Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2005 ไม่ประมาณตน

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2005 ไม่ประมาณตน

ตอนที่ 2005 ไม่ประมาณตน

ฟุ่บ!

เมื่อปราณดาบที่มองข้ามหมื่นวิชาทั่วหล้านั้นฟันออกมา ก็ทำให้ทุกคนขนพองสยองเกล้า หลีกหลบกันหมด กลัวจะโดนลูกหลง

ความเร็วของปราณดาบรวดเร็วยิ่งนัก!

ยามหลินสวินเอ่ยปาก ปราณดาบที่เจิดจ้าดุจหิมะก็มาถึงตรงหน้าแล้ว

พลังป้องกันรอบตัวหลินสวินถูกปราณดาบโฉบผ่านเหมือนเครื่องประดับตกแต่งเช่นกัน

แต่ครั้งนี้หลินสวินไม่มีความคิดที่จะหลบ

ถึงขั้นไม่ไปต้านทาน

เขาแค่ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา

ในเวลานี้ปราณดาบที่พุ่งมาตรงหน้านั้น ยามพุ่งมาถึงจุดที่ห่างจากศีรษะหลินสวินหนึ่งฉื่อก็พลันหยุดชะงัก ฟุ้งกระจายหายไปโดยไร้สุ้มเสียง

ทุกคนต่างนัยน์ตาหดรัด แทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง

จากนั้นถ้อยคำของหลินสวินจึงดังขึ้น ณ ที่นั้น

“วันนี้ดาบนี่ต้องเปลี่ยนเจ้าของ!”

ถ้อยคำที่ราบเรียบตามอารมณ์ กลับเหมือนว่ามีเวทมนตร์ประหลาดอย่างหนึ่ง

เห็นเพียง…

ชิ้ง!

เสียงสะท้อนใสของดาบเร้าระทึก

ดาบมหามรรคไร้วิชาที่ถูกควบคุมโดยซางจื่อเหยี่ยน ยามนี้เริ่มสั่นสะเทือนรุนแรง ดาบที่เจิดจ้าแหลมคมแผ่คลื่นพลังที่น่ากลัวออกมา

“ไม่…!”

ซางจื่อเหยี่ยนสีหน้าแปรเปลี่ยนยกใหญ่ พลังแผ่กระจายไปทั่วร่าง กำด้ามดาบไว้แน่น เส้นเลือดดำตรงหน้าผากปรินูนเป็นสายๆ

นี่คือดาบไร้วิชาที่ตกทอดมาในเผ่าจักรพรรดิตระกูลซางของเขา มองข้ามหมื่นวิชาทั่วหล้า อานุภาพเย้ยฟ้า ใช่ว่าศาสตราจักรพรรดิทั่วไปจะเทียบได้

หากไม่ใช่ว่าครั้งนี้เขามีโอกาสเข้ามาในเขตต้องห้ามเซียนโบราณ สัตว์ประหลาดเฒ่าในตระกูลพวกนั้นคงไม่ยอมให้เขายืมสมบัติล้ำค่าเช่นนี้มาใช้แน่

แต่ตอนนี้ดาบนี่กลับมีสัญญาณว่าจะควบคุมไม่ได้ ใกล้หลุดจากมือไป!

ตูม!

แต่ไม่ว่าซางจื่อเหยี่ยนจะออกแรงอย่างไร แค่ชั่วพริบตาดาบไร้วิชาก็ซัดสะเทือนอย่างแรง แยกนิ้วทั้งห้าของเขาออกจากกัน จากนั้นกลายเป็นแสงงามแปลกตาสายหนึ่งตกไปอยู่ในมือหลินสวิน

ดาบนี้ตกสู่กลางมือหลินสวินเหมือนลูกนกนางแอ่นกลับรังคนเดินทางไกลกลับบ้าน ส่งเสียงใสบางดังกระหึ่มดุจกระแสน้ำ ราวกับโห่ร้องยินดีอย่างตื่นเต้น

เหล่าผู้กล้าหันมามอง สีหน้าแปรเปลี่ยนครั้งใหญ่ แปลกใจสงสัยไม่หยุด มองไม่ออกว่าเกิดเรื่องประหลาดน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ได้อย่างไร

ดาบไร้วิชา อานุภาพร้ายกาจซัดสะเทือนฟ้าดารา ทำให้บุคคลระดับจักรพรรดินับไม่ถ้วนหวาดกลัว ด้วยภายใต้ดาบนี้ ทุกวิชามรรคทั่วหล้าล้วนเหมือนเครื่องประดับตกแต่ง เรียกได้ว่าน่าหวาดกลัวถึงขีดสุด

ภาพที่หลินสวินเกือบถูกแหวกอกคว้านท้องก่อนหน้านี้ก็คือการพิสูจน์ที่ดีที่สุด

เดิมทีทุกคนคิดว่าหากมีดาบนี้อยู่ การที่หลินสวินจะยึดแท่นมรรคเข้าไปในประตูทลายนั่น ต้องไม่อาจเกิดขึ้นได้แน่

ใครจะคิดว่าหลินสวินถึงกับกำราบดาบนี่ได้ด้วยประโยคเดียว!

พอเห็นท่าทางคึกคักที่ส่งเสียงใสเริงร่าของดาบนี้ หลายคนต่างตาลายไปพักหนึ่ง บนโลกนี้คนทรยศพบเจอได้บ่อย แต่สมบัติจักรพรรดิที่เหมือนคนทรยศนี้พบเห็นได้น้อยนัก

ส่วนหลินสวินยามนี้พลันแช่มชื่นไปทั้งตัว

แม้จะถูกดาบไร้วิชาฟันไปบ้าง แต่ดีร้ายอย่างไรก็… นำดาบนี้มาไว้ในมือข้าได้แล้ว!

สาเหตุอยู่ที่ก้อนทองแดงซึ่งมาจากเตามารดาหลอมสมบัติแห่งแหล่งสถานคุนหลุนนั้น ทำให้ดาบไร้วิชาเหมือนเจอรังแรกเกิด!

“ไม่ คืนดาบมาให้ข้า!”

ท่ามกลางเสียงคำรามไม่ยินยอมและคับแค้น ซางจื่อเหยี่ยนพุ่งโจมตีเข้ามา ดวงตาแดงไปหมด ท่าทางเหมือนใกล้คลุ้มคลั่ง

เดิมทีเขามาครั้งนี้เพื่อชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดนั่น แต่ตอนนี้เป็นอย่างไร ยังไม่เจอมหาสมบัติแรกกำเนิด กลายเป็นว่าสมบัติพิทักษ์ตระกูลซางของเขากลับถูกคนช่วงชิงไปแล้ว!

ฟุ่บ!

หลินสวินสะบัดข้อมือ ดาบไร้วิชาที่เจิดจ้าดุจหิมะฟันปราณดาบที่เหมือนน้ำตกรุ้งดาราออกมา

ภายใต้ดาบนี้ ซางจื่อเหยี่ยนที่ดูเหมือนวิกลจริตกลับไม่อาจไม่หลบหลีก ไม่กล้าฝืนปะทะอย่างสิ้นเชิง

เขารู้ชัดถึงความน่ากลัวของดาบนี้

ในเมื่อมองข้ามวิชามรรคก็ไม่อาจฝืนปะทะได้แต่แรก นอกเสียจากว่าจะเรียกสมบัติออกมาจึงจะได้

ทว่าสมบัติทั่วไปมีหรือจะเป็นคู่ต่อสู้ของดาบไร้วิชา

“ฆ่า รีบลงมือพร้อมกัน!”

เหล่าผู้กล้าต่างไม่กล้าชะล่าใจ บุกโจมตีเต็มกำลังพร้อมกับซางจื่อเหยี่ยน

หลินสวินก่อนหน้านี้แข็งแกร่งจนพาให้คนใจสะท้าน ยามนี้แม้จะได้รับบาดเจ็บ แต่ในมือเขากลับมีสมบัติจักรพรรดิที่อานุภาพเย้ยฟ้าชิ้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา!

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ตอนนี้หลินสวินอยู่ห่างจากประตูทลายนั่นแค่สามสิบจั้ง!

ภายใต้การล้อมโจมตี แม้ความเร็วในการมุ่งหน้าของหลินสวินจะเปลี่ยนเป็นเชื่องช้าหาใดเปรียบ แต่ละก้าวที่มุ่งไปข้างหน้าล้วนถูกขวางอย่างชวนประหวั่นยิ่ง

แต่จนถึงตอนนี้เขายังไม่เคยถอยสักก้าว!

“ฆ่า!”

ขณะเดียวกันหลินสวินก็พุ่งไปข้างหน้าสุดกำลัง เหนือศีรษะเจดีย์ไร้สิ้นสุดนั่งบัญชา สกัดกั้นสมบัติของเหล่าผู้กล้า ประทับไร้ชีพและธงไร้ระเบียบร่วมมือกันสังหารทั่วทิศ

และยามนี้ดาบไร้วิชาก็กลายเป็นยอดอาวุธสังหารในมือหลินสวิน!

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ปราณดาบราวแพรไหมที่ขาวดุจหิมะสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมา เปล่งประกายขาวโพลนลานตา ทำให้วิชามรรคที่เหล่าผู้กล้าฟาดฟันมาล้วนเปลี่ยนเป็นเครื่องประดับตกแต่ง ไม่อาจต้านทานได้อย่างสิ้นเชิง

ผู้แข็งแกร่งบางส่วนพุ่งหลบ ใช้สมบัติจักรพรรดิต้านทาน แต่ผู้แข็งแกร่งบางคนหลบไม่ทัน ได้รับบาดเจ็บสาหัสทันที บนร่างปรากฏรอยดาบเลือดชโลม

แค่ชั่วขณะเท่านั้น หลินสวินเงื้อดาบผ่าแหวก สังหารผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่ขวางอยู่ข้างหน้า ร่างแบ่งเป็นสองท่อน ฝนโลหิตไหลพุ่งราวน้ำตก สภาพการตายชวนขนพองสยองเกล้า

ผู้แข็งแกร่งมากมายหนาวเยือกในใจ

อานุภาพของหลินสวินยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว!

ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บติดกันสองครั้ง แต่เขากลับเหมือนคนที่ไม่เป็นอะไร โจมตีตลอดทาง อานุภาพดุจสายรุ้ง เผด็จการและดุดัน

การปรากฏตัวของดาบไร้วิชายิ่งเพิ่มภัยคุกคามที่ชวนให้ใจสั่นระรัวแก่เขา!

เวลานี้ผู้คนนับไม่ถ้วนด่าซางจื่อเหยี่ยนอย่างรุนแรงอยู่ในใจ น่าโมโหเกินไปแล้ว ถ้าแค่พ่ายแพ้ก็ช่างเถอะ แต่ยังส่งยอดอาวุธสังหารชิ้นหนึ่งไปให้ศัตรูอีก

ซางจื่อเหยี่ยนก็อัดอั้นจนเกือบจะคลุ้มคลั่ง เขาโจมตีไปหลายครั้งราวกับสู้สุดชีวิต ด้วยต้องการชิงดาบไร้วิชากลับมา แต่ทุกครั้งล้วนถูกหลินสวินบีบให้ถอย ไม่อาจไม่หลบหลีก

ทั้งตอนที่พุ่งหลบยังได้รับบาดเจ็บอีก บนตัวปรากฏรอยดาบชวนสยองมากมาย เสื้อผ้าขาดวิ่นเปื้อนเลือด เกือบกลายเป็นมนุษย์โลหิต

“จุ๊ๆ หากไม่เห็นกับตาตัวเอง ข้าคงสงสัยว่าซางจื่อเหยี่ยนเป็นพวกเดียวกับหลินสวินแน่ ดาบเล่มนี้ส่งมาได้ทันเวลาเกินไปแล้ว”

เสวียนจิ่วอิ้นมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น หัวเราะจนหุบยิ้มไม่ได้

หลิงเคอจื่อกลับหัวเราะไม่ออก

ด้วยเขาสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่าพวกหมีอู๋หยา หลิงหงจวง จิ่งเทียนหนาน เวินอวี๋ที่กำลังมองอยู่ไกลๆ มีสัญญาณว่าจะลงมือแล้ว!

ฟุ่บ!

คมดาบที่เจิดจ้าปรากฏในการต่อสู้ กรีดทึ้งห้วงอากาศ

จากนั้นก็มีศีรษะชุ่มเลือดหนึ่งกระเด็นขึ้นเหนือฟ้า ถลึงตาถมึงทึง สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม ลักษณะชวนประหวั่น

บุคคลแห่งยุคอีกคนถูกฆ่าแล้ว!

ส่วนหลินสวินก็อยู่ห่างจากประตูทลายแค่ยี่สิบจั้ง!

เขาในตอนนี้มีไอขุ่นมัวไหลวนรอบตัว แสงมรรคพวยพุ่ง สมบัติจักรพรรดิมากมายห้อมล้อม เปล่งแสงน่าพรั่นพรึง ขับเน้นให้เขาเป็นดั่งเทพมารที่กรำศึกทั่วหล้า

เลือดนองตลอดทาง ก้าวข้ามซากศพของบุคคลแห่งยุคในระดับเดียวกัน!

‘ไม่อาจขวางได้จริงหรือ’

‘ทำไม… ทำไมเขาถึงแข็งแกร่งเช่นนี้…’

‘ถ้าสู้ต่อไปเช่นนี้ จะคุ้มค่าหรือ’

…จิตต่อสู้ของเหล่าผู้กล้าสั่นคลอน แต่ละคนล้วนสีหน้าปรวนแปร ความแข็งแกร่งของหลินสวินทำให้พวกเขารู้สึกขวัญหนีดีฝ่อจนอยากถอย

เดิมทีแค่อยากชิงแท่นมรรคนั่นเท่านั้น แต่หากต้องตายด้วยเหตุนี้ นั่นคงไม่ใช่สิ่งที่ใครจะรับได้

กล่าวกันถึงที่สุดแล้ว ผู้แข็งแกร่งพวกนี้แม้จะเรียกได้ว่าเป็นยอดมกุฎราชันอริยะแห่งยุค แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่พวกเดียวกัน ไม่มีทางร่วมแรงร่วมใจไปสู้กับหลินสวินสุดชีวิตแน่

เมื่อสังเกตเห็นว่าหลินสวินไม่อาจถูกสั่นคลอน ความคิดแรกไม่ใช่สู้สุดชีวิต หากแต่คิดว่าควรเอาตัวรอดอย่างไร

หลินสวินก็สังเกตเห็นจุดนี้อย่างชัดเจน พลานุภาพถึงเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งมากขึ้นอีกครั้ง อานุภาพการโจมตีน่าสะพรึงยิ่งกว่าเดิม

ไม่ทันไรก็บุกเข้าไปใกล้หน้าประตูทลายแค่สิบจั้ง!

มาถึงที่นี่จะเห็นได้ชัดว่าในประตูใหญ่ที่ถูกกลิ่นอายทำลายล้างปกคลุมนั้น พลังระเบียบนับไม่ถ้วนราวกับละอองแสงที่เพริศแพร้วส่องประกาย ลึกลับและพาให้คนโหยหา

เวลานี้แม้แต่เสวียนจิ่วอิ้นกับหลิงเคอจื่อก็กลั้นหายใจจดจ่อ จับตามองอย่างใกล้ชิด

สิบจั้ง!

เหลือแค่สิบจั้งแล้ว!

“พี่หลิน ควรหยุดพักได้แล้ว”

เสียงต่ำลึกหนึ่งดังขึ้น จากนั้นบัวเทพสีอ่อนดอกหนึ่งพลันแหวกอากาศมาปรากฏอยู่ข้างหน้าหลินสวิน เป็นสิ่งที่ควบรวมจากปราณกระบี่ที่บริสุทธิ์โปร่งแสง

บัวเทพสีอ่อนเบ่งบาน ปราณกระบี่ที่เปล่งประกายพุ่งออกมาขวางการโจมตีของหลินสวินไว้!

มองไปกลางลานอีกทีก็มีเงาร่างสายหนึ่งเพิ่มขึ้นมา เขาสวมชุดคลุมม่วง คิ้วกระบี่เนตรดารา กลางหน้าผากประทับรอยกระบี่สีเงินรอยหนึ่ง

เวินอวี๋!

ปีศาจแห่งยุคคนหนึ่งที่มาจากโลกอื่นในฟ้าดารา อัจฉริยะมรรคกระบี่ที่ไม่เคยปรากฏตัวบนโลก!

ทันทีที่เขาปรากฏตัว เหนือศีรษะก็มีร่มม่วงคันหนึ่งกางออก ตัวร่มหมุนวน โปรยละอองแสงสีม่วงสลัวรางนับหมื่นแสน

เมื่อปราณดาบที่ดาบไร้วิชาฟาดฟันพุ่งเข้ามา ก็ถูกละอองแสงสีม่วงที่พรั่งพรูจากตัวร่มนั้นขวางกั้น!

นัยน์ตาหลินสวินหดรัด ร่มม่วงคันนี้คือศาสตราจักรพรรดิที่อัศจรรย์เหลือประมาณชิ้นหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย!

ชุดคลุมม่วง ร่มม่วง ประทับกระบี่สีเงิน ทำให้การปรากฏตัวของเวินอวี๋มีอานุภาพที่น่าพรั่นพรึงเพิ่มขึ้น

“แท่นมรรคนี้ เจ้านำไปไม่ได้”

เสียงของเวินอวี๋ทุ้มต่ำ มีเสน่ห์ลุ่มลึกเฉพาะตัวอย่างหนึ่ง ดูหยิ่งผยองและเอาแต่ใจ “หากสู้กันตัวต่อตัว ข้ายอมรับว่าสู้เจ้าไม่ได้ แต่เจ้าในตอนนี้ไม่เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บ พลังกายยังสูญเสียจนไม่เหมือนก่อน เกรงว่าคงไม่มีหวังจะบุกเข้าไปในประตูทลายนั่นเท่าไหร่”

เหล่าผู้กล้าที่ล้อมโจมตีหลินสวินต่างคึกคักขึ้นมา เดิมทีจิตต่อสู้ของพวกเขาโยกคลอนไปแล้ว เชื่อว่าหลินสวินนั้นไม่อาจสั่นคลอน

แต่การปรากฏตัวของเวินอวี๋กลับทำให้พวกเขาเห็นความหวังครั้งใหม่

“สำหรับเจ้า ข้าคนแซ่หลินมีสี่คำจะมอบให้”

กลับเห็นนัยน์ตาดำของหลินสวินล้ำลึก ราบเรียบไร้คลื่นลม ริมฝีปากขยับพูดออกมาสี่คำเบาๆ “ไม่ประมาณตน”

ตูม!

ขณะกล่าวอานุภาพรอบตัวเขาพลันพุ่งพรวดขึ้นอีกช่วงใหญ่ สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณภายในร่างถูกวิชาลับ ‘โทสะหยาจื้อ’ โคจรถึงขีดสุด

ต้องรู้ว่าเดิมทีโทสะหยาจื้อก็เป็นวิชาลับที่ใช้กระตุ้นศักยภาพแฝง เมื่อโคจรเต็มกำลังจะสามารถทำให้พลังต่อสู้ของผู้ฝึกปราณยกระดับขึ้นช่วงหนึ่ง

สีหน้าของเวินอวี๋เปลี่ยนไปเล็กน้อยในพริบตา

ตอนที่เขาปรากฏตัว เดิมคิดว่าคว้าโอกาสเหมาะได้แล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลินสวินยังมีสิ่งที่เก็บงำเอาไว้!

แต่เขาไม่อาจคิดมากความ ด้วยการโจมตีของหลินสวินมาถึงแล้ว

ตูม!

ดาบไร้วิชาม้วนกลืนแผ่นฟ้า คมประกายเจิดจ้าดั่งธารดาราโน้มลงมา พุ่งโจมตีเข้ามาด้วยอานุภาพดุดันเหมือนกวาดล้างทั่วทิศ

“ไป!”

เวินอวี๋ดีดนิ้วรัวๆ กระบี่บินสีเงินที่หมอกแสงเจิดจ้าสามสิบหกเล่มพุ่งออกมา กลายเป็นค่ายกลกระบี่แน่นหนาเข้าปะทะหนักหน่วง

เสียงปะทะสะท้านฟ้าดังก้องขึ้น เหมือนภูเขาไฟสองลูกพุ่งชนกันเต็มแรง คลื่นสะเทือนที่น่ากลัวปะทุพล่าน ทำเอาผู้แข็งแกร่งหลายคนที่อยู่ใกล้ไม่อาจไม่หลบหลีก

ปึง!

เห็นเพียงเงาร่างของเวินอวี๋พลันถอยไปก้าวหนึ่งเหมือนถูกภูเขาบีบกด ห้วงอากาศใต้ฝ่าเท้าระเบิดออกสนั่นหวั่นไหว ส่วนเลือดลมทั้งตัวเขาก็ตีกลับทันที หน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง

“นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าไม่ประมาณตน”

ห่างออกไปหลินสวินนัยน์ตาเยียบเย็นเฉยชา พุ่งโจมตีเข้ามาอีกครั้ง ท่าทีแข็งกร้าวนั้นทำให้คนนับไม่ถ้วนใจสั่นสะท้าน

………………………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท