ท่ามกลางฟ้าดิน วังวนขุ่นมัวหมุนวนช้าๆ ทำให้ห้วงอากาศที่อยู่ใกล้เคียงบิดเบี้ยวพังทลาย
ในวังวนมีช่องทาง ‘รูพรุน‘ เบียดเสียดกันอยู่เป็นร้อย
หลินสวินยืนอยู่เบื้องหน้า ประเมินดูโดยละเอียด
ร่องรอยที่ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเหล่านั้นทิ้งไว้หายลับไปหลังจากมาถึงที่นี่
แต่เมื่อจำแนกโดยละเอียดก็จะพบว่า ใกล้กับช่องทางรูพรุนแห่งหนึ่งในนั้นยังหลงเหลือกลิ่นอายที่ยังไม่ลบเลือนไปอยู่บ้าง
นี่เป็นร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ เมื่อพลังปราณต้านกับวังวนขุ่นมัวยามท่องทะยาน
‘ดูท่าจะเข้าไปในแดนลับนี้’
ขณะที่หลินสวินใคร่ครวญก็นึกย้อนถึงข้อมูลที่ค้นได้จากจิตวิญญาณของหมิงหยา
หลายปีมานี้หมิงหยาได้เข้าไปสำรวจแดนลับในช่องทางรูพรุนมากมาย เมื่อถูกหลินสวินนำมาพิสูจน์ยามนี้ ไม่นานก็เข้าใจ
ช่องทางรูพรุนที่เคยสำรวจเหล่านั้น ตอนนี้ไม่ได้มีคุณค่าอะไรแล้ว
และยังมีช่องทางรูพรุนที่ถูกหมิงหยาระบุไว้ว่า ‘อันตรายถึงขีดสุด‘ เอาไว้จำนวนหนึ่งด้วย นี่หมายความว่าแม้หมิงหยาจะเข้าไปในนั้น แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการสำรวจ
แต่ที่ทำให้หลินสวินประหลาดใจที่สุดก็คือ ช่องทางรูพรุนที่ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเหล่านั้นเข้าไป มีการระบุไว้ว่าอันตรายถึงขีดสุด!
หลินสวินครุ่นคิดเล็กน้อยก็เข้าใจ
เกรงว่าผู้แข็งแกร่งแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเหล่านี้จะเดาได้แล้วว่าตัวเองจะต้องถูกไล่ฆ่า จึงตัดใจเลือกที่ที่อันตรายถึงที่สุดแห่งหนึ่งเป็นการตัดสินใจขั้นเด็ดขาด
สวบ!
เงาร่างหลินสวินพริบวาบแล้วพุ่งเข้าไปในช่องทางรูพรุนสายนี้
ที่ที่อันตรายถึงขีดสุดสำหรับหมิงหยา หมายความว่าเป็นไปได้สูงยิ่งว่าจะมีสิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวที่ไม่อาจล่วงรู้ซุกซ่อนอยู่
หลินสวินก็อยากจะไปเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย
หลังจากเคลื่อนตัวเข้าไป ห้วงอากาศเปลี่ยนผัน
หลินสวินปรากฏตัวในแดนลับที่มีเมฆฝนขมุกขมัวไปทั้งแถบแห่งหนึ่ง
ที่นี่ภูผาธาราดั่งภาพเขียน กว้างใหญ่ไพศาล พลังมหามรรคอิ่มเอิบแปลงเป็นหมอกฝนปลิวว่อนเป็นริ้วๆ ระหว่างที่หายใจเข้าออกปลอดโปร่งโล่งสบาย
“เป็นที่ที่ดี!”
ตาดำหลินสวินเปล่งประกายเล็กน้อย พลันนั้นพลังปราณที่ถูกกดข่มไว้ก็คลายลงขนานใหญ่ ฟื้นฟูสู่ระดับจักรพรรดิขั้นสอง!
เห็นได้ชัดว่าแดนลับแห่งนี้น่าจะใกล้กับต้นกำเนิดหมื่นมรรคอย่างยิ่ง
มิหนำซ้ำเมื่อหลินสวินแผ่จิตรับรู้ ก็สัมผัสได้ว่าถ้าวัดกันแค่เรื่องไอวิญญาณหนาแน่นหรือไม่ หากฟ้าดินแห่งนี้อยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดารา ก็เรียกได้ว่าเป็นถ้ำสวรรค์แดนมงคลชั้นหนึ่งแล้ว
ขณะครุ่นคิดหลินสวินก็เยื้องย่างไปในห้วงอากาศไปพลาง
ฝนหมอกล่องลอย ภูผาธาราพร่าเลือน ไม่ทันไรหลินสวินก็จับกลิ่นอายที่ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเหล่านั้นเหลือไว้ได้
หลังเขาไล่ตามกลิ่นอายเหล่านี้ไปหนึ่งเค่อ
เทือกเขาใหญ่ไพศาลยืดยาวสูงต่ำสลับกัน สีโลหิตไปทั้งแถบปรากฏขึ้นในสายตาของหลินสวิน มองจากไกลๆ ก็เหมือนมังกรโลหิตดึกดำบรรพ์ตัวหนึ่งขดตัวอยู่บนพื้นดิน
นัยน์ตาดำหลินสวินหดรัด
ในสัมผัสของเขา พลังมหามรรคที่อบอวลในแดนลับแห่งนี้ เกือบครึ่งหนึ่งถูกเทือกเขาสีเลือดนั้นช่วงชิงไป
การช่วงชิงเช่นนี้เงียบเชียบ ถ้าไม่ใช่พลังปราณของเขาเทียมฟ้าก็ยากที่จะสังเกตเห็น
‘ตอนนั้นเพราะหมิงหยาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตรายยิ่งยวดที่นี่ ถึงได้จากไปอย่างไม่ลังเล…’
‘เช่นนี้ถ้าแดนลับแห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวซ่อนอยู่จริง เกรงว่าก็คงอยู่ในเทือกเขาสีเลือดนี้แล้ว’
ขณะที่หลินสวินครุ่นคิดก็ย่างเท้าก้าวเดินเข้าไปใกล้
“หืม?”
เพียงครู่เดียวเท่านั้นในจิตรับรู้ของหลินสวินก็ตรึงอยู่ที่หุบเขาแห่งหนึ่ง ในหุบเขาต้นหญ้าก้อนหินต่างมีสีแดงดุจเลือด พิสดารน่าหวาดหวั่น
บนพื้น เศษซากสมบัติจำนวนหนึ่งเหลือทิ้งไว้ ในอากาศยังหลงเหลือกลิ่นคาวเลือด
เงาร่างหลินสวินลงมาอย่างรวดเร็ว สงบใจสัมผัสอยู่ครู่หนึ่งดวงตาก็ฉายแววประหลาดอย่างอดไม่ได้
จากการสังเกต เขาคาดเดาได้ว่าหลังจากผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณเหล่านั้นหลบหนีมาถึงหุบเขาแห่งนี้ก็ถูกฆ่าตายเงียบๆ ขนาดเลือดเนื้อและศพยังถูกกลืนกินจนเกลี้ยง
ถ้าตนมาช้าไปก้าวหนึ่ง ร่องรอยบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ในหุบเขาแห่งนี้ก็จะหายไปอย่างรวดเร็ว
‘ที่นี่ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ นี่พิสูจน์ได้ว่าผู้แข็งแกร่งแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณพวกนั้นไม่มีพลังต้านท้านสักนิด ถูกสังหารราบคาบทั้งหมด และที่ทำได้ถึงขั้นนี้…’
หลินสวินสองมือไพล่หลัง กำลังใคร่ครวญ
จู่ๆ หมอกฝนที่อบอวลฟ้าดินแห่งนั้นพลันเปล่งสีเลือดที่คล้ายมีคล้ายไม่มีเงียบๆ ยามเข้าใกล้หลินสวิน หมอกฝนเป็นริ้วๆ นี้ก็แปลงเป็นศีรษะดุร้ายคล้ายมารร้ายใบหน้าแล้วใบหน้าเล่ากลืนกินลงมา
เหตุไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้เกรงว่าจะไม่อยู่ในขอบเขตการป้องกันของใครเลย
แต่มาได้ครึ่งทาง ศีรษะมารร้ายสีเลือดเหล่านี้ต่างดับสลายไป เหมือนถูกหุบเหวไร้รูปร่างบดขยี้
หลินสวินยืนนิ่ง ไม่ได้เหลือบมองแต่อย่างใด ทำเพียงออกแรงที่เท้าโดยพลัน
ตูม!
ผืนดินระเบิดพัง แยกออกเป็นโกรกธารสีเลือดขนาดมหึมาสายหนึ่ง
เงาร่างที่ประดุจมารอสูรสีเลือดนับไม่ถ้วนพุ่งออกมา รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ กลิ่นอายก็ดุร้ายน่ากลัวหาใดเทียบ กลิ่นอายแต่ละสายล้วนไม่ด้อยไปกว่ากึ่งจักรพรรดิ ที่แกร่งกล้าบางสายยังมีอานุภาพระดับกึ่งจักรพรรดิด่านสาม
ชั่วพริบตานั้นถึงกับมีอานุภาพมืดฟ้ามัวดิน!
หลินสวินไม่ร้อนรน ยื่นแขนขวาออกไป หุบเหวสายหนึ่งแผ่ออกมาจากฝ่ามือ
ครืน…
ทันใดนั้นมารอสูรสีเลือดเต็มฟ้าเหมือนถูกพายุม้วนตลบ ร่างกายแหลกกระจุย ถูกพลังฝ่ามือของหลินสวินกลืนกินไม่ว่างเว้น
ผ่านไปพักหนึ่ง
ที่ฝ่ามือหลินสวินเหลือเพียงไข่มุกสีชาดเปล่งปลั่งใสกระจ่างเม็ดหนึ่ง ไข่มุกมีขนาดเท่าหัวแม่โป้ง โปร่งแสงแวววาว ภายในนั้นมีสายอสนีเป็นริ้วๆ ไหววูบ
หลินสวินพินิจเล็กน้อยแววประหลาดก็ผุดขึ้นในดวงตา
ไข่มุกนี้ควบรวมขึ้นจากต้นกำเนิดมหามรรคเพลิงแดงกับต้นกำเนิดมหามรรคอสนี กลิ่นอายทั้งสองสายต่างสำแดงลักษณะพิเศษอันดั้งเดิมและจริงแท้
ประหนึ่งพลังต้นกำเนิดของมหามรรคแห่งเพลิงและอสนี!
‘โลกชั้นล่างนี้ถูกยกให้เป็นแกนกลางของต้นกำเนิดหมื่นมรรค… ดูท่าจะจริงตามคำร่ำลือ’
หลินสวินพลิกมือเก็บไข่มุกลงไป
มหามรรคไร้รูปร่าง สะท้อนในภูผาธาราทั่วหล้า ในสรรพสิ่งหมื่นลักษณ์
ผู้ฝึกปราณพินิจฟ้าดินภูผาธาราและหยั่งรู้นัยเร้นลับมหามรรค จึงแปรสภาพตัวเองได้
แต่นัยเร้นลับแก่นแท้ของต้นกำเนิดและมหามรรค อย่าว่าแต่ผู้ฝึกปราณทั่วไปเลย ต่อให้แข็งแกร่งเช่นระดับจักรพรรดิยังหยั่งถึงได้ยาก
ห้าระดับล่าง ที่หยั่งถึงที่สุดก็คือท่วงทำนองมรรคกับจิตมรรค
ระดับราชัน ที่หยั่งถึงก็คือกฎเกณฑ์มหามรรคบนมรรคาอมตะ
ระดับอริยะ ที่หยั่งถึงคือกฎเกณฑ์อริยมรรค
กึ่งจักรพรรดิ ที่หยั่งถึงคือกฎเกณฑ์มรรคจักรพรรดิที่บกพร่อง
กระทั่งระดับจักรพรรดิ สิ่งที่หยั่งถึงและครอบครองก็คือกฎเกณฑ์มรรคจักรพรรดิ
แต่ไม่ว่าจะเป็นท่วงทำนองมรรค จิตมรรค กฎเกณฑ์อมตะ กฎเกณฑ์อริยมรรค กฎเกณฑ์มรรคจักรพรรดิ ความจริงแล้วทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการสะท้อนมหามรรคอย่างหนึ่ง
เพียงแต่พลังปราณยิ่งสูง มหามรรคที่หยั่งถึงก็ยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งเข้าใกล้แก่นแท้ของมหามรรคก็เท่านั้น
จนถึงระดับบรรพจารย์จักรพรรดิ ก็ถูกมองเป็นบรรพจารย์แห่งมรรค เท่ากับครอบครองต้นกำเนิดมหามรรคอันสมบูรณ์และนัยเร้นลับแก่นแท้ได้สายหนึ่ง
ดังนั้นบรรพจารย์จักรพรรดิจึงถูกมองเป็นผู้สูงส่ง!
นี่ก็เป็นสาเหตุที่หลินสวินตกตะลึง เมื่อเห็นกลิ่นอายแก่นแท้ของสองมหามรรคอย่างอัคคีและอสนีประทับอยู่ในไข่มุกเล็กๆ เม็ดนี้
น่าเสียดาย พลังมหามรรคในไข่มุกนี้แม้เรียกได้ว่าหาได้ยากในโลก แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงริ้วกลิ่นอายจำนวนหนึ่ง ไม่ได้สมบูรณ์
หากอยู่ในสายตาผู้ฝึกปราณทั่วไป อาจจะเรียกได้ว่าเป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ แต่สำหรับหลินสวินแล้วไม่ได้มีค่าอะไรมากมาย
ทว่าการค้นพบนี้กลับทำให้หลินสวินฉุกคิดได้ โลกชั้นล่างถูกมองว่าเป็นแกนกลางของต้นกำเนิดหมื่นมรรค นี่จะหมายความว่าถ้าตนเข้าใกล้ ‘แกนกลาง’ ได้ ก็จะได้เห็นพลังต้นกำเนิดหมื่นมรรคนั้นหรือไม่
ถ้าหากตนหยั่งรู้และครอบครองนัยเร้นลับแก่นแท้ของต้นกำเนิดหมื่นมรรคได้ ยามถึงระดับบรรพจารย์จักรพรรดิ จะเรียกได้ว่าเป็น ‘บรรพจารย์หมื่นมรรค’ หรือไม่
ทันใดนั้นหลินสวินก็ส่ายหัว
มหามรรคทั่วหล้าไพศาลเหลือประมาณ คำว่าหมื่นมรรคเป็นชื่อเรียกรวมชื่อหนึ่งเท่านั้น ตั้งแต่อดีตกาลจนปัจจุบัน ไม่ได้มีใครสักคนที่ถูกเรียกว่า ‘บรรพจารย์หมื่นมรรค’ ได้
และการคิดจะไปถึงขั้นนี้บนมรรคา ต่อให้มีความหวัง จะต้องยากลำบากปานไหน
“หืม?”
ขณะที่ครุ่นคิดหลินสวินนัยน์ตาหดรัดลง เงาร่างพริบวาบรวดเร็วไปปรากฏตัวอยู่ใต้เวิ้งฟ้า
ก็ในตอนนี้เอง…
ตูม!
เทือกเขาสีเลือดที่กว้างใหญ่แผ่ขยายบนผืนดินนั้นเหมือนตื่นขึ้นจากการหลับใหลชั่วกาล ปั่นป่วนรุนแรงขึ้นมาทันที
ที่ตามมาติดๆ คือแสงโลหิตไร้สิ้นสุดพุ่งทะลุเมฆา ตัดสลับเลื้อยตัวไม่หยุด ก่อนจะค่อยๆ ควบรวมเป็นเงาร่างสีเลือดร่างหนึ่ง
เมื่อเงาร่างสีเลือดนี้ปรากฏ ฟ้าดินแห่งนี้ระส่ำระสาย เมฆสิบทิศถล่มทลายทันที พลังอันน่ากลัวไร้ขอบเขตแผ่ขยายสะเทือนเลื่อนลั่น ขับให้เขาเหมือนยอดทวยเทพองค์หนึ่ง!
และในสายตาหลินสวิน เงาร่างนี้สำแดงลักษณะพิสดารถึงขีดสุด รูปลักษณ์เปลี่ยนแปลงไม่หยุด บ้างเป็นชายชราผมขาวโพลน บ้างเป็นชายหนุ่มองอาจ บ้างเป็นโฉมสะคราญใบหน้างดงาม กระทั่งยังเปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์นกปีศาจสัตว์เทพ…
ประหนึ่งลักษณ์ ‘หมื่นวิญญาณสรรพชีวิต’!
และกลิ่นอายของเงาร่างนี้ยังแข็งแกร่งถึงที่สุด ราวกับถึงขีดจำกัดที่แดนนี้รับไว้ได้แล้ว…
ระดับจักรพรรดิขั้นสอง!
นี่เป็นคนหรือผี
ดวงตาดำของหลินสวินวาบประกาย ไม่อาจแยกแยะได้สักนิดว่านี่เป็นสัตว์ประหลาดพิสดารเช่นไร
“ตาย!”
เงาร่างสีเลือดเอ่ยปาก สะท้านจักรวาลดั่งสายฟ้ากลองใหญ่
ตูม!
ฟ้าดินปั่นป่วน สายฟ้าเปลวเพลิงพุ่งหวือออกมา ควบรวมเป็นประทับใหญ่สายหนึ่งเข้ากำราบหลินสวิน
ความแกร่งกล้าของอานุภาพคล้ายต้องการทำลายฟ้าดินให้วินาศ!
“หึ!”
หลินสวินหัวเราะหยัน ไม่ลังเลอีก เงาร่างพริบวาบพึ่งเข้าไปโดยพลัน
ตูม!
ประทับมรรคที่สามารถสังหารผู้แข็งแกร่งใต้ระดับจักรพรรดิทั้งปวงได้อย่างง่ายดายนั้นถูกฝ่ามือเดียวของเขาบีบแหลก ละอองแสงสายฟ้าสีแดงเพลิงนับหมื่นพันสาดกระเซ็นออกมา
“ตาย!”
เมื่อเห็นหลินสวินพุ่งเข้ามา เงาร่างสีโลหิตนั้นส่งเสียงคำรามลั่นขึ้นอีก โซ่เทพเปลวเพลิงสายแล้วสายเล่าโฉบพุ่ง โอบล้อมไปสายฟ้าพร่างพราวบาดตา พุ่งหวือออกไป
ขวับ!
หลินสวินสะบัดมือคราหนึ่ง โซ่เทพเพลิงอสนีมากมายเหล่านั้นฉีกกระจุยเป็นผุยผงเหมือนกระดาษเปื่อย พลังแกร่งกล้ายิ่งยวด
ครั้นเห็นท่าไม่ดี เงาร่างสีโลหิตนั้นคล้ายหมายจะหลบหนี
ก็เห็นหลินสวินส่งเสียงหึเย็นชา ยื่นมือคว้าออกไปกลางอากาศแล้ว
ตูม!
เงาร่างสีโลหิตหลบไม่ทัน ถูกคว้าเอาไว้ทันที เมื่อหลินสวินออกแรงที่นิ้ว ร่างของมันก็เกิดเสียงระเบิดกึกก้องฟ้าดิน จากนั้นระเบิดออกทุกกระเบียด
เมื่อมองอย่างละเอียดเห็นมีควันเขียวเป็นริ้วๆ กระจายออกมาด้วย
จนกระทั่งท้ายที่สุด
กลางนิ้วมือหลินสวินเหลือเพียงผลึกเพลิงอสนีขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่ง ภายในบรรจุพลังที่เรียกได้ว่าเป็นต้นกำเนิดมหามรรคอันยิ่งใหญ่ สำแดงลักษณะพิเศษของมหามรรคแห่งอัคคีและอสนี
แกร่งกล้ายิ่งกว่าพลังมหามรรคที่อยู่ในผลึกที่หลินสวินเพิ่งหลอมเมื่อครู่นับร้อยนับพันเท่า!
——