Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2414 ความลับแห่งสมรภูมิมายาโบราณ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2414 ความลับแห่งสมรภูมิมายาโบราณ

ตอนที่ 2414 ความลับแห่งสมรภูมิมายาโบราณ

หลินสวินไม่ใช่พวกหัวหด

ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กหนุ่มจนถึงปัจจุบัน เขาฆ่าฟันมาตลอดทาง ผ่านภัยคุกคามมานับไม่ถ้วน

ไม่ว่าจะเป็นเหล่าสำนักแห่งดินแดนรกร้างโบราณเมื่อแรกเริ่ม หรือทุกเรือนมรรคใหญ่บนทางเดินโบราณฟ้าดาราในภายหลัง ล้วนไม่เคยทำให้เขาถอยหลบมาก่อน

ตอนนี้เขาก้าวผ่านฟ้าดาราตัวคนเดียว กำลังจะเข้าไปในแดนใหญ่พันศึกอย่างไร้กังวล มีหรือจะใส่ใจภัยคุกคามพวกนี้

หากกล่าวว่าประโยคที่หลินสวินพูดมาก่อนหน้านี้ เป็นเพราะไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยไม่หวั่นกลัว

เช่นนั้นประโยคที่มุ่งเป้าไปยังหญิงชราตอนนี้ ความหมายก็ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิงแล้ว

นี่ทำให้ผู้คนตกใจ ไม่กล้าเชื่อว่าต่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนของเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลเหวิน หลินสวินก็ยังกล้าขนาดนี้

หญิงชราโกรธจนหน้าเขียว ไอสังหารชวนประหวั่นพวยพุ่งไปทั้งตัว

เพิ่งหมายพูดอะไร แต่กลับถูกเหวินเซ่าเหิงในชุดคลุมยาวพาดกระบี่ห้ามไว้พลางกล่าว “ที่เขาพูดถูกอยู่ครึ่งหนึ่ง ภายใต้ม่านนภาผนึกมรรคนี้ไม่อาจลงมือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ทำไมต้องประชันฝีปากกันด้วย”

หญิงชรากล่าวอย่างเคียดแค้น “นายน้อย คนผู้นี้น่าชังเกินไปแล้ว หากไม่กำจัดเขาคงยากสลายความแค้นในใจข้า”

เหวินเซ่าเหิงกล่าวอืมออกมาคำหนึ่ง ไม่ได้พูดมากความอีก

ในที่นั้นดูอึดอัด เวลานี้ไม่มีคนกล้าเอ่ยปากพูดจาอีก

แต่ใครต่างก็รู้ว่าหลินสวินไม่ใช่แค่ถูกฟางเสวียนเจินมองเป็นศัตรู ตอนนี้ยังเท่ากับล่วงเกินตระกูลเหวินอย่างสมบูรณ์แล้ว เมื่อไปถึงแดนใหญ่พันศึก สถานการณ์ต้องไม่ดีแน่

ถึงขั้นไม่มีหนทางรอดอีก!

สายตาที่พวกเขามองหลินสวินล้วนเจือความเวทนาไปชั่วขณะ

มกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่งที่อุตส่าห์ก้าวออกมาจากทางเดินโบราณฟ้าดาราได้ ตอนนี้ดูท่าว่าคงอยู่ได้ไม่นานแล้ว…

หลินสวินไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้

เหมือนที่เขาพูดก่อนหน้านี้ หากไม่ใช่ว่าเดินทางอยู่ในม่านนภาผนึกมรรค เขาคงลงมือไปนานแล้ว ไม่มีทางเกรงใจอะไรอย่างสิ้นเชิง

‘สหาย หากเจ้ามอบหินลับกระบี่ก้อนนั้นมาตอนนี้ ข้ายังพอช่วยเจ้าสลายเคราะห์สังหารนี้ได้’ ทันใดนั้นฟางเสวียนเจินพลันสื่อจิต

หลินสวินเหลือบมองเขาเล็กน้อยพลางกล่าว ‘ข้ายังไม่เคยเจอพวกรนหาที่ตายอย่างเจ้ามาก่อน รอเข้าไปแดนใหญ่พันศึกแล้ว เจ้าภาวนาว่าอย่าถูกข้าพบดีกว่า’

ฟางเสวียนเจินอึ้งไป หน้าเปลี่ยนเป็นอึมครึมขึ้นมา คำขู่โดยไม่เกรงใจเช่นนี้ทำให้ศักดิ์ศรีของเขาถูกท้าทายอย่างมาก

‘ได้ ข้าจะรอ’ เขาสูดหายใจลึก แววตาเยียบเย็น

ผ่านไปสามชั่วยามเต็มๆ

ในที่สุดแท่นมรรคข้ามแดนก็พาทุกคนมาถึงส่วนลึกสุดของม่านนภาผนึกมรรค ประตูฟ้าดารามหึมาบานหนึ่งปรากฏอยู่ในสายตาของทุกคนเช่นกัน

ประตูนี้ลอยอยู่กลางฟ้าดารา สร้างจากพลังระเบียบแปลกประหลาดลึกลับนับหมื่นแสน เปล่งรัศมีแสงมรรคงามตระการหลากสีสัน

มองจากไกลๆ แล้วเหมือนประตูฟ้าดาราบานหนึ่ง!

นี่ก็คือประตูข้ามแดนปฐพี

ประตูมุ่งสู่แดนใหญ่พันศึกบานหนึ่ง

นอกจากประตูข้ามแดนปฐพีแล้ว ในแต่ละจักรวาลฟ้าดารานอกแดนใหญ่พันศึกยังมีประตูข้ามแดนแบบเดียวกันอีกเจ็ดแห่ง ล้วนมุ่งสู่แดนใหญ่พันศึก

เวลานี้ระดับจักรพรรดิมากมายต่างเผยสีหน้าตื่นเต้นและคาดหวัง

เมื่อเข้าสู่ประตูนี้ก็เท่ากับเหยียบทางโลหิตที่ไร้หนทางกลับ หากไม่สิ้นชีพ… ก็ไปถึงโลกยอดนิรันดร์!

หลินสวินก็ทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้เช่นกัน

เขานึกถึงปัญหาที่เคยถามหยวนชิงเหิง สถานที่ซึ่งกั้นขวางโลกยอดนิรันดร์อย่างแดนใหญ่พันศึก สามารถถูกลบหายไปได้หรือไม่

ยามนั้นหยวนชิงเหิงเหมือนได้ยินเรื่องน่าขันที่สุด

ตอนนี้หลินสวินก็เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายได้รางๆ อย่าว่าแต่ทำลายแดนใหญ่พันศึกเลย แค่ทำลายประตูฟ้าดาราบานนี้ ยังเกรงว่าระดับอมตะก็ไม่อาจทำได้

“ไป”

กระทั่งแท่นมรรคข้ามแดนหยุดอยู่หน้าประตูข้ามแดนปฐพีนั้น เหวินเซ่าเหิงเหลือบมองหลินสวินอย่างเย็นชาเล็กน้อยแล้วพาทุกคนพุ่งเข้าไปก่อน

พริบตานี้หลินสวินสังเกตเห็นอย่างชัดเจน หมีอู๋หยาส่งสายตาแฝงการเตือนและร้อนรนเสี้ยวหนึ่งให้ตน

คล้ายกำลังบอกเขาว่าอย่ามุ่งหน้าไปแดนใหญ่พันศึก อย่าผูกพยาบาทกับพวกเหวินเซ่าเหิง

น่าเสียดาย แค่ส่งสายตาครั้งหนึ่งหลินสวินย่อมตีความไม่ได้

“หลิงเสวียนจื่อ หลังจากเข้าประตูนี้ก็จะไปถึง ‘สมรภูมิมายาโบราณ’ ไม่ว่าเจ้าจะถูกเคลื่อนย้ายไปตำแหน่งไหน ไม่ว่าจะหลบอยู่ที่ใด ข้าต้องหาเจ้าเจอแน่!”

ฟางเสวียนเจินกล่าวเตือนหลินสวินอย่างเย็นชาประโยคหนึ่ง กำลังคิดจะพาผู้คนข้างกายจากไป

หลินสวินหยิบยันต์หยกชิ้นหนึ่งออกมาแล้วกล่าวราบเรียบ “ในนี้มีกลิ่นอายของข้าอยู่ เมื่อนำยันต์นี้ไปจะเจอข้าได้ทันที เจ้ากล้ารับยันต์นี้หรือไม่”

วาจาเรียบง่ายสบายอารมณ์ แต่กลับมีความอหังการที่มองไม่เห็น! ทำให้คนนับไม่ถ้วนตกตะลึงจนหันมามอง

“เยี่ยม! เยี่ยมมาก! ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตาย ข้ามีหรือจะปฏิเสธ เอามาเถอะ!”

นัยน์ตาของฟางเสวียนเจินแผ่ประกายวาววามน่าพรั่นพรึง คิดว่าการกระทำนี้ของหลินสวินเป็นการยั่วยุครั้งใหญ่แล้ว

หลินสวินโยนยันต์หยกไปลวกๆ

พวกฟางเสวียนเจินคว้ายันต์หยกไว้แล้วจากไป

‘เมื่อมียันต์หยกนี้แล้ว ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน ข้าย่อมหาเจ้าเจอทันทีเช่นกัน เจ้าอย่าทิ้งยันต์หยกไปแล้วกัน…’ หลินสวินพึมพำในใจ

สำหรับฟางเสวียนเจิน เดิมทีเขาคร้านจะใส่ใจ แต่อีกฝ่ายกลับหาเรื่องครั้งแล้วครั้งเล่า นี่ทำให้หลินสวินไม่อาจอดกลั้นได้แล้ว

ยามพวกสิงมู่เทียนจะจากไป ได้มาหาหลินสวินพลางกล่าว “สหาย เจ้าใจกล้ามาก หากรอดชีวิตมาได้ ข้าไม่รังเกียจที่จะเป็นพวกพ้องร่วมทางกับเจ้า”

เขากล่าวทิ้งท้ายประโยคนี้ก่อนหันหลังจากไป

หลินสวินอดอึ้งไปไม่ได้ สิงมู่เทียนคนนี้ไม่ธรรมดา เป็นมกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่งที่มีพลังปราณสูงที่สุดในกลุ่ม ระหว่างทางก่อนหน้านี้ดูเก็บงำตนเองมาตลอด เหมือนวางตัวเป็นคนนอกที่อยู่เหนือปัญหา

หลินสวินคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพูดเช่นนี้กับตนก่อนจากไป

จากนั้นหลินสวินก็ส่ายหัว ไม่คิดมากอีก

เหล่าบุคคลขอบเขตมกุฎอย่างจักรพรรดิขวงหรู ยอดจักรพรรดิเสวียนซิงต่างพาคนข้างกายจากไปติดๆ มุ่งหน้าเข้าไปในประตูข้ามแดนปฐพีนั้นแล้วหายลับไป

กระทั่งพวกเขาจากไปหมด หนิงเต้าจื้อจึงถอนหายใจยาว ประสานหมัดให้หลินสวินพลางกล่าว “สหายยุทธ์ รักษาตัวด้วย!”

พูดจบก็พาผู้แข็งแกร่งที่ร่วมเป็นพันธมิตรกลุ่มนั้นจากไปพร้อมกัน

เห็นว่าเหลือแค่ตนกับอวิ้นหลิวแห่งอารามเสียงอสนีเล็ก หลินสวินก็ไม่ชักช้าอีก กำลังจะจากไป

“ตั้งแต่โบราณหนทางนี้มีศพมากมาย ผู้วางแผนรวมกลุ่มบรรเทาทุกข์ย่อมเดือดร้อนเพราะพวกพ้อง ผู้มีใจหวาดกลัวย่อมถูกขวางด้วยการนองเลือด ผู้สันโดษไม่เกรงกลัวจึงเดินไปบนทางโลหิตได้”

ท่ามกลางเสียงสุขุมเจือท่วงทำนองธรรม ดวงตาทั้งสองของอวิ้นหลิวมองหลินสวินพลางกล่าว “สหายยุทธ์ ไม่ว่าพวกเขาจะมองเจ้าอย่างไร แต่อาตมากลับมีสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง บนหนทางนี้เจ้าอาจก้าวไปได้ไกลกว่าพวกเขา”

หลินสวินประสานหมัด “ขอบคุณสหายยุทธ์สำหรับคำอวยพร”

เขาเว้นช่วงไปก่อนเอ่ย “ข้าก็มีสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง”

“ข้าอยากฟังรายละเอียด” อวิ้นหลิวกล่าว

“เจ้าพูดถูก”

หลินสวินส่งเสียงหัวเราะ หันหลังพุ่งไปทางประตูข้ามแดนปฐพีนั้น

อวิ้นหลิวอึ้งไปครู่ใหญ่ กระทั่งเห็นเงาร่างของหลินสวินหายไป ก็เผยรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่งอย่างอดไม่ได้ “ผู้สืบทอดคีรีดวงกมล… ไม่มีพวกธรรมดาสักคนดังคาด”

จากนั้นสีหน้าเขากลับไปนิ่งสงบ เท้าสวมรองเท้าสาน เงาร่างไหววูบหายเข้าไปในประตูข้ามแดนปฐพีนั้น

หลังผ่านไปครู่ใหญ่แท่นมรรคข้ามแดนสั่นสะเทือนเล็กน้อย ลอยขึ้นฟ้ากลับไปทางเมืองข้ามแดน

ครืน!

ฟ้าแลบฟ้าคำราม ไอชั่วร้ายล้นฟ้า

เงาร่างสีเลือดสายหนึ่งฉีกทึ้งห้วงอากาศ พุ่งสังหารไปทางหลินสวินที่เพิ่งปรากฏตัวในฟ้าดินแถบนี้ เร็วจนน่าเหลือเชื่อ

หลินสวินแทบไม่ต้องคิด ออกหมัดโต้กลับโดยสัญชาตญาณ

ตูม!

หมัดนี้ซัดจนห้วงอากาศทรุดตัว แตกระแหงเป็นใยแมงมุมนับไม่ถ้วน

แต่สิ่งที่แปลกคือเงาร่างสีเลือดนั้นหนีไปได้อย่างหวุดหวิด ไหววูบแล้วหายไปกลางฟ้าดิน ไม่พบร่องรอยและกลิ่นอายใดอีก

แต่ยังถูกหลินสวินเห็นรูปลักษณ์อย่างชัดเจน

นี่คือสิ่งที่มีรูปร่างคล้ายวิญญาณร้ายอย่างหนึ่ง ร่างกายวิวัฒน์จากหมอกควันสีเลือดประหลาด ใบหน้าไหวกระเพื่อมปรวนแปร เลือนรางเป็นอย่างยิ่ง กลิ่นอายก็เหี้ยมเกรียมและอำมหิต

เห็นชัดว่านี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่ง

ตูม ครืน…

ฟ้าแลบฟ้าคำรามทั่วเวิ้งฟ้า อสนีบาตขนาดใหญ่กำลังส่องประกายในไอชั่วร้ายโหมกระหน่ำ ประดุจมังกรคลั่งระบำ

นี่คือฟ้าดินที่ไอชั่วร้ายอบอวลแถบหนึ่ง ทุกหนแห่งเป็นสีเลือดไร้ขอบเขต มองไปไม่เห็นจุดสิ้นสุด

บนพื้นดินไม่มีต้นหญ้าเจริญเติบโต มีแค่เนินทรายรกร้างกองพะเนินมากมาย กลางนภาสูงปกคลุมด้วยอสนีบาตและไอชั่วร้ายโหมกระหน่ำ น่าพรั่นพรึงหาใดเปรียบ

กดดัน

นองเลือด

วังเวง

จิตรับรู้ของหลินสวินแผ่ขยายออกไปก็สัมผัสได้ทันที ในฟ้าดินแถบนี้เต็มไปด้วยไอชั่วร้ายนานัปการ

ไอชั่วร้ายพวกนี้เจือพลังประหลาดที่นองเลือด ชั่วร้าย กัดกร่อน ดำรงอยู่ทุกแห่งหน

หากผู้ฝึกปราณต่ำกว่าระดับจักรพรรดิอยู่ที่นี่ คงแบกรับไม่อยู่ตั้งแต่พริบตาแรกทันที ย่อมถูกไอชั่วร้ายโจมตีเข้าไปในร่าง กัดกร่อนเลือดเนื้อจิตวิญญาณ ใช้เวลาไม่นานก็จะกลายเป็นซากศพกองหนึ่ง

‘ยังดีที่พลังปราณไม่ถูกกำราบ’

ผ่านไปครู่ใหญ่หลินสวินจึงกล้าแน่ใจในที่สุด ว่าตนมาถึงแดนใหญ่พันศึกแล้ว

“นกกระจอกเขียว เจ้ารู้จักสมรภูมิมายาโบราณไหม” หลินสวินถาม

ในถุงหอมสีเขียวอ่อน นกกระจอกเขียวกลายเป็นแสงไหวเคลื่อนสายหนึ่งแล้วพุ่งออกมา สำรวจมองโดยรอบเล็กน้อย ก่อนเอ่ยปากอย่างหยิ่งทะนงวางมาด

“ในแดนใหญ่พันศึกนี้ นอกจากเขตผนึกและแดนอันตรายบางแห่งแล้ว ยังไม่มีเรื่องใดที่ข้าไม่รู้”

นกกระจอกเขียวพูดพลางให้คำชี้แนะหลินสวิน

สมรภูมิมายาโบราณ สถานที่อันตรายแห่งหนึ่งซึ่งอยู่รอบนอกสุดของแดนใหญ่พันศึก

สมรภูมินี้รวมตัวจากแปดอาณาเขต

ผู้แข็งแกร่งที่เข้ามาในแดนใหญ่พันศึกจากแปดประตูข้ามแดน ย่อมถูกเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ต่างๆ ในแปดอาณาเขตนี้

ผู้แข็งแกร่งที่เข้ามาในสมรภูมิมายาโบราณจากประตูข้ามแดนปฐพีอย่างพวกหลินสวิน ล้วนถูกเคลื่อนย้ายไปใน ‘เขตแดนปฐพี’ ของสมรภูมิมายาโบราณ

แม้จะเป็นแค่ส่วนหนึ่งของสมรภูมิมายาโบราณ แต่ความยิ่งใหญ่ของเขตแดนปฐพีสามารถเทียบกับโลกแห่งหนึ่งได้

เวิ้งฟ้าของที่นี่ถูก ‘อสนีโลหิต’ ปกคลุมมานานปี เต็มไปด้วยไอชั่วร้ายชวนประหวั่น หากระดับจักรพรรดิทั่วไปอยู่ที่นี่ก็คงต้องเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง

สาเหตุอยู่ที่นอกจากภัยคุกคามของอสนีโลหิตนั่นแล้ว ตั้งแต่อดีตกาลที่แห่งนี้ยังมี ‘มารมายาวิญญาณโลหิต’ นับไม่ถ้วนซุ่มตัวอยู่

นี่คือสัตว์ร้ายที่น่าหวาดกลัวถึงขีดสุดอย่างหนึ่ง หลายปีมานี้ขอเพียงเป็นผู้แข็งแกร่งที่สิ้นชีพอยู่ที่นี่ เศษเสี้ยวจิตวิญญาณที่แตกซ่านและซากศพเลือดเนื้อที่ร่วงหล่น ล้วนถูกมันดูดซับและกัดกินจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของพลัง ชั่วร้ายเป็นอย่างยิ่ง

เหมือนกับคำว่า ‘มายา’ ในชื่อของมัน สัตว์ร้ายพวกนี้วิวัฒน์มาจากไอชั่วร้ายประหลาดที่อัดแน่นอยู่ในฟ้าดินแถบนี้ ไปมาไร้ร่องรอย ไม่อาจคาดเดาประหนึ่งภาพฝัน ไม่เป็นที่สังเกต

ยามผู้ฝึกปราณเผอเรอก็มักจะจู่โจมกะทันหัน ไม่น่าไว้ใจและชั่วร้ายเป็นอย่างยิ่ง

คราวนี้หลินสวินถึงได้รับรู้ว่าตอนเขาเพิ่งมาถึง เงาร่างสีเลือดที่พบเจอนั้นก็คือมารมายาวิญญาณโลหิตตัวหนึ่ง!

………………….

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท