Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2349 แหวกเส้นทางเลือด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2349 แหวกเส้นทางเลือด

ตอนที่ 2349 แหวกเส้นทางเลือด

แท่นมรรคแท่นนั้น…

หลินสวินขมวดคิ้ว สำรวจความทรงจำของวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิตนนั้น

ทันใดนั้นในหัวของเขาก็ปรากฏภาพแท่นมรรคที่ใหญ่โต มหึมา กว้างขวางแท่นหนึ่ง รัศมีกว้างถึงหมื่นจั้ง เผยโครงสร้างแผนผังเก้าวัง

แท่นมรรคหลอมขึ้นจากวัสดุเทพลึกลับ บนนั้นเปื้อนคราบเลือดแดงสด กาลเวลานับไม่ถ้วนผ่านไปก็ไม่เคยเลือนหาย แดงฉานบาดตา

หมอกดำขมุกขมัว วิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิที่น่าสะพรึงจำนวนมากกำลังล้อมโจมตีใส่แท่นมรรคจากสี่ทิศแปดทาง มียักษ์เพลิงที่สวมเกราะแตกหัก มีโครงกระดูกคุนเผิงที่ใหญ่โตประหนึ่งแผ่นดินใหญ่ มีศพที่เอวเหน็บกระบี่ศึก ทั่วร่างรายล้อมด้วยไอมาร มี…

ภาพน่าสยดสยองนัก

และบนแท่นมรรคนั่นมีเงาร่างอยู่สองสาย

คนหนึ่งเป็นเงาร่างที่นั่งขัดสมาธิบนโครงกระดูกสีดำ สวมจีวรสีเลือดขาดรุ่งริ่ง มือถือลูกประคำกระดูกขาวที่หักร้าวลายพร้อย เหมือนพระรูปหนึ่ง แต่กลับเห็นได้ชัดว่าพิสดารอึมครึมหาใดเปรียบ

บนศีรษะโล้นเกลี้ยงของเขาประทับดอกบัวสีดำที่เบ่งบานดอกหนึ่ง เสมือนมีชีวิตก็ไม่ปาน คละคลุ้งด้วยประกายแสงแปลกประหลาดน่าตกตะลึงอย่างหนึ่ง!

เขาหลับตาสนิท นิ่งไม่ขยับ จีวรสีเลือดขาดวิ่น ดุจดั่งมรณภาพไปแล้ว แต่กลับให้อานุภาพที่น่าสะพรึงอย่างหนึ่ง ราวนายเหนือหัวแห่งนรก

อีกคนกลับเป็นร่างอรชรที่คล้ายมีแต่ไม่มีสายหนึ่ง กลิ่นอายน่าสะพรึงที่ทำให้ฟ้าดินหมื่นชีวิตตล้วนสั่นสะท้านอย่างหนึ่งแผ่ออกมา

เห็นได้ชัดว่านางเป็นผู้หญิง รูปร่างอ้อนแอ้น เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวเลือนราง ทั่วร่างถูกพยับหมอกสีเทาหม่นปกคลุม มีพลังคลุมเครือไร้รูปปกคลุม ทำให้ผู้คนไม่สามารถมองเห็นโฉมหน้าของนางได้

นางเสมือนนายเหนือหัวที่ยืนตระหง่านกลางฟ้าดิน มีกลิ่นอายผงาดกร้าวเหนือโลกหล้า สามารถทำลายล้างหมื่นชีวิต น่าสะพรึงและพิสดารเกินไป

‘เป็นพวกเขา!’

ชั่วพริบตานี้หลินสวินก็สั่นไปทั่วร่างเช่นกัน จำได้ว่าเป็นพระตาบอดกับสตรีหมอกที่เขาเคยเจอในปีนั้น!

น่าเสียดาย สิ่งที่หลินสวินเห็นในเวลานี้ เป็นเพียงแค่ภาพในความทรงจำของวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิตนนั้นเท่านั้น ไม่ทันไรก็ไม่สามารถสอดส่องอย่างอื่นได้อีก

แต่การค้นพบนี้กลับทำให้หลินสวินระบุได้หลายเรื่อง

หนึ่ง ในสุสานสมุทรฝังมรรคที่ไอวิญญาณฟื้นคืนแห่งนี้ วิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิเหล่านั้น เพื่อจะหลุดพ้นพันธนาการจึงล้อมโจมตีแท่นมรรคนั้นเต็มกำลัง

สอง พระตาบอดและสตรีหมอกน่าจะเป็นวิญญาณเจตจำนงที่ผู้มากความสามารถของดินแดนรกร้างโบราณเหลือทิ้งไว้ ดูแลอยู่บนแท่นมรรค เพื่อหยุดยั้งไม่ให้พวกน่าสะพรึงจากแปดดินแดนเหล่านี้หนีรอดไปได้

สาม ในสุสานสมุทรฝังมรรคตอนนี้ สถานการณ์วิกฤติอันตรายร้ายแรงแล้ว!

คิดถึงตรงนี้หลินสวินเริ่มเคลื่อนไหวโดยไม่ลังเล

เขาได้ข้อมูลต่างๆ จากความทรงจำของวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิตนนั้นแล้ว ย่อมต้องรู้ชัดว่าหากแท่นมรรคนั้นถูกทำลาย ผลที่ตามมาจะร้ายแรงขนาดไหน

ระหว่างทางหลินสวินรีบบอกข้อมูลที่ตนได้รับให้พวกอาหูฟังทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรพวกอาหูต่างหน้าเปลี่ยนสี ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของปัญหา

“คุณชาย ยังจำได้เหตุการณ์ในปีนั้นที่ข้าพาท่านมาซ่อนตัวในสุสานสมุทรฝังมรรคแห่งนี้ เพื่อเลี่ยงการไล่ล่าสังหารได้หรือไม่” จู่ๆ อาหูก็กล่าวขึ้น

“จำได้” หลินสวินมีหรือจะลืมลง ปีนั้นก็เพราะ ‘สตรีหมอก’ ผู้นั้นออกมือ โจมตีเหล่าศัตรูทั้งกลุ่มนั้นให้

“ผู้อาวุโสเหล่านั้นล้วนเป็นผู้มากความสามารถสมัยดึกดำบรรพ์ มีอานุภาพปกฟ้าคลุมดิน ในศึกมรรคสิบทิศเคยสังหารศัตรูแปดดินแดนอยู่ที่นี่ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่”

อาหูกล่าว “คุณชาย ไม่อาจปล่อยให้เจตจำนงวิญญาณที่ผู้อาวุโสเหล่านั้นเหลือทิ้งไว้… หายไปทั้งอย่างนี้ได้เด็ดขาด…”

นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัดลง กล่าวว่า “ข้าจะทำเต็มที่แน่นอน”

จากนั้นเขาก็เก็บพวกอาหู เจ้าคางคก อาหลู่เข้าไปในในเจดีย์ไร้สิ้นสุด ก่อนพุ่งไปยังส่วนลึกของสุสานสมุทรฝังมรรคคนเดียวลำพัง

ในเขตแดนทะเลอันพิสดารแถบนี้มีวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิที่น่าสะพรึงมากมาย พวกอาหูช่วยอะไรไม่ได้มากอยู่แล้ว

วิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุด ก็คือให้เขาโจมตีเต็มกำลังคนเดียว!

พยับหมอกหนาทึบ เงียบสงัดไร้สุ้มเสียง ท่ามกลางพื้นที่ทะเลกว้างใหญ่ เงาร่างหลินสวินดุจดั่งแสงเคลื่อนไหวที่โลดแล่นสายหนึ่ง ความเร็วน่าตกใจ

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

“ห้ามไม่ให้ใครหน้าไหนเข้ามา!”

ไม่ทันไรเสียงตะโกนลั่นสนันหูระลอกหนึ่งก็ดังขึ้น

ก็เห็นว่าพื้นที่ไกลๆ กองทัพใหญ่ที่รวมวิญญาณอาฆาตนับไม่ถ้วนปิดผนึกฟ้าดินแถบนั้น มีอยู่ทุกแห่งหน เบียดเสียดแน่นขนัด

ทันทีที่หลินสวินปรากฏตัว กองทัพวิญญาณอาฆาตนั่นก็เหมือนได้รับคำสั่งบุกโจมตี กรูเข้ามาสังหารหลินสวิน

เงาร่างพวกเขาถูกไอชั่วร้ายสีเทาปิดครอบ แฝงไอสังหาร น่ากลัวยิ่งยวด เวลานี้ออกโจมตีเต็มกำลัง ประหนึ่งปิดครอบฟ้าดินชัดๆ ลำพังแค่อานุภาพเหล่านั้นก็เรียกได้ว่าน่าสะพรึงล้นฟ้า

หลินสวินไม่แม้แต่จะมอง โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง

ปราณกระบี่ไท่เสวียนนับไม่ถ้วนพุ่งทะยานออกไป หนึ่งแบ่งเป็นสอง สองแบ่งเป็นสี่… เปลี่ยนแปลงไม่ขาดสาย เพิ่มมากขึ้นไม่หยุด ไม่ทันไรก็กลายเป็นผืนทะเลปราณกระบี่แถบหนึ่ง พวยพุ่งปิดครอบออกไป

ตูม!

วิญญาณอาฆาตนับร้อยนับพันระเบิดแหลกกลางทะเลปราณกระบี่ประหนึ่งกระดาษเปื่อย อย่าว่าแต่ตอบสนอง แม้แต่ต่อต้านและขัดขืนก็ยังไม่มี

ถูกบดขยี้โดยตรง!

เพียงแต่กองทัพวิญญาณอาฆาตนั่นเหมือนไม่มีวันหมด แน่นขนัดแออัด อีกทั้งไม่รู้จักคำว่าหวาดกลัว เพิ่งฆ่าไปกลุ่มหนึ่งก็มีอีกกลุ่มโผล่มา

หลินสวินไม่คิดจะเสียเวลา เงาร่างเขาเคลื่อนย้าย ดั่งเพลิงกล้าลมกรรโชก ฉีกทึ้งห้วงอากาศ พุ่งโฉบเข้าไปกลางกองทัพวิญญาณอาฆาต

เพียงไม่กี่อึดใจ

ในกองทัพวิญญาณอาฆาตที่ปิดครอบเหนือพื้นที่ทะเลแถบนี้ประหนึ่งกระแสน้ำหลาก ก็ถูกทุบแหวกเป็นรอยแยกสายหนึ่งตรงๆ แผ่ขยายไม่ขาดสาย ยืดยาวไม่หยุด…

สองฝั่งของรอยแยก ล้วนเป็นวิญญาณอาฆาตที่ระเบิดแตกต่อเนื่อง!

ไม่ว่าจะมีพลังที่แข็งแกร่งมากแค่ไหน ขอเพียงขวางอยู่ตรงหน้าล้วนถูกหลินสวินซัดทะลวงตลอดทาง

อานุภาพดุจผ่าลำไผ่!

“เร็ว! มีศัตรูมารุกราน!”

เมื่อเห็นว่าหลินสวินจวนจะพุ่งออกจากแนวป้องกัน เสียงตะโกนลั่นเยียบเย็นสายหนึ่งก็ดังขึ้น

น้ำเสียงยังไม่ทันสิ้นสุด เงาดำปิดฟ้าสายหนึ่งก็พุ่งลงมา ไอสังหารเหี้ยมเกรียมที่เยียบเย็นน่าสะพรึงดุจพายุคลั่งก็ไม่ปานจับจ้องหลินสวินโดยพลัน

หลินสวินเงยหน้าขึ้นมอง

บนเวิ้งฟ้า เงาร่างนกโครงกระดูกตัวหนึ่งปรากฏ สองปีกสยายออก กินพื้นที่ถึงพันจั้ง บนโครงกระดูกสีเทาขุ่นมีเปลวเพลิงสีดำอันลุกโหมแผดเผา อานุภาพที่แผ่ออกมาอย่างน้อยก็สามารถเทียบได้กับระดับจักรพรรดิขั้นสาม

ตูม!

นกกระดูกกระพือปีกสองข้าง เปลวเพลิงสีดำที่คลุ้งกลิ่นอายมรณะม้วนตลบลงมา เผาห้วงอากาศจนหลอมละลาย น้ำทะเลเดือดปุดๆ พยับหมอกพลิกม้วน

“ตาย” ริมฝีปากหลินสวินเอ่ยออกมาคำเดียว

คลื่นเสียงอันน่าสะพรึงกลายเป็นลมกรรโชก หอบม้วนพุ่งไปทางเวิ้งฟ้าอย่างแรง เปลวเพลิงสีดำนั่นยังไม่ทันเฉียดใกล้ ก็ถูกสายลมรุนแรงนั่นพัดดับสลาย

จากนั้นเสียงโหยหวนอันวังเวงหาใดเปรียบสายหนึ่งดังก้องขึ้น ก็เห็นนกกระดูกที่มีอานุภาพระดับจักรพรรดินั่นถูกคลื่นเสียงทำลายร่างกายตรงๆ กลายเป็นเถ้าธุลีเต็มฟ้า!

ภาพระดับนี้เรียกความสนใจของเจตจำนงน่าสะพรึงมากมายในพื้นที่ทะเลไกลโพ้น

“ใต้หล้านี้มีคนเช่นนี้ได้อย่างไร”

“ดูเหมือน… จะเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิหนุ่มคนหนึ่ง!”

“รีบหยุดเขาเร็ว! ต่อให้ฆ่าเขาตายไม่ได้ ก็ห้ามปล่อยให้เขาเข้าใกล้แท่นมรรคเด็ดขาด!”

“เร็ว!”

….

เจตจำนงเหล่านี้เพิ่งพูดจบ ก็เห็นกลางพยับหมอกสีดำไกลๆ อุบัติกลิ่นอายน่าสะพรึงสายแล้วสายเล่าออกมาพลัน พุ่งทะลวงเวิ้งฟ้า ปั่นป่วนเมฆลม

พื้นที่ทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลแถบนี้ล้วนพลิกม้วนกึกก้องถึงที่สุด คลื่นยักษ์ม้วนซัดเป็นหมื่นระลอก

ครืน…

ท่ามกลางเสียงก้องกระหึ่มที่อื้ออึงสะท้านฟ้า ก็เห็นวิญญาณอาฆาตที่แผ่กลิ่นอายระดับจักรพรรดิสายแล้วสายเล่าทะลวงห้วงอากาศมาเยือน

เงาร่างต่ล้วนไม่สมบูรณ์ บ้างก็ถึงขั้นเหลือแต่โครงกระดูกแตกหัก รูปร่างก็ประหลาดพิสดาร มากหน้าหลายตา แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ล้วนมีกลิ่นอายระดับจักรพรรดิ ทั่วร่างรายล้อมด้วยกลิ่นอายมรณะที่น่าสะพรึงพิสดาร

ไกลออกไปหัวคิ้วของหลินสวินขมวดขึ้น

เขาน่าจะใกล้ถึงบริเวณที่แท่นมรรคนั้นตั้งอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย ถึงได้ชักนำให้เกิดการเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้

อย่างตอนนี้ แค่จำนวนวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิที่ออกเคลื่อนไหวก็มากถึงหลายสิบตนแล้ว!

“ฆ่า!”

เสียงกึกก้องสะเทือนฟ้าดินดังขึ้น ห้วงอากาศปั่นป่วน

วิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิหลายสิบสายที่รูปร่างหน้าตาแตกต่างกันพุ่งล้อมกรอบหลินสวิน พลังโจมตีน่าสะพรึง ไอชั่วร้ายท่วมฟ้า

“ช่างไม่รู้จักดีชั่วจริงๆ…”

หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง นัยน์ตาดำวาบประกายเย็นเยียบ

วู้ม!

เตากระบี่ปรากฏ สาดแสงมรรคเรืองรองศักดิ์สิทธิ์มากมาย พริบตานั้นถึงกับส่องให้พื้นที่ทะเลที่รายล้อมด้วยพยับหมอกสีดำแถบนี้สว่างไสว แสบตายิ่งยวด

เสียงมรรคกึกก้องรอบกายหลินสวิน ทั่วร่างเปล่งแสง พลานุภาพไต่ทะยานขึ้นถึงขีดสุดในพริบตา เงาร่างสูงสง่ามีกลิ่นอายกลืนกินแปดทิศ อานุภาพสะท้านทั่วหล้าอยู่กลายๆ

ร่างของเขาพริวไหวเบาๆ กายมรรคทั้งห้าทะยานออกไป แต่ละร่างถือศาสตราจักรพรรดิยืนเคียงไหล่กับหลินสวิน ทุกร่างล้วนแผ่อานุภาพปกฟ้าคลุมดิน

ดุจดั่งเทพสวรรค์มาเยือน!

“ฆ่า!”

ร่างต้นของหลินสวินไม่มัวโอ้เอ้ พุ่งออกไปก่อน เตากระบี่ส่งเสียงกึกก้อง ทะยานสูงขึ้นไป

ที่โจมตีมาหน้าสุดคือโครงกระดูกสูงสิบกว่าจั้งตนหนึ่ง เลือดเนื้อเน่าเปื่อยไปนานแล้ว ถือทวนศึกกระดูกขาวเล่มหนึ่ง กลิ่นอายเย็นเยียบเหี้ยมโหด น่าสยดสยองถึงขีดสุด

แต่ว่าเมื่อเตากระบี่ทะยานขึ้น เสียงปึงดังหนึ่งครา โครงกระดูกที่สูงสิบกว่าจั้งนี้ก็ถูกสยบตรงๆ กลายเป็นกระแสไอชั่วร้ายสีดำแผ่ซ่านสลายไป

ถึงกับรับการโจมตีเดียวไม่ไหว!

และเมื่อกระบี่มรรคโฉบพุ่งออกมาจากเตากระบี่ ก็ฟันกลางห้วงอากาศ แสงกระบี่ยาวหมื่นจั้งสายหนึ่งลากลำแสงโชติช่วงเรืองรอง กรีดกลางเวิ้งฟ้า ฟันห้วงอากาศออกเป็นสองส่วน อานุภาพกระบี่ระดับนั้น สังหารวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิได้ไม่รู้เท่าไหร่

ตูม!

แสงกระบี่ร่วงหล่น มีวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิสามสายถูกบดขยี้ ณ ที่นั้น ร่างกายดับสลายท่ามกลางแสงกระบี่เต็มฟ้า เลือนหายหมดสิ้น ผิวทะเลถูกฟันออกเป็นร่องขนาดมหึมา แผ่ขยายไปไกลโพ้น

หนึ่งกระบี่แยกทะเล!

อานุภาพกระบี่เล่มนี้สั่นคลอนฟ้าดิน

แต่สำหรับวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิเหล่านั้น คล้ายไม่สะทกสะท้านด้วยซ้ำ หรืออาจกล่าวว่าเพื่อขัดขวางหลินสวิน พวกมันไม่สนใจความตาย โถมเข้าใส่หลินสวินอีกครั้งอย่างไม่ลังเล

“ทะยาน!” “โอม!” “มา!” “ฟัน!” “ไป!”

ก็เป็นเวลานี้ กายมรรคทั้งห้าออกเคลื่อนไหวพร้อมกัน แต่ละคนล้วนอานุภาพน่าสะพรึง ต่างสำแดงพลังพรสวรรค์สูงสุดออกมา กระตุ้นศาสตราจักรพรรดิ ทำลายและสลายพลังโจมตีของวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิเหล่านั้น

และอาศัยโอกาสนี้ ร่างต้นของหลินสวินเคลื่อนย้ายตรงไปเบื้องหน้า ดุดันว่องไว

ระหว่างทางยังมีวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิพุ่งออกมา พยายามหยุดยั้งหลินสวิน แต่ล้วนถูกหลินสวินใช้เตากระบี่ฆ่าได้อย่างง่ายดาย

แทบจะไม่ถูกขัดขวางใดๆ

อันที่จริงวิญญาณอาฆาตระดับจักรพรรดิพวกนี้ กล่าวกันถึงที่สุดแล้วก็วิวัฒน์มาจากเจตจำนงวิญญาณที่หลงเหลือเมื่อกาลก่อน แม้จะมีสติปัญญา แต่กลับไม่สามารถเทียบชั้นกับมหาจักรพรรดิระดับเดียวกันได้อย่างแท้จริง

หนำซ้ำพลังต่อสู้ของพวกเขา อย่างมากที่สุดก็เทียบได้แค่ระดับจักรพรรดิขั้นเจ็ดเท่านั้น สำหรับหลินสวินย่อมไม่มีพลังคุกคามให้พูดถึงสักนิด ภายใต้การโจมตีเต็มกำลัง ก็สามารถสังหารได้ราวฆ่าไก่เชือดหมู!

ก็เห็นว่า…

ท้องทะเลพลิกม้วน หมอกดำหนาทึบเป็นชั้นๆ

ศัตรูกรูเข้ามาหน้าหลังไม่ขาดสาย

หลินสวินบุกทะลวงตลอดทาง

ห้อทะยานไม่เห็นฝุ่น!

…………………….

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท