บนทางเดินโบราณฟ้าดารา ยิ่งเป็นสำนักที่เก่าแก่ก็ยิ่งให้ความสำคัญกับการเคี่ยวกรำระดับกำลังภายใน
การฝึกปราณมหามรรค กำลังภายในคือจุดเริ่มต้น!
ใครก็ตามที่มีพรสวรรค์ ล้วนสามารถเข้าสู่ธรณีประตูระดับกำลังภายในได้ แต่ก็ใช่ว่าใครจะสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งหาใดเปรียบในระดับกำลังภายในได้
และรากฐานยิ่งแข็งแกร่ง มรรคาในภายหน้าก็ย่อมเดินได้ไกลยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
เวลานี้การต่อสู้ระหว่างหลินสวินกับฝูจั้นเจิน ก็สำแดงการต่อสู้ระดับกำลังภายในที่เรียกได้ว่าสะท้านโลก ทุกการเคลื่อนไหวทุกท่วงท่า ทุกกระบวนทุกวิชาของทั้งคู่ล้วนแฝงอานุภาพยิ่งใหญ่ ภายในบรรจุเจตจำนงที่ดุจเหล็กดั่งภูเขา อยู่นอกเหนือขอบเขตที่ทั่วหล้าจะสามารถคาดเดาได้อย่างสิ้นเชิง
ทว่ามองดูอย่างถี่ถ้วน ตั้งแต่ต้นจนจบพลังต่อสู้หลินสวินกดข่มการบุกโจมตีของฝูจั้นเจินอย่างมั่นคงตลอด
หนึ่งถ้วยชาให้หลัง
ปึง!
พร้อมๆ กับเสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าดิน หลินสวินซัดหมัดโจมตี ใช้อานุภาพบดขยี้ไร้เทียมทานกำราบฝูจั้นเจิน
ร่างของฝูจั้นเจินแตกกระจุย กลายเป็นละอองแสงล่องลอย หายไปกลางฟองคลื่นซัดโหมที่ดุจดั่งสายน้ำแห่งกาลเวลานั้น
หลินสวินถอนหายใจยาว แววตากระจ่าง
การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ถึงขั้นยากเข็ญ แต่กลับทำให้หลินสวินตระหนักได้ ว่าในกาลเวลาไร้สิ้นสุดตั้งอดีตจนปัจจุบัน ก็เคยมีคนบรรลุขอบเขตมกุฎระดับกำลังภายในขั้นสมบูรณ์ซึ่งเป็นประวัติการณ์เช่นเดียวกับเขา
เหมือนอย่างฝูจั้นเจิน
เมื่อเทียบกันจริงๆ จิตใจ เจตจำนง และพลังของฝูจั้นเจินล้วนไม่ด้อยกว่าหลินสวิน
สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันก็อยู่ที่ มกุฎมรรคาที่ทั้งคู่เสาะแสวงหาแตกต่างกัน!
เพื่อจะฝึกระดับกำลังภายในอีกครั้ง หลินสวินใช้คัมภีร์เตาหลอมมหามรรคเคี่ยวกรำตนเอง ใช้คัมภีร์มรรคที่เรียกได้ว่าชั้นยอดหลายสิบวิชาเป็นกระจกสะท้อน ใช้เวลาสามเดือนกว่าจะเคี่ยวกรำระดับกำลังภายในขั้นหนึ่ง ‘กำหนดปราณ’ ให้ถึงขั้นสมบูรณ์ได้
จนกระทั่งตอนนี้ มรรควิถีกำลังภายในของตัวเขาแตกต่างจากมกุฎมรรคาในความหมายทั่วไปนานแล้ว
แต่จะสามารถเรียกได้ว่า ‘อดีตปัจจุบันไม่เคยมีมาก่อน’ หรือไม่ ยังต้องการการพิสูจน์อยู่
ครืน!
ฟองคลื่นม้วนตลบ เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นอีกครั้ง เป็นเด็กสาวชุดดำรัดรูป ทรวดทรงเรือนร่างเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ผมยาวมัดเป็นหางม้า ดวงหน้าเย็นเยียบ นัยน์ตาคมกริบดุจปลายมีด
ตอนที่นางก้าวเดิน กลิ่นอายต่อสู้คาวเลือดวูบหนึ่งคละคลุ้ง เห็นได้ชัดว่าดุดันหาใดเปรียบ
ฉื่ออิ๋ง!
ขอบเขตมกุฎระดับกำลังภายในขั้นสัมบูรณ์ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมีพลังต่อสู้ในระดับกำลังภายในเป็นอันดับแปด บรรลุขั้นสัมบูรณ์ของระดับนี้ตอนอายุสิบแปดปี…
นี่เป็นบุคคลที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นตำนานอีกคนหนึ่งในระดับกำลังภายใน หนำซ้ำยังเป็นผู้หญิง!
พรึ่บ!
ทันทีที่ปรากฏ ฉื่ออิ๋งก็ปลดปล่อยพลังโจมตี เงาร่างพริบไหว เหมือนดั่งดาบคมสีดำแถบหนึ่งกรีดผ่านฟ้ากว้าง กร้าวแกร่งไร้ทัดเทียม
หลินสวินไม่หลบไม่เลี่ยง โผเข้าใส่
ร่างเขาดั่งเตาหลอม นิพพานอยู่ในระดับกำลังภายใน ปลดปล่อยอยู่บนมกุฎมรรคา
ฉื่ออิ๋งแข็งแกร่งยิ่ง พลังโจมตีดุจสายฟ้า ดุกร้าวถึงขีดสุด ตอนที่ฝ่ามือโบกสะบัด ก็เหมือนปราณกระบี่แน่นขนัดเคลื่อนขวางหอบม้วน
ที่น่ากลัวที่สุดคือนิสัยดื้อดึงของนาง ทั้งที่ถูกหลินสวินกดข่มอยู่แท้ๆ แต่ยามสถานการณ์คับขันก็มักจะถูกนางขืนต้านเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งยิ่งยวด
แต่สุดท้ายนางก็แพ้อยู่ดี ถูกหลินสวินใช้ท่วงท่ากร้าวแกร่งกำราบ ซัดร่างแหลก
ฮูม!
ละอองแสงล่องลอย ฉื่ออิ๋งก็เลือนหายไปในสายน้ำแห่งกาลเวลาเช่นกัน
และเวลาเดียวกันนั้นหลินสวินก็สัมผัสได้ ว่าพลังที่เสียไปของตนคืนสู่จุดสูงสุดดังเดิมในชั่วพริบตา ภายใต้การปิดครอบของพลังระเบียบอันคลุมเครือระลอกหนึ่ง
ในใจเขากร่างจ่างแจ้งขึ้นมา
หากตนพ่ายแพ้ ทั้งหมดนี้ก็อาจจะจบลง
แต่หากตนชนะ ก็จะปรากฏคู่ต่อสู้ที่แกร่งขึ้นมาคนแล้วคนเล่า!
และไม่ผิดจากที่เขาคาดไว้ ไม่ทันไรในระลอกคลื่นซัดโหมนั้นก็ปรากฏเงาร่างอีกสายหนึ่ง…
…
ด้านนอกเขายอดยุทธ์
งานประลองยอดยุทธ์สิ้นสุดแล้ว ผู้แข็งแกร่งจากสี่ทิศแปดทางแยกย้ายจากไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริเวณใกล้เคียงเขายอดยุทธ์ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเงียบเชียบขึ้นมา
เฉียนอวี้หลิวยังคงรออยู่
เวลาผ่านไปสองวันแล้ว แต่หลินสวินยังไม่กลับออกจากเขายอดยุทธ์
‘ช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะงานประลองยอดยุทธ์ครั้งไหน และไม่ว่าอันดับหนึ่งคนใดก็ตามที่เข้าสู่เขายอดยุทธ์ ต่างก็ย้อนกลับมาภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน แต่เขา…’
ในใจเฉียนอวี้หลิวอบอวลด้วยความหมองหม่น ‘เขาจากไปแล้วจริงๆ หรือ’
นางรู้ว่าหลินสวินเป็นผู้เข้าวัฏจักรคนหนึ่ง ช้าเร็วก็ต้องจากโลกใบนี้ไป
“องค์หญิงสาม ควรไปกันได้แล้ว” ผู้แข็งแกร่งของต้าเฉียนกลุ่มหนึ่งเดินมา
“พวกเจ้าไปเถอะ ข้าจะรออีกหน่อย”
เฉียนอวี้หลิวสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งก่อนตัดสินใจ
ไม่ทันไรเวลาก็ผ่านไปสามวันแล้ว
บริเวณใกล้ๆ เขายอดยุทธ์ยิ่งเงียบเชียบขึ้นเรื่อยๆ นอกจากผู้แข็งแกร่งที่มุ่งหน้ามาชื่นชมเขายอดยุทธ์แล้ว ก็เหลือแต่เฉียนอวี้หลิวคนเดียวที่ยังรออยู่
บนเขายอดยุทธ์ พลังระเบียบอันคลุมเครือแผ่ครอบ กาลเวลาดั่งสายน้ำ ระลอกคลื่นพวยพุ่งไหลหลั่ง
ตูม!
เงาร่างหลินสวินกวาดขวาง มือหนึ่งกดลงไป ซัดเด็กหนุ่มหล่อเหลาที่สวมชุดม่วงจนพ่ายแพ้ ฝ่ายหลังกลายเป็นละอองแสงปลิวลอย ถูกระลอกคลื่นกลบม้วนหายไป
นี่เป็นคู่ต่อสู้คนที่แปดที่หลินสวินเอาชนะได้!
ไม่กี่วันมานี้หลินสวินโจมตีบุคคลในตำนานที่ฝากชื่อไว้ในหมื่นกาลคนแล้วคนเล่าอย่างต่อเนื่อง
ตั้งแต่ฝูจั้นเจิน ฉื่ออิ๋งในตอนแรกสุด จนถึงไหวหนานจื่อที่อยู่อันดับเจ็ด กู่เต้าหุนอันดับหก จั๋วเจี้ยนเฉินอันดับห้า…
เรื่อยมาถึงจนอ๋าวซิงไฮ่อันดับสี่ หวังอู๋จี้อันดับสาม
ในระดับกำลังภายใน แต่ละคนล้วนมีพลังต่อสู้ขั้นสัมบูรณ์ที่บรรลุจุดสูงสุด ทุกคนล้วนเรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่เสมือนปีศาจ ไม่สามารถใช้หลักการทั่วไปประเมินได้
โดยเฉพาะตอนที่ต่อสู้กับคู่ต่อสู้ห้าอันดับแรก แม้แต่ตัวหลินสวินเองก็บาดเจ็บสาหัสอย่างเลี่ยงไม่ได้ การต่อสู้แต่ละครั้งล้วนชนะมาได้อย่างลำบากยากเย็นหาใดเปรียบ
เหมือนอย่างเด็กหนุ่มหล่อเหลาชุดม่วงที่ถูกเขาโจมตีพ่ายแพ้ในตอนนี้ มีนามว่าฉีหนิง
ขอบเขตมกุฎระดับกำลังภายในขั้นสัมบูรณ์คนหนึ่ง ตำนานสะดุดตาที่อยู่อันดับสองตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน
บุคคลแห่งยุคที่ทำให้หลินสวินยังบาดเจ็บสาหัส
ชื่อที่… ทำให้หลินสวินรู้สึกคุ้นเคยชื่อหนึ่ง
ขบคิดครู่หนึ่ง เรื่องในอดีตก็ผุดขึ้นในหัว
ปีนั้นในแหล่งสถานคุนหลุน บนแท่นสักการะ หลินสวินเคยสักการะอริยบุคคลบนนั้น และศิลามรรคสักการะที่เป็นของเขาทะยานสูงเหนือห้วงอากาศถึงหมื่นจั้ง!
นี่หมายถึงระดับความสูงที่ได้รับบนเส้นทางการสักการะอย่างหนึ่ง
และในกาลเวลาอันเนิ่นนานนั้น มีเพียงสามคนที่ทำให้ศิลามรรคสักการะขึ้นไปถึงระดับความสูงเก้าพันจั้ง
คนหนึ่งคือเสวียนซั่งเฉิน ฉายา ‘มหาจักรพรรดิเสวียนเหยี่ยน’
คนหนึ่งคือ ‘เฟิงเทียนจื่อ’ จากเรือนมรรคโลกาสวรรค์หนึ่งแสนปีก่อน ฉายาจักรพรรดิเร้นเก้ารู้
ส่วนอีกคนคือบุคคลลึกลับที่ชื่อ ‘ฉีหนิง’ เมื่อหกหมื่นปีก่อน ที่มาไม่มีใครรับรู้ หนทางในภายหน้าก็ไม่มีใครล่วงรู้เช่นกัน
ตอนนั้นหลินสวินก็จำชื่อฉีหนิงนี้เอาไว้แล้ว
และตอนนี้บนเขายอดยุทธ์แห่งนี้ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มหล่อเหลาชุดม่วงคนนี้ ก็ทำให้หลินสวินนึกถึงฉีหนิงที่สักการะอยู่ในแหล่งสถานคุนหลุนคนนั้นขึ้นมาทันที
หนำซ้ำในใจก็เชื่อมั่นว่าทั้งสองคนนี้เป็นคนเดียวกัน!
‘น่าสนใจ พลังมหามรรคของคนผู้หนึ่ง ถึงกับสามารถประทับอยู่บนระเบียบต้นกำเนิดของทางเดินโบราณฟ้าดาราได้ แค่คิดก็รู้ว่าแข็งแกร่งปานใด…’
หลินสวินคล้ายขบคิด
แดนนิพพานวิวัฒน์มาจากระเบียบต้นกำเนิดทางเดินโบราณฟ้าดารา และวัฏจักรแห่งนี้ก็กำลังดำเนินอยู่บนแดนนิพพาน
เมื่อสันนิษฐานเช่นนี้ จู่ๆ ก็ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่า ในกาลเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ปีศาจที่โดดเด่นแปลกแยกในระดับใดระดับหนึ่งเหล่านั้น บางทีก็อาจจะถูกสลักชื่อบนหน้าประวัติศาสตร์ก็เป็นได้
พวกเขาดุจหมู่ดาวสว่างไสว สิ่งที่เป็นตัวแทนคือระดับความสูงต่ำของการฝึกปราณอย่างหนึ่ง!
ขณะที่กำลังครุ่นคิดกับตัวเอง ส่วนลึกของสายน้ำแห่งกาลเวลานั่นก็ปรากฏเงาร่างขึ้นมาอีกสายหนึ่ง นั่นเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาท่าทางธรรมดาถึงขีดสุด หาพบได้ทั่วไปอย่างที่สุดคนหนึ่ง
สวมงอบ ใส่รองเท้าฟาง ผิวหนังดำเกรียม มีเพียงดวงตาที่กระจ่างแจ้งราวกับน้ำแร่บ่อหนึ่ง
เมื่อเห็นภาพนี้ หลินสวินก็อึ้งไปแล้ว
“ศิษย์พี่ผู่เจิน!?” เขาโพล่งออกมา
คนผู้นี้แม้จะมีรูปร่างเป็นเด็กหนุ่ม แต่หน้าตานั้นเหมือนกับศิษย์พี่ผู่เจินไม่ผิดเพี้ยน!
ท่ามกลางความเลือนราง หลินสวินคล้ายนึกถึงภาพที่พบกับผู่เจินเป็นครั้งแรกอีกครา
‘ศิษย์น้อง ชื่อทางโลกของข้าหยาบกระด้างเกินไป นับตั้งแต่กราบอาจารย์เข้าสำนัก อาจารย์ก็ตั้งฉายาธรรมให้ข้าว่า ‘ผู่เจิน’ อยู่ลำดับที่สิบเอ็ด’
‘ก่อนข้าจะเข้าสำนักก็เป็นชาวไร่ชาวนาในไร่นาคนหนึ่งจริงๆ ไม่รู้หนังสือสักตัว ต่อมาได้รับการอบรมสั่งสอนจากอาจารย์ ถึงได้เหยียบย่างบนเส้นทางแห่งการฝึกปราณ’
‘ข้าต่างจากศิษย์พี่เก้าเก่ออวี้ผู เขาน่ะทึ่มทื่อเหมือนท่อนไม้จริงๆ แต่ข้าคือซื่อตรงเกินไป พูดโป้ปดไม่เป็น แต่อาจารย์บอกว่าหมื่นวิญญาณโดยกำเนิดล้วนแตกต่างกัน คนซื่อตรงก็มีข้อดีของคนซื่อตรง’
‘ข้าถนัดทำไร่ทำนาที่สุด หลังจากเข้าสู่สำนักก็ช่วยดูแลเพาะปลูกวัตถุดิบวิญญาณนานาชนิด’
…ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นเสมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ฉายชัดอยู่ในหัว
เมื่อมองดูเด็กหนุ่มที่อยู่ไกลๆ คนนั้นอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือแม้แต่บุคลิก ก็ยังเหมือนถอดแบบมาจากศิษย์พี่ผู่เจิน!
ดังคาด ครู่ต่อมาหลินสวินก็เกิดปฏิกิริยาตอบสนอง ได้รู้ข้อมูลของเด็กหนุ่มคนนั้น
ผู่เจิน
ปราณระดับกำลังภายในขั้นสัมบูรณ์ นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน พลังต่อสู้อันดับหนึ่งในระดับกำลังภายใน!
หลินสวินอดสูดหายใจสะท้านไม่ได้ ไหนเลยจะคาดคิด ว่าคนซื่อตรงที่ชอบใช้หมัดเอ่ยหลักการอย่างศิษย์พี่ผู่เจิน ดันเป็นผู้ที่เป็นอันดับหนึ่งในระดับกำลังภายในตั้งแต่อดีตกาลสืบมา!
ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครบอกเรื่องนี้กับเขา
จากนั้นหลินสวินก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา ในการประชันหมากครั้งใหญ่ครั้งนั้น ศิษย์พี่ผู่เจินถูกคนเรียกว่า ‘จักรพรรดิยอดยุทธ์’ อยู่ตลอด
ยอด มาจากความสามารถของเขา
ยุทธ์ มาจากพลังหมัดของเขา
ยอดยุทธ์สองคำนี้ ขนามนามจักรพรรดิ ชื่อเสียงสมฉายา!
ทว่าตอนนี้หลินสวินกลับพบว่า ฉายา ‘จักรพรรดิยอดยุทธ์’ ของศิษย์พี่ผู่เจินนี้ถึงกับมีที่มาอย่างอื่น!
ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน พลังต่อสู้อันดับหนึ่งในระดับกำลังภายใน!
ทันทีที่เด็กหนุ่มผู่เจินปรากฏตัวก็ลงมือตรงๆ
ตูม!
หมัดเรียบง่ายธรรมดาซัดออกมา มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่มหามรรคถึงขีดสุดอยู่รำไร
หลินสวินไม่ทันตั้งตัวก็ถูกหมัดหนึ่งกระแทกจนซวนเซถอยล้ม เลือดลมทั่วร่างพลิกตลบระลอกหนึ่ง สัมผัสได้ถึงพลังของหมัดนี้ ทั่วร่างเขาก็เลือดร้อนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง หัวเราะลั่นกล่าวว่า “ศิษย์พี่ผู่เจิน ในเมื่อพวกเราพานพบกันที่นี่ เช่นนั้นพวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ลองดูสักตั้ง ว่าใครจะเป็นอันดับหนึ่งในระดับนี้กันแน่!”
ขณะพูดเขาเหยียดตัวขึ้น ซัดหมัดบุกสู้ เรียบง่ายถึงขีดสุดเช่นเดียวกัน นั่นเป็นจิตที่หวนคืนสู่ถิ่นเดิมหลังจากชะล้างฝุ่นผง ผ่านการเคี่ยวกรำมาอย่างเต็มที่แล้ว
ตูม!
ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนโรมรัน พลังหมัดสู้พลังหมัด ต่างฝ่ายต่างพุ่งกระแทก ต่อสู้อยู่เหนือสายน้ำแห่งกาลเวลาที่ซัดโหมแห่งนี้
สถานการณ์ต่อสู้ไม่เคยมีมาก่อน
เวลาเพียงชั่วอึดใจเท่านั้นหลินสวินบาดเจ็บสะบักสะบอม เลือดลมทั่วร่างพลิกม้วน ริมฝีปากยังมีคราบเลือดไหลออกมา
ขณะเดียวกันเงาร่างของเด็กหนุ่มผู่เจินก็ถูกซัดสะเทือนจนซวนเซ ประกายแสงพลิกวาบ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ร่างที่มีเลือดเนื้อ แต่เป็นพลังมหามรรคอย่างหนึ่ง ต่อให้บาดเจ็บสาหัสก็ไม่เหมือนกับคนทั่วไป
“มาอีก!”
หลินสวินส่งเสียงคำราม ลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่างรอบกาย ทั้งกายและจิตล้วนถูกจิตต่อสู้อันพลุ่งพล่านดั่งไฟโหมท่วมท้น บุกโจมตีเข้าไป ผงาดกร้าวและมั่นใจในตัวเอง
เหมือนกับก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว หลินสวินพูดกับศิษย์พี่รองจ้งชิว ว่าลูกศิษย์ไม่จำเป็นต้องสู้อาจารย์ไม่ได้
ศิษย์น้องก็ไม่จำเป็นต้องสู้ศิษย์พี่ไม่ได้!