Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2335 ซากดวงกมล

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2335 ซากดวงกมล

ตอนที่ 2335 ซากดวงกมล

ในขณะเดียวกันเมิ่งเหลียนชิงก็สังเกตเห็นหลินสวิน นางอึ้งไปเล็กน้อยแล้วชักสายตากลับมา ใบหน้างามล้ำเลิศปรากฏแววซับซ้อน

หลังจากเข้าแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์นางก็หวนนึกถึงเรื่องในอดีตอย่างห้ามไม่อยู่ นึกถึงภาพต่างๆ ยามแพ้ด้วยน้ำมือของคนผู้นั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

ตอนนี้ยังมาเห็นชายหนุ่มที่คล้ายกับคนผู้นั้นอยู่บ้างอย่าง ‘เต้ายวน’ คนนี้ ใจก็ไม่สงบอย่างแต่ก่อน

นางสูดหายใจเฮือกหนึ่งแล้วหันไปมองหลินสวิน “สหายยุทธ์ พวกเราได้พบกันอีกแล้ว ไปซากดวงกมลด้วยกันดีไหม”

ทุกคนที่อยู่ใกล้ๆ ต่างงุนงง ประหลาดใจหาใดเทียบ หลายปีนี้พวกเขาไม่เคยเห็นเมิ่งเหลียนชิงออกตัวไปเชิญเพศตรงข้ามเลย

โดยเฉพาะชายหนุ่มโสภาที่อยู่ข้างๆ เมิ่งเหลียนชิงเหล่านั้นต่างนิ่วหน้ากันหมด แต่ยังรักษาความสง่างามน่าเกรงขามที่พึงมีเอาไว้

ทว่าสายตาที่พวกเขามองหลินสวินเจือแววตัดสินและเป็นอริอยู่กลายๆ

แต่เหยียนจวิ้นลิงโลดขึ้นมา ดวงตาทั้งสองเปล่งประกาย คล้ายจะตื่นเต้นกว่าหลินสวินเสียอีก เอ่ยว่า “สหาย ยังจำที่ข้าพูดเมื่อกี้ได้ไหม โชคมาเยือนเจ้าแล้ว!”

หลินสวินมุมปากกระตุกครู่หนึ่ง ตนเป็นถึงมกุฎมหาจักรพรรดิ ต้องให้ผู้หญิงพาโชคมาให้ด้วยหรือ

แต่ไม่ทันรอให้เขาตอบกลับ เมิ่งเหลียนชิงก็เดินมาเองแล้ว ชุดกระโปรงสีทองอ่อนพลิ้วไหว ผิวพรรณขาวเปล่งปลั่งดุจหิมะน้ำแข็ง

ดวงตางดงามทั้งสองของนางคลุมเครือดุจหมอกควันจับจ้องหลินสวินอยู่ ริมฝีปากแดงเผยอเล็กน้อย ถอนใจกล่าว “ขอสหายยุทธ์อย่าเห็นประหลาด เป็นเพราะเจ้าเหมือนกับสหายเก่าข้ามากจริงๆ ถ้าไม่ใช่เจ้าไม่ได้มีท่าทางโอหังอวดดีอย่างเขา พูดคุยหัวเราะเรื่องอานุภาพไร้ศัตรู ข้าคงนึกว่าเขายืนอยู่ตรงหน้าข้า”

หลินสวินตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ มิน่าคนถึงพูดกันว่าสัญชาตญาณของผู้หญิงน่ากลัวหาใดเทียบ นี่ไม่ได้เจอกันกี่ปีแล้ว เมิ่งเหลียนชิงถึงกับเกือบจำตนได้

ในขณะเดียวกัน หลินสวินก็สังเกตเห็นว่าจิตรับรู้มากมายปกคลุมในบริเวณที่ตนอยู่นี้เหมือนใยแมงมุมไร้รูปร่าง คล้ายมีสัญญาณเตือนไร้เสียงห้ามให้เขาคิดทำอะไรล้ำเส้นกับเมิ่งเหลียนชิง หาไม่แล้วผลลัพธ์จะร้ายแรงมาก!

ถ้าอยู่ที่อื่น ด้วยอานุภาพระดับมหาจักรพรรดิของหลินสวิน เผยออกมานิดเดียวก็ซัดเจ้าของจิตรับรู้พวกนี้ถึงฆาตได้

แต่ตอนนี้ถึงอย่างไรก็อยู่ที่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะหาตื้นลึกหนาบางของ ‘ท่านจอมมรรค’ นั่นได้แน่ชัด หลินสวินไม่คิดจะก่อความเคลื่อนไหวอะไร

“แน่นอน เจ้าไม่มีทางเป็นคนผู้นั้น ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาในตอนนั้น ถูกจิตรับรู้มากมายขนาดนี้จับจ้อง คงเผยอานุภาพกดข่มทั้งที่นี้ไปตั้งแต่แรกแล้ว”

เมิ่งเหลียนชิงเสียงเจือความผิดหวัง

คำพูดนี้ทำให้เจ้าของจิตรับรู้เหล่านั้นต่างอึดอัดอยู่บ้าง มีคนเอ่ยอย่างอดไม่ได้ว่า “ธิดาเทพเมิ่ง คนผู้นั้นที่เจ้าพูดถึงเป็นใครกันแน่”

เมิ่งเหลียนชิงเอ่ยไปว่า “พวกเจ้าก็คงเคยได้ยิน หลายปีก่อนแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เปิดออก คนผู้นี้เคยกวาดล้างเหล่าผู้กล้าในแดนลับอสูรมารอริยะแห่งนี้ ทำการสังหารนองเลือดไม่รู้เท่าไร หนิวทุนเทียนเผ่าวัวมารทรงพลัง ข่งซิ่วเผ่าโห่วเมฆา เสวียนหลัวจื่อเผ่าเต่าทมิฬ…”

ชื่อที่นางพูดออกมาเป็นชุด แต่ละชื่อต่างทำให้ทุกคนในนั้นจิตใจสั่นระรัว สีหน้าเหยเก เพราะชื่อเหล่านั้น แต่ละคนล้วนเรียกได้ว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลในขุมอำนาจหมื่นเผ่าดึกดำบรรพ์ของทะเลกลืนวิญญาณ ณ ตอนนี้!

กระทั่งท้ายที่สุดเมิ่งเหลียนชิงจึงพูดว่า “ตอนนั้นคนพวกนี้พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือเขาทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่ว่ามียันต์กระดูกวิญญาณคุ้มครอง เกรงว่าพวกเขาในตอนนั้น… จะไม่มีทางออกจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ได้สักนิด”

พอพูดจบแววประหลาดก็อุบัติขึ้นในดวงตางามของนาง กล่าวประหนึ่งรำพึงว่า “ตอนนั้นเขาคนเดียวกำราบเหล่าผู้กล้า ไร้ซึ่งศัตรู!”

และในใจนางก็ยังทอดถอนใจด้วยความผิดหวังว่า ‘เขา… ยังเป็นฝันร้ายของข้า ไม่อาจขับออกไปได้อย่างกับเงามืด…’

“หลินสวิน!”

มีคนร้องอุทาน

ทั้งที่นั้นระส่ำระสาย ต่างหน้าเปลี่ยนสีทันที ในที่สุดก็รู้ว่าคนที่เมิ่งเหลียนชิงเอ่ยถึงนั้นคือใครแล้ว

เรื่องในตอนนั้นแม้ผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่ในขุมอำนาจหมื่นเผ่าดึกดำบรรพ์นี้ ใครจะไม่รู้จัก ‘เทพมารหลิน’ ที่เคยเข่นฆ่าจนเหล่าผู้กล้าแตกกระสานซ่านเซ็นคนนั้น

เหล่าบุคคลระดับบุตรเทพที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดต่างถูกเขากำราบ!

ตอนนั้นเรื่องนี้ถึงกับก่อให้เกิดความอลหม่าน

และตอนนี้เมิ่งเหลียนชิงกลับบอกว่าชายคนนี้คล้ายกับหลินสวินคนนั้น ทำให้สีหน้าของทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างเปลี่ยนไปเป็นชอบกลอยู่บ้าง

หลินสวินฟังอยู่เงียบๆ มองอยู่เงียบๆ รู้สึกแปลกใจอย่างห้ามไม่อยู่ ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ในทะเลกลืนวิญญาณแห่งนี้ยังมีคนจำตนได้ด้วยหรือ

เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของหลินสวิน

“ข้าปรารถนาจะเอาชนะเขามาโดยตลอด มิเช่นนั้นพอนึกถึงเรื่องในตอนนั้น ใจข้าก็จะเศร้าซึมและไม่ยินยอมอย่างกับฝันร้าย”

เนตรงามของเมิ่งเหลียนชิงจ้องหลินสวินอยู่ตลอด พอเห็นเขาท่าทางเรียบเฉยก็ออกจะผิดหวังอย่างอดไม่ได้ “น่าเสียดาย อย่างไรเจ้าก็ไม่ใช่เขา… แต่ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ได้พบกับเจ้า กลับทำให้ข้ารับรู้ได้ว่าถ้าไม่ขจัดฝันร้ายในใจนี้อีก เป็นไปได้สูงยิ่งว่าจะกระทบกับมรรคาของข้าในภายภาคหน้า ดังนั้น… ถึงพูดกับเจ้ามากมายปานนี้”

หลินสวินเอ่ย “คนผู้นั้นอาจจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้ไปนานแล้ว แม่นางก็ปล่อยวางเสียหน่อยก็พอ”

ว่ากันตามตรงถ้าไม่ใช่เพราะกลับมาแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์คราวนี้ เขาถึงขั้นเกือบจะลืม ‘ธิดาเทพเมิ่ง’ ที่ถูกหมู่ดาวล้อมเดือนตรงหน้าคนนี้ไปแล้ว

เมิ่งเหลียนชิงเก็บงำความรู้สึกในใจแล้วยิ้มให้ “เจ้าไม่เข้าใจ ไปเถอะ ไปซากดวงกมลด้วยกัน”

ขณะพูดนางก็หมุนตัวเดินไปข้างหน้า

หลินสวินไม่ได้ปฏิเสธ ก้าวย่างผ่านอากาศไปเช่นกัน

เหยียนจวิ้นที่ตื่นเต้นจนแก้มแดงอยู่ก่อนแล้วรีบตามไป ชูนิ้วโป้งด้วยท่าทาง ‘สหาย เจ้าทำได้!’ ให้หลินสวินอย่างลื่นไหลแล้วตามอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ข้างหนึ่ง มองร่างงามของเมิ่งเหลียนชิงที่อยู่ข้างหน้าด้วยแววตายกย่อง ลุ่มหลง และคลั่งไคล้

เขาเพิ่งได้ตามหลังหญิงงามที่ชื่นชมใกล้ขนาดนี้เป็นครั้งแรก

เหล่าชายหนุ่มหล่อเหลาที่ห้อมล้อมใกล้ๆ เมิ่งเหลียนชิงก่อนหน้านี้มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้ แววตาที่มองดูหลินสวินก็ยิ่งระแวงและแบ่งแยก คล้ายมองเขาเป็นศัตรูหัวใจ

หลินสวินสุขุมเยือกเย็น ทำเป็นไม่เห็น จะไปใส่ใจพวกตัวเล็กตัวน้อยเหล่านี้ได้อย่างไร เช่นนั้นแล้วก็เหมือนกับลดตัว หากกระจายออกไปคนที่จะกลายเป็นตัวตลกก็มีแต่ตน

ถึงอย่างไรการกลั่นแกล้งปลาซิวปลาสร้อยฝูงหนึ่งด้วยฐานะมกุฎมหาจักรพรรดิ ก็ไม่น่าฟังจริงๆ…

ยังดีที่ชายหนุ่มมากความสามารถพวกนี้ต่างมั่นใจว่าตนฐานะไม่ธรรมดา แม้ในใจหมายจะไล่เจ้าคนขวางหูขวางตาอย่างหลินสวินไปจากเมิ่งเหลียนชิง ภายนอกก็ยังรักษาท่าทางที่พึงมีไว้อยู่

ตลอดทาง ทุกที่ที่เมิ่งเหลียนชิงไปถึง สายตาของผู้แข็งแกร่งที่พบเห็นตามทางทุกคนต่างถูกดึงดูดไปหาโดยมิได้นัดหมาย

นี่ก็คือบารมีและชื่อเสียงในตอนนี้ของเมิ่งเหลียนชิง พรสวรรค์ตระการตา สง่างามยิ่งยวด ประหนึ่งนางเซียนจุติลงมา ย่อมต้องดึงดูดสายตานับไม่ถ้วนให้มาห้อมล้อม

ส่วนหลินสวินที่ตามอยู่ข้างกายนาง… ก็ดึงดูดสายตามากมาย แต่โดยมากเป็นสายตาฉงนสงสัย คล้ายไม่เข้าใจว่าชายแปลกหน้าผู้นี้มีฐานะเช่นไร ถึงมาเดินกระทบไหล่กับธิดาเทพเมิ่งได้

แต่คนส่วนมากเมินหลินสวินไปทันที พอมีเมิ่งเหลียนชิงอยู่ ความสง่างามของนางย่อมทำให้คนอื่นหมองลง

นี่ยังเป็นครั้งแรกที่หลินสวินจับพลัดจับผลูกลายเป็นตัวเสริมตั้งแต่กลับมายังโลกชั้นล่าง ถ้าคนที่อยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดาราพวกนั้นรู้เข้าคงต้องขันตายแน่

แต่หลินสวินก็ยังท่าทางเฉยๆ กับเรื่องพวกนี้ ราวกับในสายตาเขา ฟ้าดินและสรรพชีวิตมีแต่คนที่ไม่เข้าตา

กลับมายังแดนลับอสูรมารอริยะครั้งนี้ เขาค้นพบอย่างฉับไวว่าตลอดทางถึงกับไม่ได้พบกับอันตรายใด แตกต่างจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง!

‘ดูท่าเขาก็สิ้นเปลืองความคิดไปไม่น้อยเพื่อดึงผู้คนมาฟังมหามรรค’

หลินสวินครุ่นคิด

ทุกคนท่องทะยานไป ยิ่งเข้าใกล้ซากดวงกมล ผู้ฝึกปราณที่ได้พบระหว่างทางยิ่งมากขึ้น จนสุดท้ายทุกที่ต่างมีแต่แสงท่องทะยานไปข้างหน้าราวกับสายฝน

จากการสังเกต สิ่งที่ทำให้หลินสวินประหลาดใจก็คือ ในกลุ่มนี้มีพวกอาวุโสที่เข้าสู่ระดับจักรพรรดิซุ่มอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง!

โลกชั้นล่างถึงกับมีระดับจักรพรรดิปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไร!

การค้นพบนี้ทำให้หลินสวินผิดคาด ประหลาดใจหาใดเทียบ

ควรรู้ว่าที่นี่เป็นโลกชั้นล่าง

หากเป็นแต่ก่อนอย่าว่าแต่ระดับจักรพรรดิ ขนาดกึ่งจักรพรรดิยังเป็นเช่นมังกรเทพบนสวรรค์ ดุจดั่งตำนาน

แต่พอคิดว่าเฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูก็เก็บตัวอยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่า หลินสวินก็พอจะรู้สึกได้กลายๆ ว่าไม่แน่ในช่วงที่ตนจากไป โลกชั้นล่างอาจจะเกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่ตนยังไม่รู้บางอย่าง!

ขณะที่กำลังครุ่นคิด จู่ๆ ไกลออกไปสียงระฆังเลื่อนลอยดุจเสียงสวรรค์ระลอกหนึ่งก็ดังขึ้น ก้องสะท้อนอยู่กลางท้องฟ้า เผยความน่าเกรงขามที่ทำให้ใจสงบ

เงาร่างที่เดิมกำลังมุ่งหน้าไปต่างหยุดสนทนา สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา กระทั่งเจือแววเคารพเลื่อมใส พากันมองออกไปไกลลิบ

บนผืนดินมีเทือกเขามหึมาเหมือนดอกบัวทิวหนึ่งตั้งอยู่ มีภูเขาสี่สิบเก้าลูกอันสูงใหญ่เกรียงไกรโอบล้อม อาบไปด้วยไอขุ่นมัวอันศักดิ์สิทธิ์

และท้องฟ้าเหนือเทือกเขารูปดอกบัวนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งหันหลังให้สรรพชีวิต นั่งสูงบนเก้าชั้นฟ้า ทั้งร่างมีแสงเทพมงคลมากมายโอบล้อมประหนึ่งทวยเทพในตำนานเทพบรรพกาล กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุดเพียงหนึ่งเดียวใต้เวิ้งฟ้า

ซากดวงกมล!

ท่านจอมมรรค!

ชั่วพริบตาเงาร่างนับไม่ถ้วนที่มุ่งหน้ามา รวมถึงเมิ่งเหลียนชิงต่างเผยสีหน้าทอดถอนใจ

ประหนึ่งนายเหนือหัว!

และพอมาถึงที่นี่ ใจหลินสวินก็หวั่นไหวไปครู่หนึ่งเช่นกัน

ตอนนั้นเขาขึ้นเขานี้มาด้วยกันกับเจ้าคางคกและจ้าวจิ่งเซวียน และก็เป็นที่นี่เช่นกันที่ทำให้เขาได้มรดกของเจ้าแห่งคีรีดวงกมล รวมถึงประทับมรดกของศิษย์พี่ใหญ่จักรพรรดิสงครามยุทธ์ไป

เมื่อกลับมาตอนนี้ ภูเขาเทพดุจดอกบัวนั้นยังอยู่เช่นเคย เพียงแต่เทียบกับตอนนั้นกลับมี ‘ท่านจอมมรรค’ เพิ่มมาคนหนึ่ง

หลินสวินมองไปปราดเดียวก็มองออก ว่าเงาร่างที่นั่งหันหลังให้สรรพชีวิตอยู่สูงบนฟากฟ้านั้นเป็นเพียงเงาเจตจำนงสายหนึ่งก็เท่านั้น

จะเป็นศิษย์พี่สี่คนนั้นของตนหรือไม่

‘สหาย รีบหาที่นั่ง’ เหยียนจวิ้นที่อยู่ข้างๆ รีบสื่อจิต

หลินสวินหันหน้ามาก็พบว่าเงาร่างที่มุ่งหน้ามาเหล่านั้นต่างหาที่นั่งใกล้ๆ กัน แล้วนั่งขัดสมาธิลงไปกันหมดแล้ว

และในบริเวณที่อยู่ใกล้ภูเขาเทพที่สุดนั้น ตั้งแต่ก่อนพวกเขามาถึงที่นี่ก็มีเงาร่างนั่งอยู่เต็มแล้ว แน่นขนัดเบียดเสียด ปกคลุมบนผืนดินเหมือนกระแสน้ำมวลใหญ่

จำนวนคนไม่ใช่แค่แสนคน!

กลางฟ้าดินมีแต่ความน่าเกรงขาม บรรยากาศสงบ แต่ละคนต่างนั่งขัดสมาธิ สีหน้าเลื่อมใสและจริงจัง กำลังรับฟังเสียงจากเหนือฟ้านั้นบรรยายมหามรรค

ชั่วขณะที่เหม่อลอยก็เหมือนย้อนกลับสู่ยุคดึกดำบรรพ์ มีบรรพจารย์มรรคเปิดลานมรรคสั่งสอนสรรพชีวิต!

เสียงระฆังดังขึ้นเป็นระลอกประหนึ่งเสียงมรรคดุจเสียงสวรรค์ ก้องสะท้อนฟ้าดิน สิ่งที่กล่าวถึงคือนัยมหามรรค แต่ละคำงามล้ำ กระทั่งคนหูหนวกยังได้ยิน ตรงสู่ใจคน

แต่ละคนพลังปราณแตกต่างกัน การหยั่งรู้ก็ต่างกัน แต่ยามรับฟังต่างได้รับผลเก็บเกี่ยว บ้างแสดงสีหน้าเคลิบเคลิ้ม บ้างเผยสีหน้าครุ่นคิด บ้างเหม่อลอย บ้างยินดีจนยิ้ม…

หลินสวินสังเกตเห็นว่ากระทั่งระดับจักรพรรดิบางส่วนยังมีสีหน้าเคร่งขรึม เจือแววเลื่อมใส รับฟังและหยั่งรู้อย่างจดจ่อ!

ภาพเช่นนี้ทำให้หลินสวินตกตะลึงอย่างอดไม่ได้

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท