Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2375 รังมารดาต้นกำเนิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2375 รังมารดาต้นกำเนิด

หุบเหวลึกล้ำ หมอกดำพลิกม้วน

หลินสวินสงบใจสัมผัส กลิ่นอายน่ากลัวถึงขีดสุดจำศีลอยู่ในส่วนลึกของหุบเหวนั้น ทำให้เขายังรู้สึกอึดอัดไปครู่หนึ่ง

ทันใดนั้นความยินดีปรีดาอันยากบรรยายผุดขึ้นในใจ

คล้ายว่า… ในที่สุดตนก็พบกับพวกสามารถประลองได้คนหนึ่งแล้ว

ตูม!

หลินสวินยื่นมือตบลงไปที่หุบเหว แสงมรรคไร้เทียบเทียมพุ่งลงไป ระเบิดหมอกดำถาโถมนั้นแหลกกระจุย จนกระทั่งถึงส่วนลึกของหุบเหว

“รนหาที่ตาย!”

เสียงกึกก้องเหี้ยมเกรียมเสียงหนึ่งดังขึ้น ส่วนลึกของหุบเหวพลันมีเงาร่างสูงตระหง่านที่มีประกายแสงมรรคตระการตาร่างหนึ่งพุ่งออกมา ทั้งร่างชโลมอยู่กลางแสงสีเงินพิสุทธิ์

ระดับจักรพรรดิขั้นสามบริบูรณ์!

มิหนำซ้ำยังเกือบบรรลุระดับจักรพรรดิขั้นสี่แล้ว!

หลินสวินมองดูตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่ายออกในปราดเดียว ในใจสงสัยอย่างอดไม่ได้ว่าถ้าไม่ใช่เพราะพลังกดข่มของแดนลับแห่งนี้ เกรงว่าพลังที่เงาร่างสีเงินนี้มีจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก

“ฆ่า!”

ขณะที่ครุ่นคิดเงาร่างสีเงินก็พุ่งเข้ามาแล้ว ซัดพายุสีเงินเต็มฟ้าพาให้ฟ้าดินสั่นสะท้าน

หลินสวินไม่หลบไม่หนี ทะยานเข้าไปรับ

ตูม!

ชั่วพริบตาทั้งสองก็ประมือกันหลายสิบครั้ง ต่อสู้จนฟ้าหม่นดินหมอง แสงมรรคสาดกระเซ็น มีแต่กระแสเชี่ยวดับทำลายทุกแห่งหน

ประหนึ่งเทพสององค์กำลังชิงชัย

‘เจ้าผีนี่ถึงกับครอบครองพลังมหามรรคสูงส่ง มีจิตต่อสู้ที่สมบูรณ์…’

หลินสวินตกตะลึงอย่างอดไม่ได้

ตอนที่สำรวจแดนลับก่อนหน้านี้ สิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวที่หลินสวินได้พบ ก่อตัวขึ้นจากกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งที่สิ้นชีพไปไม่รู้นานเท่าไร รวมตัวอยู่ในพลังต้นกำเนิดมหามรรคแทบทั้งนั้น ไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ

แต่เงาร่างสีเงินตรงหน้านี้แตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด!

ขณะเดียวกันเงาร่างสีเงินก็เหมือนรู้สึกตกตะลึง ตวาดว่า “เจ้าเป็นใคร”

เงาร่างเขาพริบไหว แปลงเป็นแสงเคลื่อนไหวสีเงินเรียวยาวสายหนึ่งหลบไปไกล แววตามองดูหลินสวินอย่างฉงนสงสัย

“แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร”

หลินสวินก็เก็บมือ แม้จะทึ่งกับสติปัญญาและพลังเจตจำนงของอีกฝ่าย แต่หลินสวินยังเชื่อมั่นว่าสามารถสังหารเขาได้ในครู่เดียว

“ฉายาจักรพรรดิของข้าคือ ‘วั่นคง’ ปีดึกดำบรรพ์ที่สามพันเจ็ดร้อย ปิดด่านอยู่ที่นี่ หยั่งรู้ศุภโชคแห่งต้นกำเนิดหมื่นมรรค”

ขณะที่เงาร่างสีเงินพูดก็เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริง เป็นชายหนุ่มผู้มีคิ้วกระบี่เนตรดารา รูปลักษณ์หล่อเหลาองอาจ มีเพียงในดวงตาที่เผยกลิ่นอายกาลเวลากร้านโลก

“คนยุคดึกดำบรรพ์หรือ”

หลินสวินผงะไป “ขอเสียมารยาทสักหน่อย เจ้าปิดด่านถึงตอนนี้ผ่านไปชั่วกาลนานปีแล้ว ทำไมพลังปราณของเจ้ายัง… อ่อนแอปานนี้”

“อ่อนแอหรือ”

ชายหนุ่มหล่อเหลาผู้เรียกตัวเองว่ามหาจักรพรรดิวั่นคงอึ้งไป คล้ายออกจะขัน “สหาย นี่เป็นถึงพื้นที่ต้นกำเนิดหมื่นมรรค และก็เป็นระเบียบของแดนลับแห่งนี้ที่รองรับได้เพียงพลังปราณระดับจักรพรรดิขั้นสาม หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ถ้าข้าต้องการกำราบเจ้าก็ง่ายนิดเดียว”

พูดถึงช่วงท้ายเสียงของเขาก็เจือแววโอหังและเชื่อมั่นในตัวเอง

“ถ้าไม่ถูกข่มไว้ เจ้าจะมีมรรควิถีสูงปานไหน” หลินสวินถาม

“ตอนที่ข้าปิดด่านก็มีพลังปราณระดับจักรพรรดิขั้นหก ‘ไร้ขื่อแป’ ระหว่างที่ข้าปิดด่านมาเนิ่นนานก็หยั่งรู้แก่นอัศจรรย์ยอดมหามรรคทั้งปวงไปแล้ว มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าภายในหนึ่งวันจะทำลายธรณีประตูแห่งมรรคจักรพรรดิอย่างต่อเนื่อง ทะยานสูงขึ้นสู่ระดับจักรพรรดิขั้นเก้า!”

มหาจักรพรรดิวั่นคงแววตาลุ่มลึก อวดดีเป็นที่สุด

แต่กลับพบว่าหลินสวินยิ้ม “พูดแบบนี้ เจ้าปิดด่านมานานขนาดนี้กลับยังไม่อาจทะลวงขั้นได้หรือ”

มหาจักรพรรดิวั่นคงไม่ได้ปฏิเสธ เอ่ยว่า “ทะลวงขั้นที่นี่จะชักนำให้พลังระเบียบสะท้อนกลับ อาจสามารถโชคดีหลุดรอดไปได้ แต่จะเสียโอกาสหยั่งรู้มหามรรคต่อ ได้ไม่คุ้มเสีย”

หลินสวินอึ้งไปอย่างอดไม่ได้ “พูดแบบนี้ ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้เจ้าไม่เคยออกจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียวหรือ”

มหาจักรพรรดิวั่นคงส่ายหัว “มีแต่ที่นี่ที่สามารถสัมผัสได้ถึงนัยเร้นลับต้นกำเนิดหมื่นมรรค ยังไม่ได้หยั่งรู้เข้าใจโดยสมบูรณ์ จะจากไปทำไม”

ฝึกมรรคจนลุ่มหลง!

ทันใดนั้นหลินสวินก็ตระหนักได้ว่าเฒ่าชราที่ลุ่มหลงกับการฝึกปราณที่ได้พบคราวนี้ เกรงว่าจะไม่รู้ว่าโลกภายนอกเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ไปนานแล้ว

“สหายยุทธ์ เจ้ายังไม่บอกที่มาที่ไปของเจ้า” มหาจักรพรรดิวั่นคงเอ่ย

“หลินเต้ายวน ผู้คนบนโลกเรียกข้าว่า ‘จักรพรรดิเต้ายวน’” หลินสวินกล่าว

“ไม่เคยได้ยินมาก่อน” มหาจักรพรรดิวั่นคงส่ายหัว

หลินสวินยิ้มหยัน “ในกาลเวลานับไม่ถ้วนนี้เจ้าจำศีลอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ย่อมไม่เคยได้ยินมาก่อน ข้าถามเจ้าหน่อย รู้จักจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนหรือไม่”

เดิมทีหลินสวินเพียงแค่ถามส่งๆ ใครจะคิดว่าพอได้ยินคำว่า ‘จักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียน’ มหาจักรพรรดิวั่นคงจะถึงกับตัวสั่นไปหมด แววตาฉายแววตกตะลึง “ไท่เสวียน… นั่นเป็นอาจารย์อาของข้า… เจ้าก็รู้จักเขาหรือ”

หลินสวินสีหน้างุนงง “อาจารย์อาของเจ้าหรือ”

มหาจักรพรรดิวั่นคงพยักหน้า “ข้ายังไม่ถึงกับโกหกเรื่องนี้หรอก”

สวบ!

จู่ๆ ปราณกระบี่ไท่เสวียนนับไม่ถ้วนก็ผุดออกมาจากร่างหลินสวิน แน่นขนัด โชติช่วงชัชวาล

“คัมภีร์กระบี่ไท่เสวียน นี่เป็นมรดกของอาจารย์อาข้า!” มหาจักรพรรดิวั่นคงผงะไป “หรือเจ้าเป็นผู้สืบทอดของอาจารย์อา”

“ถือว่าใช่กระมัง” หลินสวินเก็บกลิ่นอายทั้งร่างของตัวเอง ยามมองมหาจักรพรรดิวั่นคง แววตาก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาแล้ว

มหาจักรพรรดิวั่นคงยิ้มแล้วเดินเข้าหาหลินสวิน “ฮ่าๆๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ากับข้าก็ไม่ใช่คนนอก ถึงกับพูดได้ว่ายังเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก มาๆๆ พวกเรานั่งคุยกันก่อน…”

กระทั่งมาถึงหน้าหลินสวิน จู่ๆ เขาก็ยกมือขึ้นบีบคอหลินสวินในทันใด เร็วจนน่าเหลือเชื่อ พลังฝ่ามือนั้นก็น่าสะพรึงไร้ขอบเขต เห็นได้ชัดว่าสั่งสมพลังไว้นานแล้ว

ดังคำกล่าวที่ว่าไม่ลงมือก็ไม่ทำเนา แต่เมื่อลงมือต้องถึงตาย!

ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ใบหน้าเขายังมีรอยยิ้มกระตือรือร้นเบิกบานใจ แต่พอลงมือกลับดูดุดันและกะทันหันได้ปานนั้น

ทว่าการคว้าที่แน่วแน่ของเขานี้กลับล้มเหลว

“หืม?” มหาจักรพรรดิวั่นคงนัยน์ตาหดรัด หมายจะหลบหนีทันที แต่มือใหญ่ข้างหนึ่งบีบคอเขาไว้มั่น พลังไปที่ส่งผ่านนิ้วมือผนึกทั้งร่างเขาเอาไว้

“บนโลกนี้ไม่เคยมีเรื่องบังเอิญมากมายขนาดนั้น คิดว่าข้าคนแซ่หลินจะเชื่อคำพูดบ้าๆ พวกนั้นของเจ้าหรือ”

หลินสวินแววตาขบขัน หิ้วมหาจักรพรรดิวั่นคงไว้ข้างหน้าเหมือนลูกไก่ กำลังประเมินจากบนลงล่าง

มหาจักรพรรดิวั่นคงสีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ สักพักก็ฝืนเอ่ยว่า “สหายยุทธ์ นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร ข้าไม่ได้โกหก”

ปึง!

นิ้วมือหลินสวินออกแรง ร่างมหาจักรพรรดิวั่นคงพลันระเบิดกระจุย ท่ามกลางฝนเลือดสาดกระเซ็น เหลือเพียงพลังจิตที่ถูกหลินสวินบีบเอาไว้ในมือ

พอพินิจดู พลังจิตนี้ก็คือลิงฟันยื่นปากแหลมตัวหนึ่ง!

“พลังจิตของลิงวิญญาณแดนผี มิน่าถึงมองทะลุความลับในใจคน น่าเสียดาย เจ้าใจร้อนเกินไป ถ้ารออีกหน่อยไม่แน่ว่าอาจทำให้ข้าคนแซ่หลินติดกับเข้าจริงๆ ก็ได้”

หลินสวินเอ่ย ลิงวิญญาณแดนผีเป็นสัตว์วิญญาณที่หาได้ยากยิ่งชนิดหนึ่ง สามารถแยกแยะหยินหยาง มองทะลุใจคน มี ‘เนตรผีหยั่งความ’ แต่กำเนิด

ลือกันว่าคนที่ถูกลิงวิญญาณแดนผีจับจ้อง เพียงครู่สั้นๆ ก็จะถูกมันมองทะลุความลับในใจทั้งปวง มหัศจรรย์ถึงขีดสุด

น่าเสียดายที่ลูกไม้เช่นนี้ใช้ไม่ได้กับหลินสวิน จิตมรรคของเขาเหมือนฟ้าครามหมื่นกาล ไม่อาจสั่นคลอน จะถูกมองทะลุง่ายๆ ได้อย่างไร

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้พลังจิตของลิงวิญญาณแดนผีก็เชื่อมโยงเหตุผลที่น่าเชื่อถือด้วยคำพูดไม่กี่คำ ไม่ธรรมดาจริงๆ

เจ้าลิงตัวนี้แผดเสียงเอ่ยว่า “ถ้ารออีกจะต้องเผยช่องโหว่มากไปกว่านี้แน่ ด้วยความหลักแหลมในมรรควิถีของเจ้าจะต้องมองทะลุทันที แทนที่จะเป็นเช่นนี้ ชิงลงมือทันทีเสียดีกว่า อาจจะยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้”

“เจ้าพูดถูก”

หลินสวินพยักหน้า “ถ้าข้าเดาไม่ผิด ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ เจ้าคงกลืนกินความทรงจำจิตวิญญาณของผู้แข็งแกร่งร่วงหล่นที่นี่ไม่รู้เท่าไร ถึงได้รู้จักจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนกับคัมภีร์กระบี่ไท่เสวียนกระมัง”

ขณะนี้เจ้าลิงตกตะลึงโดยสมบูรณ์แล้ว เอ่ยอย่างยอมจำนนว่า “สหายยุทธ์ฝีมือสูงส่ง ฉลาดปราดเปรื่อง ข้าสู้ไม่ได้ แต่ข้าเห็นว่าสหายยุทธ์มาคราวนี้ คงมาเพื่อนัยเร้นลับต้นกำเนิดหมื่นมรรค ถ้าเจ้าไม่ฆ่าข้า ข้าอาจจะชี้ทางสว่างให้เจ้าได้”

หลินสวินร้องอ้อคำหนึ่ง ยิ้มละไมเอ่ยว่า “ถ้าข้าอยากรู้อะไร ค้นความทรงจำในพลังจิตของเจ้าก็พอ ไยต้องให้เจ้าชี้แนะด้วย”

ใครจะคิดว่าเจ้าลิงนี่กลับทุ่มสุดตัว เอ่ยคำรามว่า “สหายยุทธ์ ถ้าเจ้าทำแบบนี้ ข้ารับรองว่าทันทีที่เจ้าค้นวิญญาณ ข้าจะทำลายพลังจิตตัวเอง”

หลินสวินนิ่วหน้า ไตร่ตรองครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ช่างเถอะ เจ้าว่ามา”

เจ้าลิงคล้ายลอบถอนใจโล่งอก เอ่ยเรียบๆ ว่า “สหายยุทธ์ เจ้าต้องสาบานต่อมหามรรคเดี๋ยวนี้ รับรองว่าหลังจากข้าพูดแล้วจะปล่อยข้าไป ข้าถึงจะบอก”

หลินสวินสาบาน ให้การรับรองทันที

เจ้าลิงเหมือนไม่วางใจ รีบร้อนส่ายหัว เอ่ยว่า “สหายยุทธ์ อย่าหาว่าข้าคิดมาก สำหรับระดับจักรพรรดิแล้วเป็นตายดั่งใจนึก ไม่หวั่นกลัวอานุภาพฟ้า ทั้งยิ่งไม่อาจผูกมัดกับคำสาบาน”

เจ้าลิงหยุดไปแล้วเอ่ยว่า “เพื่อรักษาชีวิต ยังขอให้สหายยุทธ์พาข้าเคลื่อนไหวไปด้วยกัน ระหว่างทางนี้ข้าสามารถชี้แนะสหายยุทธ์ได้ เช่นนี้แล้วสหายยุทธ์ทั้งพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่ข้าชี้แนะจริงหรือลวง และข้าก็ยังรักษาชีวิตไว้ชั่วคราวได้ด้วย”

หลินสวินมองเจ้าลิงตัวนี้ด้วยความตกตะลึงอย่างอดไม่อยู่ สักพักจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “ได้”

เขาผนึกพลังจิตของเจ้าลิงไว้แล้วจึงคลายมือลง เอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าบอกมา ถ้าข้าต้องการหานัยเร้นลับต้นกำเนิดหมื่นมรรค ควรจะไปที่ไหน”

“สหายยุทธ์ก็คงสังเกตเห็นแล้วว่าตอนที่เข้าไปยังโลกต้นกำเนิดต่างๆ พลังระเบียบที่กดข่มพลังปราณของตนจะแตกต่างกัน นี่ก็หมายความว่ายิ่งเข้าใกล้แกนกลางต้นกำเนิดหมื่นมรรค พลังระเบียบที่กดข่มไว้ก็จะยิ่งอ่อนแอจนกระทั่งหายไป”

พอเจ้าลิงพูดเช่นนี้ กลับทำให้หลินสวินพยักหน้าเงียบๆ

ก็ในตอนนี้เอง หลินสวินถึงรู้ว่าในแดนลับทั้งใหญ่น้อยแห่งนี้ ที่แท้ก็ชื่อว่า ‘โลกต้นกำเนิด’

“แต่คิดจะไปถึงแกนกลางต้นกำเนิดหมื่นมรรคจริงๆ เพียงอาศัยการสำรวจไปทีละแห่งไม่อาจทำได้สำเร็จอยู่แล้ว”

เจ้าลิงเอ่ยต่อ “เพราะโลกต้นกำเนิดแห่งนี้มีมากมายแน่นขนัดยิ่งนัก อย่างกับดวงดาราที่แต่งแต้มอยู่ในที่ต่างๆ ”

“ที่ที่เจ้ามาก่อนหน้านี้ คงเป็นรังมารดาต้นกำเนิดแห่งหนึ่ง แต่ต่อให้เจ้าสำรวจโลกทุกใบในรังมารดาต้นกำเนิดแห่งนี้ทั้งหมด สุดท้ายก็จะพบเพียงว่า ไม่มีสักทางที่พุ่งตรงไปยังแกนกลางต้นกำเนิดหมื่นมรรคได้”

ตามคำพูดของเจ้าลิง วังวนขุ่นมัว รวมถึงช่องทางรูพรุนในนั้นที่หลินสวินพบก่อนหน้านี้ เรียกรวมว่า ‘รังมารดาต้นกำเนิด’

และในรังมารดาต้นกำเนิดนี้ ก็มีโลกต้นกำเนิดมากมายนับไม่ถ้วนกระจายกันอยู่ เฉกเช่นเขาวงกตอันกว้างใหญ่และซับซ้อนแห่งหนึ่ง ไม่มีเส้นทางที่ตรงไปยังพื้นที่แกนกลางต้นกำเนิดหมื่นมรรคสักทาง!

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท