Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2021 หมายทำให้ระดับจักรพรรดิทั่วหล้าก้มหัวศิโรราบ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2021 หมายทำให้ระดับจักรพรรดิทั่วหล้าก้มหัวศิโรราบ

“สามหาว!”

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงตวาดลั่น “อย่าคิดว่าเจ้าแซ่เสวียนแล้วสหายยุทธ์ในที่นี้จะยอมให้เจ้าสามส่วน หากเจ้ากล้าหยาบคายอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะช่วยผู้อาวุโสตระกูลเจ้าสั่งสอนเจ้าสักหน”

เสวียนจิ่วอิ้นร้องอ้อคราหนึ่งอย่างเกียจคร้าน กล่าวอย่างกระเสาะกระแสะ “ช่างเถิด ข้าจะไม่หยาบคายกับผู้อาวุโสอย่างพวกท่านที่นี่แล้ว”

กล่าวพลางเขายกเท้าตั้งท่าจะจากไป ทำเหมือนรอบกายไร้ผู้คน

“หยุดนะ!”

นัยน์ตาจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงเจือแววเย็นเยียบ “ได้ยินว่าเจ้ากับหลินสวินนั่นความสัมพันธ์ไม่ธรรมดาใช่หรือไม่”

เสวียนจิ่วอิ้นกลอกตาคราหนึ่ง กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่ไม่ใช่คำพูดเหลวไหลหรอกหรือ ไม่เช่นนั้นมีหรือที่ข้าจะช่วยเขาเก็บรวบรวมทรัพย์หลังศึกอยู่หน้าประตูทลายนั่น”

ท่าทางเหลาะแหละเช่นนี้ เรียกได้ว่าเสียมารยาทถึงที่สุด

และคำว่า ‘ทรัพย์หลังศึก’ สามคำนี้จากปากเขา ยิ่งกระตุ้นให้ระดับจักรพรรดิไม่น้อยหน้าสีหน้ามืดทะมึน สายตาที่มองเสวียนจิ่วอิ้นเริ่มดูไม่เป็นมิตร

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงหัวเราะอย่างเดือดจัด “เจ้าหนุ่ม กล่าวเช่นนี้ ตระกูลเสวียนของพวกเจ้าตั้งใจจะร่วมมือกับคีรีดวงกมล คบคิดทำเรื่องชั่วช้าอย่างนั้นหรือ”

ประโยคนี้ชั่วร้ายถึงขีดสุด โยนคำกล่าวโทษลงไปก่อน หากเสวียนจิ่วอิ้นรับไว้ จะต้องชักนำความเข้าใจผิดครั้งใหญ่ ถึงขั้นมีผลกระทบต่อตระกูลเสวียนที่อยู่เบื้องหลังของเขา

นัยน์ตาของเสวียนจิ่วอิ้นหรี่ลงน้อยๆ กล่าวว่า “อะไรที่เรียกว่าคบคิดทำเรื่องชั่วช้า ข้าเข้าใจว่านี่ท่านกำลังมีเจตนาไม่ดีหมายให้ร้ายตระกูลเสวียนของข้าได้หรือไม่ ดูท่าเรือนมรรคจักรวาลคงไม่ชอบใจตระกูลเสวียนของข้ามากสินะ…”

เป็นเด็กหนุ่มที่ร้ายกาจยิ่ง!

แววตาของระดับจักรพรรดิจำนวนไม่น้อยเปลี่ยนเป็นแปลกไป

จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงเองก็อึ้งไป กล่าวเสียงเย็น “ปากคอเราะราย เจ้าก็แค่คนรุ่นเยาว์คนหนึ่งเท่านั้น ใครให้ความกล้ากับเจ้า ถึงได้กล้ามาพูดจาเช่นนี้กับข้า ต่อให้คนตระกูลเสวียนของพวกเจ้ามาเอง เกรงว่าก็ไม่อาจสามหาวปานนี้ด้วยซ้ำ!”

เสวียนจิ่วอิ้นหัวเราะแล้ว หัวเราะอย่างโอหังไร้กลัวเกรง

และพร้อมกันนั้นเสียงหัวเราะสายหนึ่งก็ดังก้องขึ้นกลางฟ้าดิน ราวกับพายุมรสุมโหมกระหน่ำ ซัดสะเทือนจนฟ้าดินสั่นคลอน สรรพสิ่งต่างสะท้านไหว

เสียงหัวเราะนั้นก็โอหังไร้กลังเกรงเช่นเดียวกัน ไม่สนใจสักนิดว่าในที่นี้จะมีบุคคลน่าสะพรึงมากน้อยแค่ไหน ยโสโอหังถึงขีดสุด

พร้อมๆ กับเสียงหัวเราะ เสียงกึกก้องไร้สิ้นสุดสายหนึ่งก็ดังขึ้น

“ใครให้ความกล้า? พ่อของเขาอย่างข้าให้น่ะสิ!”

ประโยคเดียวก็มีระลอกคลื่นเสียงสีทองสายหนึ่งควบรวม สุดท้ายกลายเป็นอักษรมรรคดึกดำบรรพ์สีทองอร่ามแถวหนึ่ง

แต่ละคำล้วนมีขนาดเท่าหินโม่ ไหลเวียนด้วยพลังกฎเกณฑ์น่าสะพรึง สว่างจ้าพร่าตา ลอยเด่นอยู่เหนือศีรษะของจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงดุจดั่งอาทิตย์ดวงน้อยที่ส่องแสงสว่างวาบแถวหนึ่ง

เหล่าจักรพรรดิต่างอดอึ้งงันไม่ได้

พร้อมๆ กับเสียงสูดหายใจสะท้านระลอกหนึ่งดังขึ้น นี่เหมือนตบหน้ากันซึ่งๆ หน้าอย่างสิ้นเชิง ซ้ำยังเห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งและบ้าระห่ำหาใดเปรียบ!

ประโยคเดียวควบรวมเป็นอักษรมรรคเจิดจ้าอุบัติออกมา เสมือนกลัวว่าผู้อื่นจะไม่รู้ว่าประโยคนี้ของเขาจองหองปานใด

ในสมองของทุกคนปรากฏเงาร่างคนผู้หนึ่งขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม…

ผู้นำตระกูลเสวียนคนปัจจุบัน เสวียนซั่งเฉิน!

ยักษ์ใหญ่มรรคกระบี่ที่ได้รับการเรียกขานว่า ‘บ้าบิ่น’ จากอุปนิสัยตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ คนคลั่งมรรคจักรพรรดิที่อุปนิสัยดุจเหล็ก พฤติกรรมบ้าคลั่ง เย่อหยิ่งดั่งดวงสุริยัน!

อักษรหนึ่งแถวสีทองอร่ามปรากฏกลางห้วงอากาศ แสงมรรคไหลวน แม้แต่คนใหญ่คนโตบางส่วนที่ลอบสังเกตเหตุการณ์ต่างๆ นี้ในเงามืดยังมีสีหน้าแปลกไป

เสวียนซั่งเฉินนี่…

ช่างบ้าระห่ำเผด็จการเต็มเปี่ยมซะจริง!

และยามนี้จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงก็พูดไม่ออกแล้ว ร่างของนางแข็งทื่อ นัยน์ตาหดรัด บนใบหน้างามฉายแววแข็งทื่อและหวาดกลัวเต็มเปี่ยม

อักษรมรรคแถวนั้นเป็นความอัปยศอันหยาบโลนที่สุดต่อนาง เป็นการเหยียบย่ำครั้งใหญ่ที่สุดต่อศักดิ์ศรีของนางอย่างไม่ต้องสงสัย

ควรรู้ว่าบริเวณใกล้ๆ เขาเมฆานี้ กลายเป็นพื้นที่ที่ทั่วหล้าทั้งบนล่างให้ความสนใจตั้งนานแล้ว แค่เพียงลมโชยหญ้าไหวเสี้ยวเดียงของที่นี่ ยังเป็นไปได้สูงว่าอันแพร่สะพัดไปทั่วหล้าในเวลาอันสั้นที่สุด

แค่คิดก็รู้ว่าหากภาพนี้แพร่งพรายออกไป จะเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ปานใด

แต่จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงกลับไม่กล้าเคลื่อนไหวผลีผลาม

อักษรมรรคแถวหนึ่งที่ลอยเด่นกลางห้วงอากาศนั้นก็เหมือนอานุภาพอันน่าสะพรึง พลังที่เปี่ยมล้นประหนึ่งกระบี่มรรคเล่มหนึ่งพาดอยู่ตรงลำคอของจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง หากผลีผลามขยับตัว ผลที่ตามมาย่อมไม่อาจคาดคิด

“ผู้อาวุโสท่านนี้ พ่อข้ามาแล้ว ท่านคิดว่าเขาสามหาวหรือไม่”

กลับเห็นเสวียนจิ่วอิ้นกล่าวพลางหัวเราะชอบใจ

เหล่าจักรพรรดิต่างหน้าเปลี่ยนสี อารมณ์ปั่นป่วน ใช่แค่สามหาวที่ไหน นี่มันสาวหาวยิ่งกว่านี้ไม่ได้เลยชัดๆ!

ทอดมองจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงที่ไม่ขยับเขยื้อนอยู่ไกลๆ คนบางส่วนต่างก็อดนึกเวทนาขึ้นมาไม่ได้

ก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหวเข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณ จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงถูกหญิงคนนั้นจากเรือนมรรคคืนกำเนิดหักหน้า อับอายขายขี้หน้าสุดขีด

และยามนี้ นางก็ถูกผู้นำตระกูลเสวียนที่แม้แต่เงาร่างยังไม่ได้ปรากฏเหยียบย่ำศักดิ์ศรีอย่างโอหังไร้เกรงกลัวอีก…

จักรพรรดิหญิงแห่งเรือนมรรคจักรวาลคนหนึ่งเชียว สถานะสูงส่งปานใด แต่กลับถูกหยามเกียรติซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากเรื่องนี้กระจายออกไปคงกลายเป็นตัวตลกของคนทั่วหล้าเป็นแน่

นี่จะไม่ให้ผู้คนเวทนาได้ ทอดถอนใจกับเรื่องนี้อย่างไร

“พี่เสวียน เอาแค่พอดีก็พอ”

เสียงราบเรียบสายหนึ่งดังขึ้น ดุจดั่งลมหนาววูบหนึ่ง สลายอักษรมรรคสีทองที่ลอยเด่นกลางอากาศแถวนั้นออกไป

“ในเมื่อเฒ่าชราเช่นเจ้าเอ่ยปากร้องขอ เช่นนั้นข้าก็จะปล่อยนางไปสักครั้ง”

เสียงทรงพลังไพศาลของเสวียนซั่งเฉินดังขึ้นอีกกครั้ง “เจ้าเด็กแสบ ไม่มีปัญญาแต่กลับชอบก่อเรื่องเป็นชีวิตจิตใจ เจ้าตั้งใจจะให้บิดาช่วยเช็ดก้นให้เจ้าไปตลอดชีวิตหรือไร”

“ใครใช้ให้ข้าแซ่เสวียนกันเล่า แล้วใครใช้ให้ท่านเป็นพ่อของข้ากัน ข้าอยากปฏิเสธ… ทำได้ด้วยหรือ”

เสวียนจิ่วอิ้นไม่เพียงไม่กลัว ตรงข้ามกลับเบ้ปากอย่างจนปัญญา

เสวียนซั่งเฉินยังคงไม่ปรากฏตัว กล่าวหัวเราะดังลั่น “ความสามารถของข้าไม่รู้จักเอาอย่าง นิสัยของข้าดันเอาอย่างจนเหมือนอยู่สามส่วน ไม่เลว ออกเดินทางครั้งนี้ก็ถือว่ามีพัฒนาการอยู่บ้าง”

สวบ!

ครู่ต่อมาแสงมรรคสายหนึ่งพริบวาบ ปิดครอบเงาร่างเสวียนจิ่วอิ้นเอาไว้ พริบตาเดียวก็หายลับไปจากจุดเดิม

ตั้งแต่ต้นจนจบระดับจักรพรรดิในที่นี้ไม่มีใครขัดขวางเลยสักคน

“พี่เสวียน หน้าตาตระกูลเสวียนของพวกเจ้า พวกเรารักษาไว้ให้แล้ว หวังว่าจะเห็นคุณค่า!”

น้ำเสียงเยียบเย็นสายนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง

“ฮ่าๆๆ…”

กลางฟ้าดินมีเพียงเสียงหัวเราะดังลั่นทรงพลังกว้างไกลของเสวียนซั่งเฉิน และค่อยๆ อันตรธานหายไป

จวบจนบัดนี้จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงถึงเหมือนยกภูเขาออกจากอก ทั่วร่างผ่อนคลายลง เพียงแต่สีหน้าของนางกลับเห็นได้ชัดว่ามืดทะมึนและไม่น่าดูหาใดเปรียบ

ถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีติดต่อกัน ทำให้นางอับอายขายขี้หน้า ข่มกลั้นเพลิงโทสะเอาไว้แต่ดันไม่มีที่ให้ระบาย ทั้งตัวดูย่ำแย่ไม่น้อย

ตั้งแต่พวกหลิงเคอจื่อถูกพาตัวไป เรื่อยมาจนถึงยามนี้ที่เสวียนจิ่วอิ้นเองก็ถูกบิดาของเขาพาตัวไป แต่ละภาพเหล่านี้ล้วนถูกสายตามากมายมองดูอยู่

ถึงจะบอกว่าผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิทั้งหมดจะไม่เคยพูดอะไร ทว่าบรรยากาศในที่นั้นกลับยิ่งกดดันขึ้นเรื่อยๆ

เพราะทุกคนต่างตระหนักได้ว่าละแวกเขาเมฆาแห่งนี้ ภายนอกเป็นพวกจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิง จักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นเป็นผู้ควบคุมดูแลทั้งหมด

แต่ในความเป็นจริง เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดไม่เคยเผยกายเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้ผู้คนเกรงกลัวมากที่สุด!

ก็เหมือนยามที่บรรพจารย์จักรพรรดิฉานถูปรากฏตัว ผู้ที่ส่งเสียงทัดทานจักรพรรดิสงครามเจวี๋ยอิ้นก็คือเฒ่าดึกดำบรรพ์ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิแห่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์คนหนึ่ง

ต่อมาคนที่ส่งเสียงห้ามปรามเสวียนซั่งเฉินผู้นำตระกูลเสวียน ก็คือพวกน่าสะพรึงคนหนึ่งแห่งเรือนมรรคจักรวาล

กล่าวอย่างไม่เกินจริง เมื่อเทียบกับเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ซ่อนตัวในเงามืดเหล่านี้ ระดับจักรพรรดิในที่นี้ล้วนดูด้อยกว่าส่วนหนึ่ง

และก็เพราะเป็นเช่นนี้ ถึงทำให้สถานการณ์ในที่นี้ยิ่งกดดันและตึงเครียดมากขึ้น

“ไปเถิด”

ไท่ซูหงทอดถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง ตัดสินใจจะถอนตัวออกก่อนที่มรสุมครั้งนี้จะมาเยือน หาไม่ถึงตอนนั้นคิดอยากหนีเกรงว่าคงไม่ทันแล้ว

เขาโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง พาพวกหลิงหงจวงที่ดูไม่ค่อยเต็มใจเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศจากไป

ไม่มีใครขัดขวาง

ตรงกันข้าม การจากไปของไท่ซูหงทำให้ระดับจักรพรรดิบางส่วนยิ่งผ่อนคลายมากขึ้น อย่างน้อยนี่ก็พิสูจน์ว่าเรือนมรรคโลกาสวรรค์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคลื่นลมครั้งนี้จริงๆ!

และยามที่ขบวนของพวกไท่ซูหงเพิ่งจากไป กลางอุโมงค์อากาศนั้นมีเงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งเดินออกมาพร้อมๆ กับละอองแสงที่ไหลเวียนระลอกหนึ่ง

อาภรณ์สีขาวพระจันทร์ ผมยาวราวกับสีหมึก หล่อเหลาเกลี้ยงเกลา กลิ่นอายรอบกายแผ่วพลิ้วดุจสายน้ำ ประหนึ่งเซียนที่จุติลงมา หลุดพ้นละโลกีย์

เป็นหลินสวินนั่นเอง!

ยามเห็นเขาปรากฏตัว ฟ้าดินราวกับเงียบสงัด ห้วงอากาศประหนึ่งแข็งค้าง

สายตาของระดับจักรพรรดิทั้งหมดลล้วนจับจ้องบนร่างเขาคนเดียว ไอสังหารน่าสะพรึงที่ไม่อาจบรรยายได้สายหนึ่งก็พลอยแผ่กว้างออกไปพร้อมกัน

เจ้าหนุ่มคนนี้ เคยใช้ฐานะของจินตู๋อีผงาดกร้าวในอาณาเขตแคว้นเมฆาดุจดั่งม้ามืด สำแดงความเด่นสง่า

เคยอวดศักดาอาละวาดในแดนลับโลกาสวรรค์ กดข่มเหล่าผู้กล้า

เคยถูกคนมองเป็นผู้สืบทอดเรือนมรรคคืนกำเนิด เรียกความโกลาหลระลอกใหญ่

และเคยถูกคนมองฐานะออก มองเขาเป็นเหยื่อล่อ จัดวางสถานการณ์ใหญ่คับฟ้าฉากหนึ่ง เพียงเพื่อจะล่อวิญญาณเร่ร่อนเหล่านั้นที่อยู่เบื้องหลังเขาออกมา!

แต่ใครก็คาดไม่ถึง เจ้าคนที่เหมือนตัวหมากในสายตาของ ‘คนใหญ่คนโต’ อย่างพวกเขาเหล่านี้ ชื่อที่แท้จริงดันเป็นหลินสวิน คนที่เคยก่อกวนแหล่งสถานคุนหลุน เข่นฆ่าเหล่าผู้กล้าจนเลือดไหลเป็นสายน้ำ ครอบครองยอดศุภโชคที่มีความลับของการบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์อย่างหนึ่ง!

ยิ่งไม่มีใครคาดคิด ว่าเจ้าคนที่เป็นเหมือนเหยื่อล่อเช่นนี้ กลับใช้พลังแห่งตนฆ่าจนเลือดไหลนองในเขตต้องห้ามเซียนโบราณ ไร้ศัตรูในระดับเดียวกัน แม้แต่มหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นนั้นก็ยังถูกเขาช่วงชิงไป!

เมื่อนึกถึงเรื่องใหญ่นองเลือดมากมายที่เกิดขึ้นบนร่างเจ้าหมอนี่ ในใจระดับจักรพรรดิบางส่วนล้วนไม่อาจเยือกเย็นได้

ตัวคนเดียวกลับสามารถสู้ศึกรอบทิศ กดข่มศัตรูในระดับเดียวกัน นี่จะน่ากลัวปานใด

และในมือเขายังครอบครองมหาสมบัติแรกกำเนิด ซ้ำยังมีศุภโชคของการบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์ หากวันหน้าปล่อยให้เขาก้าวสู่ระดับจักรพรรดิ…

ทั่วหล้าฟ้าดาราแห่งนี้ ใครยังจะสามารถกดข่มเขาได้อีก

แค่คิดยังทำให้ผู้คนสั่นสะท้านทั้งที่ไม่ใช่หน้าหนาว!

บรรยากาศกดดันเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง เหล่าจักรพรรดิต่างมีความคิดของตน แต่กลับไม่มีใครสักคนเลือกลงมือก่อน คล้ายกำลังรออะไรบางอย่าง ทั้งเหมือนกับเกรงกลัวและระวังภัยอะไรด้วย

หรืออาจกล่าวว่า ในใจของพวกเขา การฆ่าหลินสวินตายไปสักคนไม่นับว่าเป็นอะไร สิ่งที่ทำให้พวกเขาสนใจอย่างแท้จริง คือคนที่อยู่เบื้องหลังหลินสวิน!

หลินสวินสีหน้านิ่งขรึม ด้านหลังของเขา อุโมงค์อากาศที่เชื่อมสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณกำลังมลายหายลับไป

เขาคนเดียว เวลานี้กลับเหมือนลูกแกะตัวหนึ่ง ถูกฝูงหมาป่าล้อมรอบ!

แต่เขากลับไม่ได้เผยท่าทีตื่นกลัวแม้แต่เสี้ยวเดียว หรือกล่าวได้ว่าเขาคาดเดาสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว คาดการณ์ได้ก่อนแล้วว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น

และก็เพราะเช่นนี้ ยามที่อยู่ในเขตต้องห้ามเซียนโบราณเขาถึงกล้าวางใจ ฝากฝังจินเทียนเสวียนเยวี่ย เซี่ยอวี่ฮวา เหลิ่งซิวเจียสามคนนี้ให้หลิงเคอจื่อพาตัวไป

รวมถึงการปฏิเสธความช่วยเหลือของเสวียนจิ่วอิ้น ให้เขาล่วงหน้าออกไปก่อน

ทำเช่นนี้ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากไม่อยากให้ตนสร้างความลำบากให้พวกหลิงเคอจื่อ เสวียนจิ่วอิ้น

ส่วนตัวเขาเอง…

ได้เตรียมพร้อมต้อนรับมรสุมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว!

บรรยากาศเงียบกริบ หลินสวินยืนโดดเด่นเพียงลำพัง สายตากวาดมองระดับจักรพรรดิในที่นี้ทีละคน มองดูแววเย็นเยียบเฉยเมยที่ไม่มีปกปิดบนใบหน้าของพวกเขา

จู่ๆ ในใจก็ผุดแรงกระตุ้นอันแรงกล้าวูบหนึ่งขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก…

วันหน้าหากข้าเป็นจักรพรรดิ จะต้องทำให้ระดับจักรพรรดิทั่วหล้าก้มหัวศิโรราบให้ได้!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท