโค้ทผ้าแคชเมียร์สีขาวน้ำนมบนตัวหล่อนเปรอะเปื้อนเป็นด่างดวง
ซูอวี้เจี๋ยมองไปยังฟางจั๋วเยวี่ยด้วยความเหลือเชื่อ อ้าปากกว้างแล้วกรีดร้อง “นายมันบ้า!”
ทันทีที่หล่อนอ้าปาก ฟางจั๋วเยวี่ยก็ยัดกางเกงชั้นในชายเข้าไปในปากของหล่อนทันที ก่อนพูดกับพนักงานขายที่กำลังตกตะลึง “พี่สะใภ้ของผมจะจ่ายค่ากางเกงในตัวนั้นเองครับ”
ซูอวี้เจี๋ยร้องตะเบ็งด้วยความโกรธ ดึงกางเกงในออกจากปากและโยนลงบนพื้น ปิดหน้าแล้ววิ่งหนีไป
ฟางจั๋วเยวี่ยและหลินม่ายไม่สนใจ พวกเขายังคงซื้อของต่อไป
โอกาสที่จะไปเดินไปห้างสรรพสินค้านั้นหายาก ดังนั้นหลินม่ายจึงไม่เพียงซื้อเสื้อผ้าให้ฟางจั๋วหรานและน้องชายของเขาเท่านั้น แต่ยังซื้อเสื้อผ้าให้คุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง และโต้วโต้วด้วย
หลังจากซื้อของดีเสร็จและออกมาจากห้าง หลินม่ายก็ตามฟางจั๋วเยวี่ยเข้าไปในรถพร้อมกับถุงมากมายทั้งใบใหญ่และใบเล็ก
เธอมองไปยังฟางจั๋วเยวี่ย “การที่เราทำแบบนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นไหม?”
“แล้วไง?” ฟางจั๋วเยวี่ยติดเครื่องยนต์โดยไม่ใส่ใจ “เราสามารถรับมือกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ได้อยู่แล้ว”
มุมปากของหลินม่ายกระตุก เขาทำอะไรไม่สนใจใครเลยจริง ๆ
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
แรงมาก จั๋วเยวี่ยคือ MVP ของตอนนี้ คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าเขาจะทำอะไรแบบนี้
ไหหม่า(海馬)