Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2359 กลับมาเยือนนครต้องห้ามอีกครา

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2359 กลับมาเยือนนครต้องห้ามอีกครา

วันนั้นเย่เสี่ยวชีออกคำสั่งให้ปิดข่าวทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับหลินสวิน

เย่เสี่ยวชีกับหลินสวินต่างรู้ดีว่า เรื่องที่เกิดขึ้นบนเกาะวิญญาณเมฆาเหินไม่มีทางปิดบังไปได้ตลอด

แต่ขอแค่ไม่มีใครรู้ว่าเขาหลินสวินเป็นคนทำชั่วคราวก็พอแล้ว

ในวันนั้นหลินสวินออกเดินทาง มุ่งหน้าไปนครต้องห้ามแห่งจักรวรรดิจื่อเย่า

วู้ม!

ในส่วนลึกของชั้นเมฆที่คนทั่วไปไม่อาจสังเกตเห็น ลำแสงสายหนึ่งที่จางจนไร้เงากำลังเหินอากาศไปอย่างรวดเร็ว

แม้ว่าฟ้าดินแถบนี้จะกำราบหลินสวินอย่างหนัก ทำให้พลังปราณระดับจักรพรรดิขั้นสี่ขั้นสมบูรณ์ทั้งตัวเขาถูกบีบกดลงมาอยู่ระดับจักรพรรดิขั้นแรก

แต่ความเร็วของหลินสวินก็ยังว่องไวขึ้นเรื่อยๆ ใช่ว่าคนธรรมดาจะเทียบได้

ถึงตอนท้ายจึงเหมือนจุดแสงรางๆ ทุกการเคลื่อนไหวจะส่องประกายกลางอากาศเพียงเล็กน้อยแล้วหายไปนอกระยะหมื่นจั้ง

“แกว๊ก!”

บนเวิ้งฟ้ามีนกปีศาจมากมายครองพื้นที่อยู่ นกปีศาจตัวใหญ่หลายพันจั้งบางส่วนปรากฏตัวเป็นกลุ่มกลางอากาศ เมื่อเห็นว่ามีมนุษย์บุกเข้ามาในน่านฟ้าของสัตว์ปีกอย่างพวกมันจึงไม่พอใจอยู่บ้าง คิดจะให้บทเรียนสักหน่อย แต่เพียงพริบตาก็ถูกหลินสวินสลัดทิ้งไว้เบื้องหลังเสียห่างไกล

พวกที่กล้าขวางทางอยู่ข้างหน้า ไม่ว่าจะมีปราณและพลังที่น่ากลัวแข็งแกร่งระดับใดก็ถูกชนจนร่างแหลกในพริบตา

ในใจหลินสวินลุกโหมร้อนเร่าดั่งเปลวเพลิง

ตั้งแต่รู้ข่าวว่าคนในตระกูลหลินและเชื้อพระวงศ์แห่งจักรวรรดิหายตัวไปอย่างประหลาดก็ทำให้หลินสวินใจหล่นวูบ

ส่วนข่าวที่ขุมอำนาจอย่างสำนักศึกษามฤคมรกต ภาคีนักสลักวิญญาณ โถงทองคำประสบเคราะห์ก็ยิ่งทำให้ไอสังหารในใจหลินสวินพลุ่งพล่าน

หวนนึกถึงปีนั้น เขาท่องอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณเพียงลำพัง สถานการณ์ยากเข็ญ เป็นศัตรูกับคนทั้งโลก ผงาดจากการนองเลือดและฆ่าฟันตลอดทาง ด้วยเหตุนี้จึงผูกอาฆาตกับสำนักโบราณมากมาย

เมื่อการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนปิดฉาก หลังจากเขาสร้างชัยชนะยิ่งใหญ่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ให้ดินแดนรกร้างโบราณ ไม่มีใครกล้าดูถูกเขาหลินสวินอีก

ต่อให้เป็นสำนักใหญ่อย่างสำนักกระบี่เทียมฟ้า แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน ไม่กล้ากดดันและหมายหัวเขาเหมือนก่อนหน้านี้อีก

แต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึงว่าขุมอำนาจศัตรูในปีนั้นพวกนี้ หลังจากมาถึงโลกชั้นล่างก็ทำลายขุมอำนาจอย่างสำนักศึกษามฤคมรกต ด้วยมีสาเหตุจากเขาหลินสวินคนเดียว!

‘คิดว่าข้าหลินสวินหายไปแล้วจริงหรือ…’ ไอสังหารในใจหลินสวินพวยพุ่ง แววตาก็ราบเรียบและเฉยชายิ่งกว่าเดิมแล้ว

จากตระกูลเย่แห่งทะเลตะวันออกถึงนครต้องห้าม หากเป็นก่อนหน้านี้คงห่างกันไม่กี่หมื่นลี้

แต่หลังจากไอวิญญาณฟื้นคืนกลับมา อาณาเขตทั่วจักรวรรดิจื่อเย่าแผ่ขยายไปสิบเท่าร้อยเท่า เปลี่ยนไปจนต่างจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิงแล้ว

ด้วยความเร็วของหลินสวินตอนนี้ยังต้องเคลื่อนที่ไปหลายชั่วยาม กว่าจะเข้าใกล้อาณาเขตที่เดิมมีนครต้องห้ามตั้งอยู่

ตลอดทางนี้เขาผ่านเมืองมามากมาย สัมผัสได้ว่าในเมืองพวกนั้นมีหลายกลิ่นอายแฝงตัวอยู่ ระดับอริยะมีจำนวนไม่น้อย ผู้แข็งแกร่งที่สุดถึงขั้นมีพลังปราณระดับกึ่งจักรพรรดิ

ในพื้นที่รกร้างว่างเปล่าก็อันตรายยิ่งกว่า กลายเป็นภาพดึกดำบรรพ์ดั้งเดิม เทือกเขาสูงต่ำเรียงราย มีนกปีศาจสัตว์อสูรมารทุกแห่งหน

กลางภูผาธารานั้น สิงสาราสัตว์ร้องคำรามสะเทือนใต้หล้า หลินสวินถึงขั้นเห็นว่ามีตะขาบเขียวมรกตยาวหลายพันจั้งตัวหนึ่งขดร่างเป็นสันเขา กินหมอกดื่มน้ำค้าง เคร่งขรึมมีสง่า

มีพญาอสูรมารที่ผงาดผยองล้นฟ้ากำลังห้ำหั่นและต่อสู้กันกลางทุ่งรกร้าง ปั่นป่วนเมฆลม เป้าหมายคือเพื่อแย่งชิงอาณาเขต

นอกจากนี้ยังมีเผ่าอสูรมารอื่นมากมาย ต่างฝ่ายต่างฆ่าฟันเพื่อยึดครองอาณาเขต ทรงพลังแข็งแกร่ง ประหนึ่งตั้งตนเป็นราชันครองภูเขา

ผู้นำสัตว์อสูรมารที่ครองอาณาเขตแห่งหนึ่งในใต้หล้าพวกนี้ เกือบทั้งหมดล้วนมีพลังปราณระดับกึ่งจักรพรรดิ พวกย่ำแย่หน่อยก็มีพลังปราณระดับอริยะ!

จักรวรรดิจื่อเย่าในอดีตไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน

แต่เท่าที่เห็นตลอดทาง ล้วนไม่เจอระดับจักรพรรดิแท้สักคน

‘ไอวิญญาณฟื้นคืนกลับมา กำลังล้มล้างและเปลี่ยนแปลงทุกอย่างบนโลกนี้…’

หลินสวินทอดถอนใจ

ก่อนหน้านี้ราชันระดับอมตะเคราะห์ล้วนเรียกได้ว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลในจักรวรรดิจื่อเย่า ปัจจุบันอสูรมารทั่วไปตัวหนึ่งกลับทัดเทียมอริยะได้!

ยามใคร่ครวญหลินสวินมองเห็นนครต้องห้ามที่อยู่ไกลออกไปแล้ว!

ห้าสิบปี สำหรับเมืองหลวงที่ใหญ่ที่สุดของจักรวรรดิจื่อเย่าถือเป็นเวลาที่เนิ่นนานมากแล้ว นครต้องห้ามในตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก อยู่เหนือความคาดหมายของหลินสวิน

เขาทอดมองลงมาจากฟ้าสูง ก็เห็นภูเขาเทพสูงหลายหมื่นจั้งลูกแล้วลูกเล่าผุดขึ้นมาจากพื้นดิน หอดูดาวหลวงที่เดิมสูงที่สุดในนครต้องห้าม ปัจจุบันเมื่ออยู่ต่อหน้าภูเขาเทพที่สูงเสียดฟ้าพวกนี้ กลับเห็นได้ว่าเล็กจ้อยเป็นอย่างยิ่ง

ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองเหมือนโลกใบเล็กแห่งหนึ่ง อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลเป็นอย่างยิ่ง

กลางฟ้าดินมีแสงมงคลงามแปลกตาพวยพุ่ง กระแสลมมหามรรคมากมายราวกับน้ำตกแสงเทพที่โน้มลงมา ม้วนซัดอยู่บนท้องฟ้าเหนือนครต้องห้าม

มองจากไกลๆ ก็เหมือนที่พำนักของทวยเทพ ดูศักดิ์สิทธิ์และกว้างใหญ่ไพศาล

แม้แต่หลินสวินยังอดตะลึงไม่ได้ หลายปีนี้เขาท่องไปทั่วฟ้าดารา พบเจอเมืองและโลกหล้าที่วิเศษเหนือธรรมดามานับไม่ถ้วน

แต่ดินแดนที่สามารถครอบครองกลิ่นอายอย่างนครต้องห้าม กลับพบเห็นได้ไม่มากนัก!

เท่านี้ก็มองออกแล้วว่าทำไมนครต้องห้ามถึงถูกมองเป็น ‘แดนศักดิ์สิทธิ์หมื่นมรรค’ การแปรสภาพห้าสิบปีทำให้เมืองหลวงของจักรวรรดิในอดีตแห่งนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

ขณะหลินสวินครุ่นคิดก็ยังคงเคลื่อนไหว ลอยล่องลงมาแล้วมุ่งหน้าไปยังนครต้องห้าม

ภูเขาชำระจิตคืออาณาเขตของตระกูลหลิน จัดอยู่ใน ‘เจ็ดสิบสองภูเขาแห่งตระกูลทรงอิทธิพล’ ก่อนที่ไอวิญญาณจะฟื้นคืนกลับมาก็เรียกได้ว่าเป็นแดนสมบัติเลื่องชื่อบนโลก

ก็ไม่รู้ว่าปัจจุบันจะแปรเปลี่ยนไปเช่นไรแล้วบ้าง

ในนครต้องห้ามเจริญรุ่งเรือง ภูเขาเทพมากมายตั้งตระหง่านค้ำฟ้า ตรงเชิงภูเขาเทพกลับแผ้วถนนหนทางราวกับใยแมงมุม สองข้างทางมีสิ่งปลูกสร้างหลากรูปแบบเรียงรายเป็นระเบียบ ฝูงชนสวนกันไปมาขวักไขว่คับคั่งเหมือนกระแสน้ำที่ไหลหลั่ง

หากพูดว่านี่เป็นเมืองแห่งหนึ่ง ไม่สู้พูดว่าเป็นโลกใบหนึ่งเสียยังดีกว่า ด้วยอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลเกินไป

เมื่อหลินสวินก้าวเข้าไปในนั้นก็เกือบสงสัยว่าตนมาผิดทาง ภาพที่คุ้นเคยในอดีต ตอนนี้ไม่มีแล้ว

เขาสูดหายใจลึก ควบคุมความรู้สึกที่โหมซัดในใจ เดินไปด้วยสีหน้านิ่งสงบ จิตรับรู้แผ่ขยายออก สัมผัสอย่างต่อเนื่อง

นครต้องห้ามในตอนนี้ไม่ใช่สถานที่ที่เขาคุ้นเคยอีก เปลี่ยนเป็นแปลกใหม่หาใดเปรียบ เขาต้องเข้าใจสถานการณ์บางส่วนก่อน

ตลอดทางที่เดินมา

ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยเงาร่างของผู้ฝึกปราณ พลังปราณมีตั้งแต่ห้าระดับล่าง ระดับราชัน จนถึงระดับอริยะ… แตกต่างกันออกไป กระทั่งยังมีกลิ่นอายกึ่งจักรพรรดิซ่อนตัวอยู่มากมาย

ในบรรดาผู้ฝึกปราณพวกนั้น มีสัตว์อสูรมารที่แปลงร่างเป็นคน และสิ่งมีชีวิตกลางสมุทรที่มาจากทะเลกลืนวิญญาณเดินสวนกันในเมืองอย่างผ่าเผย

บนท้องถนนสามารถเห็นงานประมูล ร้านลูกกลอนโอสถ ลานประลอง หอสมบัติล้ำค่าสารพัดสารพันได้ทุกที่ ซ้ำยังมีขนาดใหญ่จนน่าตระหนกเหลือประมาณ

ในนครต้องห้ามตอนนี้ ต่อให้เป็นปุถุชนที่ไม่อาจฝึกปราณได้ก็ล้วนมีสารกาย พลังชีวิต จิตวิญญาณ อายุขัยยืนยาว ไม่เหมือนอดีตอย่างสิ้นเชิงแล้ว

ไอวิญญาณฟื้นคืนกลับมาห้าสิบปี เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ห้าสิบปี!

ในจิตรับรู้ของหลินสวิน ทุกเสียงพูดคุยและวิพากษ์วิจารณ์ถูกคัดกรองออกมาจนได้ข่าวบางส่วนที่ต้องการในที่สุด

ในนครต้องห้ามตอนนี้ นายเหนือหัวที่แท้จริงคือสำนักกระบี่เทียมฟ้า แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ สำนักยุทธ์นครนิลและขุมอำนาจใหญ่ของดินแดนรกร้างโบราณสิบกว่าแห่ง

ผ่านการแย่งชิงและต่อสู้หลายปี สิบปีก่อนขุมอำนาจใหญ่พวกนี้ทำสัญญากันว่าจะไม่ห้ำหั่นและสู้กันในอาณาเขตของนครต้องห้ามอีก

พวกเขาทำเช่นนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกัน ต่างฝ่ายต่างเสียกำลังพลย่อมได้ไม่คุ้มเสีย

ถึงอย่างไรตอนนี้ไอวิญญาณในใต้หล้าก็ฟื้นคืนกลับมา ตามเวลาที่ล่วงเลยย่อมมีวาสนาปรากฏบนโลกมากขึ้นเรื่อยๆ

หากสู้กันเอาเป็นเอาตายเพื่อแย่งชิงอาณาเขตตอนนี้ ย่อมเห็นได้ชัดว่าไม่คุ้มเอาเสียเลย

และด้วย ‘สัญญาสงบศึก’ นี้เองที่ทำให้นครต้องห้ามช่วงสิบปีนี้เปลี่ยนเป็นเจริญรุ่งเรืองและเฟื่องฟูหาใดเปรียบ

แต่ทุกสำนักใหญ่ของดินแดนรกร้างโบราณไม่ได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติเช่นนี้ หากแต่ยังแย่งชิงอาณาเขตกันเต็มกำลังเหมือนเดิม

แค่วิธีแย่งชิงอาณาเขตเปลี่ยนไปเท่านั้น กลายเป็นต่างฝ่ายต่างเลือกผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งออกมาถกมรรคแลกเปลี่ยนความรู้กัน

ผู้ชนะสามารถชิงอาณาเขตบางส่วนมาให้สำนักเบื้องหลังได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเลี่ยงการปะทะนองเลือดขนาดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างขุมอำนาจใหญ่พวกนี้ได้

ตัวอย่างเช่นในนครต้องห้ามมี ‘แดนลับเกิดใหม่’ แห่งหนึ่ง เช่นนั้นขุมอำนาจดินแดนรกร้างโบราณพวกนี้ก็จะเลือกผู้แข็งแกร่งรุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งออกมาต่อสู้ถกมรรค เพื่อช่วงชิงสิทธิ์ครอบครองแดนลับเกิดใหม่แห่งนี้ สุดท้ายผู้ชนะก็จะได้แดนลับเกิดใหม่แห่งนี้ไปให้สำนัก

ที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคือคนนอกก็เข้าร่วมการถกมรรคได้ แต่เงื่อนไขกลับยิบย่อยหาใดเปรียบ นั่นก็คือต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ที่ทุกสำนักของดินแดนรกร้างโบราณเลือกมา!

วิธีท้าประลองเช่นนี้เท่ากับตัดความหวังของผู้แข็งแกร่งคนอื่นอย่างไม่ต้องสงสัย

คิดดูแล้วผู้ฝึกปราณบนโลกนี้ ใครสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่ขุมอำนาจใหญ่ของดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้นคัดสรรเลือกเฟ้นมาได้บ้าง

ไม่ว่าอย่างไรต่อให้ชนะจนชิงแดนลับถ้ำสถิตบางแห่งมาได้จริง แต่ต่อหน้าขุมอำนาจจากดินแดนรกร้างโบราณมากมาย ใครยังเสพสุขกับโชควาสนานี้ได้อย่างสบายใจอีก

‘โลภจนน่าเกลียดจริงๆ’

หลินสวินยิ้มหยันในใจ

ไอวิญญาณฟื้นคืนกลับมา เดิมเป็นจุดเปลี่ยนใหญ่ที่เปลี่ยนชะตาชีวิตของทุกคนในโลกชั้นล่าง

แต่ตอนนี้กลับถูกขุมอำนาจของดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้นบุกรุกยึดครองและควบคุม ซ้ำยังใช้วิธีเผด็จการ ไม่เปิดโอกาสให้คนอื่นแตะต้อง การกระทำเช่นนี้ชัดเจนว่าไม่เห็นสิ่งมีชีวิตของโลกชั้นล่างอยู่ในสายตา

‘ยังไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ ไปภูเขาชำระจิตก่อน’

หลินสวินส่ายหัวแล้วมุ่งตรงไปข้างหน้า

เขาดูเหมือนเดินเล่นในสวนบ้าน ความจริงแล้วรวดเร็วว่องไวเป็นอย่างยิ่ง ไม่ถึงหนึ่งเค่อหลินสวินก็มาถึงอาณาเขตที่ภูเขาชำระจิตเคยอยู่ในตอนนั้น

แต่เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของภูเขาชำระจิต สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างมากทันที แววเยียบเย็นในดวงตาระเบิดพุ่งออกมา ราวกับแทงทะลุผืนฟ้ากว้างได้

‘บัดซบ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้แล้ว’

ภูเขาชำระจิตที่เคยมีรัศมีเจิดจรัสเป็นที่จับตามอง ปัจจุบันตัวภูเขาพังทลาย ต้นหญ้าขึ้นเต็ม กลายเป็นพื้นที่ที่ถูกทิ้งร้างแห่งหนึ่ง

เมื่อสำรวจโดยละเอียด ทุกหนแห่งคือเศษซากหักพัง ราวกับถูกถล่มใส่อย่างน่าหวาดกลัว

ต้องรู้ว่าปีนั้นที่นี่เคยถูกหลินสวินวางกระบวนผนึกไว้มากมาย สร้างขึ้นมาเหมือนกำแพงสำริดผนังเหล็ก แต่เห็นชัดว่าหลายปีนี้ที่ไอวิญญาณฟื้นคืนกลับมา ภูเขาชำระจิตถูกคนทำลายแล้ว!

หลินสวินเดินเข้าไปใกล้ มองสำรวจเงียบๆ

เปรียบเทียบกับสถานที่อื่นในนครต้องห้าม ภูเขาชำระจิตที่พังทลายเหมือนซากปรักหักพังดูวังเวงและตกต่ำเป็นพิเศษ ซบเซาและโรยรา

หลินสวินยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าราวน้ำแข็ง จิตรับรู้แผ่ขยายออกไปดุจกระแสน้ำ ตรวจสอบโดยละเอียด

น่าเสียดายที่ไม่ได้อะไรเลย

มีแค่ผู้ฝึกปราณบางคนเดินเอ้อระเหยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ชี้นิ้วมาทางซากปรักหักพังแถบนี้

……………………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท