กึ่งจักรพรรดิ!
สำหรับฉือฉางเหมยที่ตอนนี้เพิ่งมีพลังปราณระดับมหาอริยะ นี่ถือเป็นตัวตนสูงส่งที่พอจะจินตนาการได้แล้ว
จากการตัดสินเช่นนี้นางจึงตระหนักได้ท่าไม่ดีแล้ว ด้วยตอนนี้ทั้งตระกูลฉือมีกึ่งจักรพรรดิควบคุมดูแลแค่คนเดียว
หรือกล่าวอีกนัยคือ ต่อให้สุดท้ายตระกูลฉือสามารถสลายภัยร้ายได้ แต่ก็ต้องถูกโจมตีอย่างหนัก
ฉือฉางเหมยอ้าปากอยากเอื้อนเอ่ย คิดส่งข่าวให้ผู้ฝึกปราณที่อยู่ใกล้ ให้พวกเขาส่งสารไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ
หากแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณรู้ว่าหลินสวินปรากฏตัวต้องรีบเร่งมาทันทีแน่ เช่นนี้อันตรายที่ตระกูลฉือต้องประสบก็จะลดลงต่ำที่สุด
แต่ฉือฉางเหมยกลับพบอย่างน่าพิศวงว่าตัวเองส่งเสียงใดไม่ได้อย่างสิ้นเชิง แม้แต่จิตรับรู้ยังไม่อาจแผ่ขยายออกไป
เพียงชั่วขณะนางหนาวเยือกในใจอย่างสมบูรณ์
…
เวลานี้บนยอดเขามรกต
เรือนหลักของตระกูลฉือ
พวกเบื้องบนของตระกูลฉือมากมายมาอยู่รวมกัน กำลังรับรองแขกคนสำคัญผู้หนึ่ง
หลายปีนี้ไอวิญญาณฟื้นคืนกลับมา ในฐานะที่เป็นขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง ตระกูลฉือก็ช่วงชิงศุภโชคและผลประโยชน์มามากมาย ทั้งอิทธิพลก็ลอยสูงตามไปด้วย เปลี่ยนไปจากเดิมนานแล้ว
อย่างบุคคลสำคัญระดับสูงของตระกูลฉือทั้งหมดที่นั่งอยู่ในเรือนใหญ่ตอนนี้ แต่ละคนกลิ่นอายลึกล้ำดุจเหวดั่งนรก บ้างร้อนแรงดุจอัคคี บ้างเยียบเย็นเสียดกระดูก บ้างมีจิตต่อสู้ร้ายกาจ บ้างเลือดลมล้นปรี่…
ผู้อ่อนแอที่สุดก็มีพลังปราณระดับมหาอริยะ!
แต่คนที่ดึงดูดสายตาที่สุดคือชายวัยกลางคนน่าเกรงขามซึ่งนั่งตรงที่นั่งหลัก เขาสวมชุดพญางูสีเหลืองสว่าง ผมเผ้าหนวดเคราดุจสีหมึก นัยน์ตาเยียบเย็นดุจอสนี
ฉือหลิงเซียว!
ผู้นำตระกูลฉือ กลิ่นอายบนตัวเขาราวกับเหวลึก สิ่งที่แผ่ออกมาเต็มไปด้วยอานุภาพร้ายกาจระดับกึ่งจักรพรรดิ
ยี่สิบปีก่อนฉือหลิงเซียวได้มหาศุภโชคหนึ่งจากแดนลับเกิดใหม่แห่งหนึ่ง พลังปราณจึงแปรสภาพ ทะยานสู่ระดับกึ่งจักรพรรดิด้วยเหตุนี้!
เขาจึงกลายเป็นระดับกึ่งจักรพรรดิเพียงคนเดียวของตระกูลฉือ
แต่เวลานี้ฉือหลิงเซียวกลับยิ้มแย้ม พูดคุยกับชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งที่สวมชุดนักพรต ผิวขาวกระจ่างประหนึ่งหยก
ชายหนุ่มคนนี้ดูเหมือนเยาว์วัย ความจริงแล้วนัยน์ตาเจือกลิ่นอายเปี่ยมประสบการณ์ ทุกการเคลื่อนไหวแฝงความสงวนท่าทีและเย่อหยิ่งอันเป็นเอกลักษณ์
ยามเหลียวมองฉือหลิงเซียวและเหล่าบุคคลสำคัญระดับสูงของตระกูลฉือ ลักษณะท่าทางเหมือนก้มมองคนรับใช้
หลันมู่หลี!
ศิษย์สืบทอดแท้จริงของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ
แม้จะมีพลังปราณแค่ระดับมหาอริยะ แต่ด้วยฐานะของเขาย่อมกดดันฉือหลิงเซียวและเหล่าคนใหญ่คนโตจนจำต้องก้มหัว
“ผู้นำตระกูลฉือ สองชั่วยามก่อน ตรงตำแหน่งที่ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตพังทลายมีไอสังหารสะท้านฟ้าสายหนึ่งพุ่งออกมา ไม่รู้ว่าพวกเจ้าสังเกตเห็นหรือไม่”
หลันมู่หลีกล่าวราบเรียบ
“ที่แท้คุณชายหลันก็มาด้วยเรื่องนี้”
ฉือหลิงเซียวพลันกระจ่าง พยักหน้ากล่าว “เรื่องนี้ข้าก็เพิ่งทราบ ได้ยินว่าอานุภาพของไอสังหารนั้นพุ่งทะลวงสะท้านทั่วนครต้องห้าม นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปทำได้ อย่างน้อย… ก็ต้องเป็นกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง”
หลันมู่หลีกล่าวเรียบๆ “แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของข้าก็คิดเช่นนี้ แต่น่าเสียดายที่ยามส่งคนไปตรวจสอบ ซากปรักหักพังของภูเขาชำระจิตนั้นไม่มีเงาร่างของอีกฝ่ายนานแล้ว แต่พวกเราสงสัยว่า… คนผู้นั้นมีโอกาสว่าจะเป็นหลินสวิน”
หลินสวิน!
พวกฉือหลิงเซียวล้วนอึ้งไป ในใจสั่นสะท้าน
สำหรับคนรุ่นเยาว์สมัยนี้ บางทีอาจไม่รู้ว่าปีนั้นหลินสวินเจิดจรัสระดับใด แต่สำหรับคนแก่อย่างพวกเขา มีหรือจะไม่รู้ว่าหลินสวินสองคำนี้หมายความว่าอะไร
อานุภาพของคนผู้หนึ่ง กำราบหนึ่งจักรวรรดิ!
ปีนั้นสองตระกูลจั่วและฉินที่เป็นขุมอำนาจเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลเหมือนกัน ก็ถูกคนผู้นี้บดขยี้ภายในชั่วข้ามคืน!
ตอนนี้ต่อให้วันเวลาผันผ่าน เรื่องทางโลกไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิง แต่เมื่อนึกถึงหลินสวิน พวกฉือหลิงเซียวมีหรือจะสงบใจได้
แน่นอนว่าหากเปลี่ยนเป็นพวกเขาในตอนนี้ ย่อมไม่หวั่นเกรงหลินสวินแต่แรก
นอกจากเป็นเพราะอิทธิพลของตนแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีนี้แล้ว ยังเป็นเพราะพวกเขามีแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณหนุนหลังด้วย!
“หากเป็นเจ้าหมอนี่จริง จะไม่ได้หมายความว่าเขามีพลังปราณระดับกึ่งจักรพรรดิแล้วหรือ”
แววตาฉือหลิงเซียวไหววูบ
หลันมู่หลีกล่าว “ไม่ว่าจะใช่เขาหรือไม่ ข้ามาที่นี่ครานี้ด้วยรับคำสั่งของสำนักให้พาคนส่วนหนึ่งไป”
ฉือหลิงเซียวรีบร้อนกล่าว “การทำงานให้แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณถือเป็นเกียรติของพวกเรา ไม่ทราบว่าคุณชายต้องการพาใครไป”
หลันมู่หลีกล่าว “พวกคนที่เกี่ยวข้องกับหลินสวินซึ่งถูกตระกูลฉือของพวกเจ้ากักขังไว้ รีบไปเถอะ เวลากระชั้นแล้ว ข้าไม่อยากเสียเวลาอีก”
ฉือหลิงเซียวพยักหน้ารับคำ แต่ค่อนข้างแปลกใจอยู่บ้าง เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “คุณชาย ต่อให้คนผู้นั้นเป็นหลินสวินจริง ด้วยรากฐานและพลังของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ถ้าอยากกำจัดเขาก็เป็นแค่เรื่องง่ายเพียงพลิกฝ่ามือกระมัง”
หลันมู่หลียิ้มหยันออกมา “พวกเจ้าไม่เข้าใจ คนผู้นี้ไม่ธรรมดาเหมือนที่พวกเจ้าจินตนาการ ปีนั้นยามเขาอยู่ดินแดนรกร้างโบราณ…”
เขาพูดถึงตรงนี้แล้วหยุดไปทันที ด้วยหากพูดต่อไปก็จะเปิดเผยเรื่องบางอย่างที่ทำให้แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณรู้สึกอับอายและอึดอัดจนถึงตอนนี้ออกมา
เขาเว้นช่วงไปก่อนกล่าวเรียบๆ “ภายใต้สภาพยิ่งใหญ่ที่ไอวิญญาณฟื้นคืนกลับมาตอนนี้ แน่นอนว่าเขาหลินสวินไม่ถือเป็นอะไร หลังจากแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของข้าเข้ามาในนครต้องห้ามก็ตั้งเป้าสังหารเจ้าเดรัจฉานนี่นานแล้ว น่าเสียดาย… คนผู้นี้หายไปหลายปีแล้ว…”
ปึง!
ประตูเรือนใหญ่ที่ปิดสนิทถูกกระแทกจนเปิดออก เงาร่างหนึ่งพุ่งซวนเซเข้ามาแล้วตะโกนเสียงสั่น “ผู้นำตระกูล แย่แล้ว มีคนบุกเข้ามาในยอดเขามรกตของพวกเรา!”
“อะไรนะ” ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นตกตะลึงพร้อมกัน แทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
มีเพียงฉือหลิงเซียวที่ไม่ตื่นตระหนก เขาขมวดคิ้วพลางโบกมือกล่าว “ผู้เฒ่าสาม ผู้เฒ่าสี่ ผู้เฒ่าห้า พวกเจ้าไปดูพร้อมกัน อย่าให้โจรถ่อยเข้ามารบกวนถึงที่นี่”
“ขอรับ!”
ทันใดนั้นก็มีผู้ยิ่งใหญ่สามคนลุกขึ้นแล้วจากไปทันที
“ทำให้คุณชายขบขันแล้ว” ฉือหลิงเซียวเห็นดังนี้จึงยิ้มพลางกล่าวขอโทษหลันมู่หลี
หลันมู่หลีอดแปลกใจไม่ได้ ปรบมือชื่นชม “ผู้นำตระกูลฉือไม่ตื่นตระหนก ความสามารถในการควบคุมตัวเองเช่นนี้ไม่เลวจริงๆ”
ฉือหลิงเซียวหัวเราะลั่น “ตระกูลฉือของข้าครองอาณาเขตในนครต้องห้ามมารุ่นต่อรุ่น ผ่านคลื่นใหญ่ลมแรงมานับไม่ถ้วน การเคลื่อนไหวเล็กน้อยแค่นี้ไม่คู่ควรให้พูดถึงแต่แรก”
หลันมู่หลีพยักหน้าก่อนวางใจลง
คิดดูแล้วก็ใช่ ที่นี่เป็นถึงอาณาเขตของตระกูลฉือ นครต้องห้ามในตอนนี้เกรงว่าคงมีแค่พวกหน้าโง่ที่ไม่เสียดายชีวิต ถึงกล้าวิ่งมากำเริบเสิบสาน
แต่เมื่อฉือหลิงเซียวกับหลันมู่หลีกำลังจะพูดคุยกัน นอกเรือนใหญ่พลันมีเสียงร้องโหยหวนดังมาจากเชิงเขามรกต สะท้อนก้องในเรือนใหญ่ไม่หยุด
สีหน้าของฉือหลิงเซียวปรวนแปรไม่หยุดขึ้นมาทันที รู้สึกโกรธแค้นนัก
หลันมู่หลีเห็นดังนี้จึงกล่าว “เช่นนั้น… ผู้นำตระกูลฉือไปดูสถานการณ์ก่อนดีไหม”
ฉือหลิงเซียวฝืนยิ้มกล่าว “คุณชายไม่จำเป็นต้องกังวล แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
เขาพูดพลางออกคำสั่งอีกครั้ง ส่งพวกเบื้องบนของตระกูลฉือออกไปสองสามคน
“ข้าอยากรู้นักว่าในนครต้องห้ามนี้ใครช่างกล้าขนาดนั้น ถึงกับกล้าวิ่งมาเหิมเกริมใส่ตระกูลฉือของพวกเจ้า หรือไม่รู้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของข้าไม่มีทางนิ่งดูดาย”
หลันมู่หลีกล่าวคล้ายขบคิด
ฉือหลิงเซียวยิ้มกล่าว “รอจับโจรถ่อยคนนี้ได้แล้วต้องให้คุณชายดูแน่”
เพิ่งพูดถึงตรงนี้ เสียงร้องโหยหวนก็ดังก้องอีกครั้ง สั่นสะเทือนจนเรือนใหญ่มีเสียงดังกระหึ่ม
ใบหน้าชราของฉือหลิงเซียวอึมครึมลง แม้ในใจจะขุ่นเคือง แต่เขาก็รับรู้ได้ว่าศัตรูที่มาบุกรุกครั้งนี้เกรงว่าคงไม่ธรรมดา
“ไป พวกเราไปดูด้วยกัน” หลันมู่หลีพลันลุกขึ้น เขาก็นั่งไม่ติดแล้ว
ฉือหลิงเซียวและเหล่าบุคคลสำคัญของตระกูลฉือก็รีบลุกขึ้น
ในเวลานี้เอง…
ตูม!
เสียงกึกก้องดังขึ้น
ประตูเรือนใหญ่ที่ปิดสนิทระเบิดกระจุยกลายเป็นฝุ่นผงลอยล่อง จากนั้นร่างไร้วิญญาณของคนในตระกูลฉือก็ปลิวเข้ามาในเรือนใหญ่อย่างต่อเนื่อง กลิ้งลงไปกองกับพื้น เลือดสีสดไหลเป็นทาง
พวกฉือหลิงเซียวล้วนตัวแข็งทื่อ ถูกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฉับพลันนี้ทำให้ตกใจ
เมื่อเห็นร่างไร้วิญญาณบนพื้นนั้นอย่างชัดเจน ความโกรธแค้นที่ไม่เคยมีมาก่อนผุดขึ้นในใจของพวกฉือหลิงเซียว ด้วยร่างไร้วิญญาณพวกนั้นก็คือพวกเบื้องบนของตระกูลฉือที่เพิ่งออกจากเรือนใหญ่ไป
แต่ตอนนี้ล้วนถูกสังหาร!
ใครกัน ถึงกับกล้าสังหารคนตระกูลฉือของพวกเขามาจนถึงเรือนหลัก!?
เวลานี้เสียงราบเรียบหนึ่งดังมาจากประตูใหญ่
“ฉือหลิงเซียว สหายเก่ามาเยี่ยมเยือน ทำไมไม่ออกมาต้อนรับเล่า หรือลืมไปแล้วว่าปีนั้นเป็นใครคุกเข่านบนอบ มุ่งหน้ามาร้องขอความเมตตาถึงตระกูลหลินของข้า”
เห็นเพียงชายหนุ่มที่สง่างามละโลกีย์คนหนึ่ง สองมือไพล่หลังเดินออกมาจากฝุ่นควัน
ชั่วพริบตาที่เห็นชายหนุ่ม พวกฉือหลิงเซียวนัยน์ตาหดรัด ร้องเสียงหลงออกมา
“เป็นเจ้า?”
“เป็นไปได้อย่างไร…”
เวลานี้แม้แต่หลันมู่หลีก็หน้าเปลี่ยนสี นัยน์ตาหดรัด
ผู้มาเยือน แน่นอนว่าคือหลินสวิน
นัยน์ตาดำของเขาราบเรียบ กวาดมองทุกคนในเรือนใหญ่พลางกล่าว “ทำไม คิดไม่ถึงว่าข้าคนแซ่หลินจะมาเยือนกะทันหันรึ”
หลังจากผ่านความตระหนกในตอนต้น ฉือหลิงเซียวสงบสติอารมณ์ลงแล้ว นัยน์ตาเจือความเยียบเย็นและคั่งแค้น “หลินสวิน หลายปีมานี้ตระกูลฉือของข้าไม่เคยล่วงเกินเจ้า ทำไมวันนี้เจ้ากลับบุกเข้ามาในตระกูลฉือของข้า”
เขากำลังสำรวจหลินสวิน หมายจะมองให้ทะลุพลังปราณของเขา แต่สุดท้ายกลับผิดหวัง หลินสวินตรงหน้าซ่อนกลิ่นอายรอบตัวไว้อย่างสมบูรณ์ ไม่อาจมองตื้นลึกให้ออกอย่างสิ้นเชิง
“เรื่องมาถึงวันนี้ เจ้ายังมีหน้ามาถามข้ารึ…”
แววตาของหลินสวินเปลี่ยนเป็นเย็นชา น้ำเสียงราบเรียบ “คิดว่าข้าไม่รู้จริงหรือ หลายปีนี้พวกเจ้าตระกูลฉือ ตระกูลฮวา ตระกูลฉียอมเป็นสุนัขให้พวกสารเลวดินแดนรกร้างโบราณไปแล้ว”
พวกฉือหลิงเซียวล้วนอึ้งงัน
ประโยคนี้ไม่ได้ด่าแค่พวกเขา แต่ยังรวมไปถึงขุมอำนาจของดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้นด้วย!
หลันมู่หลีที่ไม่เคยเอ่ยปากพลันกล่าวขึ้น “ไอสังหารที่ปรากฏตรงซากปรักหักพังของภูเขาชำระจิตก่อนหน้านี้ เป็นการเคลื่อนไหวที่เจ้าก่อขึ้นหรือ”
หลินสวินเหลือบมองเขาเล็กน้อย “ผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ?”
มุมปากของหลันมู่หลีเผยรอยยิ้มจองหอง “ไม่ผิด”
“คุกเข่า” ริมฝีปากหลินสวินขยับพูดออกมาสองคำเบาๆ
อะไรนะ!?
พวกฉือหลิงเซียวแทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
นี่เป็นถึงผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ!
หรือว่าเขาหลินสวินยังคิดจะเปิดศึกกับแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณด้วย
ตึง!
พลันเห็นหลันมู่หลีคุกเข่าลงไปทั้งอย่างนั้น สองเข่ากระแทกพื้น ศีรษะล้วนถูกกดลงกับพื้น ใบหน้าสง่างามแดงก่ำเหยเก
เขารู้สึกอับอายอย่างมาก แผดเสียงคำรามออกมา “หลินสวิน เจ้ารนหาที่ตาย! เจ้ารอก่อนเถอะ นครต้องห้ามนี้จะเป็นที่ฝังกระดูกของเจ้า!”
ปึง!
ครู่ต่อมาร่างกายของหลันมู่หลีก็ระเบิดออก เลือดเนื้อสาดกระจาย ทำให้พวกฉือหลิงเซียวตกใจจนรีบร้อนหลีกหลบ ถึงไม่ถูกเลือดสีสดกระเด็นใส่ตัว
แต่สีหน้าล้วนเปลี่ยนเป็นคล้ำเขียวหาใดเปรียบ ดวงตาเบิกโต หลินสวินถึงกับฆ่าผู้สืบทอดของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเช่นนี้!?
พวกเขาดูเหมือนยังไม่กล้าเชื่อ
“เดิมข้ายังคิดจะไว้ชีวิตเขา สืบข่าวบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ น่าเสียดายที่ปากเหม็นเกินไป”
สายตาของหลินสวินมองพวกฉือหลิงเซียว สีหน้าราบเรียบดังเดิม น้ำเสียงยิ่งไม่เคยมีคลื่นความรู้สึกใดแม้เพียงเสี้ยว
“หลังจากนี้ก็ตาพวกเจ้าแล้ว”