ความตายแล่นผ่านไหล่ไปในพริบตา
ทว่าแรงเร้ากระตุ้นที่เกือบตายเช่นนั้น กลับทำเอาเหวินเซ่าเหิงแทบวิญญาณหลุดลอย
เขาพุ่งออกไปนอกหออย่างแทบจะเป็นไปโดยสัญชาตญาณ เคลื่อนย้ายเต็มกำลังไปยังทิศทางจวนเจ้าเมืองอย่างบ้าคลั่ง พลางแหกปากตะโกนลั่น “ฆ่าคนแล้ว! หลิงเสวียนจื่อฆ่าคนแล้ว…”
เสียงร้องตกใจกลัวนั่นดุจดั่งสายฟ้าฟาด กรีดทะลวงยามค่ำคืนของเมืองตั้งต้น
ในหอท้องฟ้า
พร้อมกับเสียงดังกระหึ่ม ท่านย่าเสวี่ยถูกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งกดดันจนปากจมูกกระอักเลือด ร่างกายผิวหนังแตกระเบิด กระดูกยังไม่รู้ว่าหักไปกี่ท่อน
นางตะโกนลั่นกราดเกรี้ยว “หลิงเสวียนจื่อ เจ้าถึงกับกล้าฆ่าคนในเมือง เจ้าต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”
“เจ้าเล่า เพื่อเจ้าหมอนี่ถึงกับไม่เสียดายชีวิต คุ้มหรือ”
หลินสวินขมวดคิ้ว มองไปยังบริเวณที่เหวินเซ่าเหิงเผ่นหนี
ก่อนหน้านี้เดิมเขาตั้งใจจะลงมืออย่างหนักอีกครั้ง และมั่นใจว่าจะเก็บเหวินเซ่าเหิงได้ ใครจะคิดว่าท่านย่าเสวี่ยที่ได้รับการโจมตีอย่างหนักกลับมาขวางอยู่ข้างหน้าอีกครั้ง ทำให้เหวินเซ่าเหิงคว้าโอกาสเสี้ยวสุดท้ายเผ่นหนีไปได้
ยามหลินสวินคิดจะไล่สังหารอีกครั้งก็ไม่ทันแล้ว
“ชีวิตของข้าก็คือของนายน้อย ตายเพื่อเขา ไยข้าต้องกลัว”
ท่านย่าเสวี่ยตะโกนลั่น
นางไม่ได้ยอมแพ้ไม่ต่อต้าน แต่ขัดขืนอย่างบ้าคลั่ง ประหนึ่งหมายสู้สุดชีวิต วอดวายทั้งสองฝ่ายกับหลินสวิน
ถ้าเป็นยามปกติ หากสู้กันซึ่งหน้า หลินสวินก็ไม่กล้ารับรองว่าจะสังหารบุคคลที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าบรรพาจารย์ขั้นเก้าช่วงหนึ่งให้ตายได้ในเวลาอันสั้น
แต่ตอนนี้…
ท่านย่าเสวี่ยที่บาดเจ็บสาหัสปางตาย ไม่เหลือภัยคุกคามให้พูดถึงอีกนานแล้ว
พรูด!
กระบี่มรรคเล่มหนึ่งพุ่งออกจากเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง ฟันท่านย่าเสวี่ยตายคาที่ ปราณกระบี่ไพศาลนั่นกลบนางจนมิด กลายเป็นเถ้าธุลีโปรยปราย
หลินสวินยกมือขึ้นคว้าของที่ท่านย่าเสวี่ยเหลือทิ้งไว้ ก่อนหมุนตัวเดินออกไป
…
ค่ำคืนนี้เมืองตั้งต้นไม่อาจสงบลงได้
เสียงแหกปากร้องตะโกนตลอดทางของเหวินเซ่าเหิงเรียกความฮือฮาขึ้นในเมือง ทำเอาระดับจักรพรรดิไม่รู้เท่าไหร่ตกใจ หันมองให้ความสนใจ
แต่ไม่ทันไรก็เห็นเหิงเทียนซั่วที่ควบคุมดูแลเมืองนำผู้ใต้บังคับบัญชากลุ่มหนึ่งมาหอท้องฟ้าแล้ว ภายใต้การชี้นำของเหวินเซ่าเหิง
แต่ในเวลานี้หลินสวินจากไปนานแล้ว
“ท่านลุง หลิงเสวียนจื่อนั่นกล้าเหิมเกริมในเมือง ละเมิดกฎของเมือง แม้แต่ท่านย่าเสวี่ยก็ยังตายเพราะเขา มารชั่วร้ายเช่นนี้ต้องกำจัดทิ้งแต่เนิ่นๆ!”
เหวินเซ่าเหิงสีหน้าเขียวคล้ำ เกรี้ยวกราดจนน่ากลัว
เมื่อครู่นี้เขาก็เกือบถูกลอบสังหาร!
ภาพที่ความตายมาเยือนแบบปุบปับนั่น ทำเอาเขาไม่อาจสงบได้จนถึงตอนนี้ และการตายของท่านย่าเสวี่ยยิ่งทำให้เขาโกรธเกรี้ยวปะทุเดือด จวนจะบ้าคลั่ง
สีหน้าของเหิงเทียนซั่วก็อึมครึมยิ่งนักเช่นกัน
เรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้ พิสูจน์ว่าหลิงเสวียนจื่อนั่นไม่เห็นเจ้าเมืองอย่างเขาในสายตาอย่างไม่ต้องสงสัย!
“ไป ไปที่พักของหลิงเสวียนจื่อนี่เสียหน่อย”
เหิงเทียนซั่วโบกมือคราหนึ่ง พาคนทั้งกลุ่มเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศออกไป
ยามราตรีดึกสงัด
โรงเตี๊ยมชั้นหนึ่งกลับยังคงคึกคักยิ่ง
หลินสวินและถานไถเฟิงกำลังดื่มสุราด้วยกัน ทั้งคู่ดื่มสุราฤทธิ์แรงหมดไปสิบเก้าไหแล้ว ผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งแถวนั้นต่างล้อมวงมุงดู ช่วยส่งเสียงยุทั้งสอง
แม้พลังปราณของทั้งคู่ล้วนสูงล้ำอย่างที่สุด แต่สุราหมักชั้นเลิศที่โรงเตี๊ยมนี้จำหน่าย ล้วนหมักขึ้นจากวัตถุดิบเทพนานาชนิด ฤทธิ์แรงเต็มพิกัด
ดื่มจนถึงตอนนี้ ทั่วร่างของทั้งคู่มีแต่กลิ่นเหล้า แต่ยังคงไม่มีใครยอมใคร
ตอนที่พวกเหิงเทียนซั่วและเหวินเซ่าเหิงมาถึงก็เห็นภาพเช่นนี้แล้ว ต่างอดอึ้งไปตามๆ กันไม่ได้
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน
ขณะเดียวกันบรรยากาศที่อึกทึกครึกโครมในโรงเตี๊ยมพลันเงียบกริบ ดุจดั่งกระแสหนาวเหน็บทะลักเข้ามา ทุกคนรู้สึกถึงไอสังหารที่บาดกระดูกวูบหนึ่ง
พวกเขาพากันเงยหน้าขึ้น ล้วนถูกพวกเหิงเทียนซั่วที่มาเยือนแบบปุบปับทำเอาตกใจ ในใจก็ผุดความคิดหนึ่งขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เกิดอะไรขึ้น
หลินสวินเองก็ย่อมเห็นพวกเหิงเทียนซั่ว เหวินเซ่าเหิงเช่นกัน สีหน้าไม่หวั่นไหว เรียบง่ายสบายอารมณ์
“มาๆๆ ดื่มต่อ!”
ถานไถเฟิงปรายตามองพวกเหิงเทียนซั่วปราดหนึ่ง แล้วยกจอกสุราขึ้น เอ่ยงึมงำหมายจะดวลสุรากับหลินสวินต่อ
ปึง!
เหวินเซ่าเหิงตบโต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ข้างกายหักด้วยฝ่ามือเดียว กล่าวเสียงเข้มว่า “นอกจากหลิงเสวียนจื่อ คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องไสหัวออกไปให้ข้าให้หมด!”
ครู่เดียวบรรยากาศในโถงพลันเงียบกริบ
ถานไถเฟิงก็เหมือนถูกทำให้ตกใจเช่นกัน ได้สติสร่างเมาเกินกว่าครึ่ง เขาขมวดคิ้วหยัดตัวยืน กวาดมองเหิงเทียนซั่วปราดหนึ่งแล้วเลื่อนไปมองเหวินเซ่าเหิง ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าเยียบเย็น “เจ้าให้ใครไสหัวไป ถ้ากล้าก็พูดอีกรอบสิ”
ใกล้ๆ เขา ระดับจักรพรรดิทั้งกลุ่มก็สีหน้าไม่เป็นมิตรเช่นกัน
เหวินเซ่าเหิงเดือดดาลแทบคลั่งนานแล้ว เมื่อเห็นว่าถานไถเฟิงยังกล้าต่อปากก็โกรธจนยั้งอารมณ์ไม่อยู่ในทันใด ฝ่ามือหนึ่งจวนจะฟาดออกไป
แต่ข้อมือของเขากลับถูกเหิงเทียนซั่วจับไว้
เหวินเซ่าเหิงอึ้งไป ก็เห็นเหิงเทียนซั่วเอ่ยปากกล่าวว่า “เมื่อครู่พวกเจ้าดื่มเหล้ากันตลอดหรือ”
ยามเผชิญหน้ากับเหิงเทียนซั่ว ถานไถเฟิงกลับดูจริงจังไม่น้อย แต่ยังคงไม่ลดความยโส พยักหน้ากล่าวว่า “ไม่ผิด ไม่ทราบผู้อาวุโสมีอะไรจะชี้แนะหรือ”
แววตาเหิงเทียนซั่วดุจสายฟ้า กวาดมองคนทั้งกลุ่มในที่นี้ สุดท้ายสายตามองไปยังร่างหลินสวิน กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้หอท้องฟ้าเกิดการฆาตกรรมขึ้น ข้ารับใช้อาวุโสระดับบรรพาจารย์ขั้นเก้าคนหนึ่งของตระกูลเหวินถูกสังหาร แม้แต่สหายน้อยเหวินเซ่าเหิงก็ยังเกือบประสบเคราะห์ และสหายน้อยเหวินเซ่าเหิงกล่าวชัดเจน ว่าเรื่องนี้ก็คือฝีมือของหลิงเสวียนจื่อผู้นี้”
ทันใดนั้นถานไถเฟิงก็เหมือนได้ยินเรื่องตลกหลุดโลก ขำพรืดออกมา “หลิงเสวียนจื่อกับข้าดื่มเหล้าอยู่ที่นี่ตลอด ไหนเลยจะมีโอกาสไปฆ่าคน”
คนทั้งกลุ่มละแวกใกล้ๆ เขาก็พากันหัวเราะขึ้นมาด้วย
เรื่องนี้พวกเขาล้วนยืนยันได้!
“กล่าวเช่นนี้ สหายน้อยถานไถตั้งใจจะออกหน้ารับรองแทนคนผู้นี้หรือ” เหิงเทียนซั่วมองถานไถเฟิงอย่างลุ่มลึกปราดหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขามองฐานะของถานไถเฟิงออกแล้ว
และเมื่อได้ยินคำว่าถานไถสองคำนี้ เหวินเซ่าเหิงอึ้งไป นัยน์ตาวาบประกาย หัวคิ้วขมวดมุ่น
“ไม่ใช่รับรอง หากแต่ทุกคนในที่นี้ต่างก็รู้ หลิงเสวียนจื่อประลองเหล้าอยู่กับข้าตลอด ข้ารับใช้และเถ้าแก่ในโรงเตี๊ยมนี้ก็เป็นพยานได้”
ถานไถเฟิงกล่าวโดยไม่ต้องคิด
เหวินเซ่าเหิงแค่นเสียงเย็น “สหายท่านนี้ เจ้าคงไม่ค่อยเข้าใจนัก หลิงเสวียนจื่อนี่ฝึกวิชาแยกร่างได้ เจ้ากล้ายืนยันหรือว่าเจ้าคนที่ดื่มเหล้าต่อหน้าเจ้าไม่ได้หลอกใช้เจ้าอยู่”
ถานไถเฟิงหัวเราะหยัน “ตั้งแต่ข้าเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ก็เป็นข้าเองที่เป็นฝ่ายขอดื่มเหล้ากับหลิงเสวียนจื่อ เจ้าคิดว่านี่คือการหลอกใช้หรือ สมองบวมน้ำแล้วกระมัง”
เหวินเซ่าเหิงเดือดดาลทันที จ้องถานไถเฟิงด้วยสีหน้ามืดทะมึน “คิดจริงๆ หรือว่าแซ่ถานไถก็สามารถไปคุ้มกะลาหัวมารชั่วนั่นได้”
ถานไถเฟิงก็สีหน้าขรึมลงเช่นกัน สบสายตาฟาดฟัน “เหวินเซ่าเหิงกระมัง อย่าคิดว่ามาจากเผ่าจักรพรรดิอมตะแล้วจะทำตัวไร้ขื่อไร้แปได้ เท่าที่ข้ารู้ ในโลกยอดนิรันดร์ตระกูลเหวินของพวกเจ้ายังไม่แข็งแกร่งถึงขั้นที่จะให้เจ้ามาอาละวาดโดยไร้ความเกรงกลัวได้!”
เห็นภาพเหตุการณ์นี้อยู่ในสายตา หลินสวินอดอัศจรรย์ใจไม่ได้ คราวนี้ถึงตระหนักได้ว่าที่มาของถานไถเฟิงผู้นี้เห็นชัดว่าแข็งแกร่งกว่าที่ตนจินตนาการไว้หลายโข
กล้าไม่เกรงกลัวเหวินเซ่าเหิงก็เป็นข้อพิสูจน์จุดนี้ได้แล้ว
“เอาล่ะ”
เหิงเทียนซั่วก้าวออกมาห้ามคนทั้งสอง กล่าวว่า “ไม่ว่ามือสังหารจะเป็นใคร ข้าในฐานะเจ้าเมืองจะต้องลงโทษสถานหนักไม่ผ่อนปรน ไม่มีการรอมชอมเด็ดขาด เรื่องนี้ก็จบแค่ตรงนี้”
“ท่านลุง” เห็นได้ชัดว่าเหวินเซ่าเหิงไม่ยินยอม
เหิงเทียนซั่วตบไหล่เขาเบาๆ กล่าวว่า “พวกที่ฆ่าคนย่อมต้องชดใช้เรื่องนี้อยู่แล้ว รีบร้อนอะไร”
กล่าวจบก็พาคนทั้งกลุ่มเดินออกไป
เหวินเซ่าเหิงมองหลินสวินด้วยสายตาพยาบาทปราดหนึ่ง ถึงค่อยตามออกไปติดๆ
จนกระทั่งเดินเข้าไปราตรีมืดมิด เหิงเทียนซั่วก็ขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลิงเสวียนจื่อผู้นี้กับถานไถเฟิงนั่นเกี่ยวข้องกันอย่างไร”
เหวินเซ่าเหิงส่ายหน้า “ข้ากับหลิงเสวียนจื่อนี่เข้าสู่แดนใหญ่พันศึกจากประตูข้ามแดนปฐพีพร้อมกัน แต่ไม่รู้สักนิดว่าเขากับคนแซ่ถานไถนั่นคุ้นเคยกันเช่นนี้”
เหิงเทียนซั่วกล่าวใคร่ครวญ “ดูท่าก่อนแดนลับฝึกหลอมจะเปิด ต้องตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองให้ชัดเจนเสียก่อนแล้ว…”
“ท่านลุง ในโลกยอดนิรันดร์ตระกูลถานไถเป็นแค่ขุมอำนาจอมตะที่เพิ่งก่อตั้งใหม่ตระกูลหนึ่งเท่านั้น ซ้ำจำนวนคนก็น้อยนิด เหตุใดต้องใส่ใจเช่นนี้ด้วย”
เหวินเซ่าเหิงไม่เข้าใจ
“เจ้าไม่เข้าใจ ปู่ของถานไถเฟิงก็คือถานไถฉางคงที่ตอนนี้เลื่องชื่อในโลกยอดนิรันดร์ ไม่ใช่ระดับอมตะทั่วไป คนผู้นี้บากบั่นมาเนิ่นนาน ใช้พลังสูงสุดกำราบพลังระเบียบระดับสวรรค์ขั้นสามที่สมบูรณ์สายหนึ่งในคราเดียว มีหรือคนทั่วไปจะเทียบได้”
เหิงเทียนซั่วนัยน์ตาลุ่มลึก “ตอนนั้นเพื่อช่วงชิงพลังระเบียบสายนี้ เฒ่าดึกดำบรรพ์ระดับอมตะจากเผ่าจักรพรรดิอมตะแปดตระกูลร่วมมือกัน แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถแย่งระเบียบระดับสวรรค์สายนี้จากมือถานไถฉางคงได้ หลังการต่อสู้ครั้งนี้ ถานไถฉางคงก็กลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่เป็นหนึ่งไม่มีสองในหมู่ระดับอมตะ”
“ถึงจะบอกว่าตอนนี้ตระกูลถานไถที่ผงาดขึ้นด้วยมือถานไถฉางคงเพิ่งจะคงอยู่เพียงสามพันปีเท่านั้น แต่จากแนวโน้มเช่นนี้ ภายหน้า… เป็นไปได้สูงว่าอาจกลายเป็นขุมอำนาจใหญ่ชั้นนำฝ่านหนึ่งที่ควบคุมระเบียบระดับสวรรค์ก็เป็นได้”
กล่าวถึงตรงนี้เหิงเทียนซั่วก็อดถอนใจไม่ได้ อาศัยเพียงพลังของคนผู้เดียว ก็สร้างรากฐานยืนตระหง่านอยู่ในสถานที่อย่างโลกยอดนิรันดร์ได้ นี่เป็นตำนานอย่างหนึ่งชัดๆ และถานไถฉางคง… ก็น่าสะพรึงเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย!
“เฮอะ แค่พวกที่มาจากต่างแดนคนหนึ่งเท่านั้น” เหวินเซ่าเหิงไม่ยอมแพ้อย่างเห็นได้ชัด
“นับแต่อดีตจนบัดนี้ บุคคลกร้าวแกร่งที่เข้าสู่โลกยอดนิรันดร์มีไม่รู้เท่าไหร่ แต่คนที่สามารถทำได้เหมือนถานไถฉางคง วางรากฐานสร้างพื้นที่ให้คนในตระกูลตนจะมีสักกี่คนกัน”
เหิงเทียนซั่วเหลือบมองเหวินเซ่าเหิงปราดหนึ่ง “คนแบบนี้ ไม่หาเรื่องได้จะดีที่สุด”
เหวินเซ่าเหิงเงียบไป
“แน่นอน คืนนี้เป็นเป็นเหตุสุดวิสัยอย่างหนึ่ง จากที่ข้าดู หลิงเสวียนจื่อนี่น่าจะเกี่ยวข้องกับถานไถเฟิงไม่มาก รอหลังจากแดนลับฝึกหลอมเริ่มต้น ความแค้นของเจ้า… ย่อมถึงคราวให้สะสาง”
เหิงเทียนซั่วกล่าวพลางก็พาคนทั้งขบวนหายลับไปท่ามกลางราตรีเวิ้งว้าง
…
ในโรงเตี๊ยม
บรรยากาศวังเวง ไม่ครึกครื้นเหมือนก่อนหน้าอีก
“พี่ถานไถ เมื่อครู่นี้ขอบคุณมาก”
หลินสวินประสานมือกล่าว ในที่นั้นเหลือเพียงเขากับถานไถเฟิงสองคน คนอื่นๆ ล้วนถูกขับไล่ไปหมดแล้ว
“ขอบคุณอะไรกัน ถ้าจะขอบคุณ ก็ควรเป็นข้าขอบคุณเจ้าที่มีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่นในแดนนรกเซินหลัวต่างหากถึงจะถูก”
กล่าวพลางถานไถเฟิงก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
“ความจริงแล้วที่เหวินเซ่าเหิงพูดมาก็ไม่ผิด”
หลินสวินครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ก่อนหน้านี้คนที่ฆ่าข้ารับใช้อาวุโสข้างกายเขา ก็คือร่างต้นของข้า”
ถานไถเฟิงอึ้งไป มองหลินสวินครู่ใหญ่แล้วกล่าวด้วยสีหน้าพิกล “กล่าวเช่นนี้ ข้าจับพลัดจับผลูถูกเจ้าหลอกใช้จริงๆ หรือ”
หลินสวินพยักหน้า “จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
ถานไถเฟิงยิ้มขื่น “เจ้าซื่อตรงขนาดนี้ ยังจะให้ข้าทำอย่างไรได้”
อันที่จริงในใจเขาเองก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย ก่อนหน้านี้เขาก็ค่อนข้างกังขาอยู่จริงๆ
ถึงอย่างไรคนอย่างเหวินเซ่าเหิงก็ไม่มีทางสร้างศัตรูแบบไร้มูลเหตุเด็ดขาด และตอนนี้ความเถรตรงของหลินสวินก็ขจัดความสงสัยในใจเขาไปหมดเกลี้ยง
เขาฉวยสุราไหหนึ่งขึ้นมา กล่าวพลางยิ้มตาหยี “มาๆๆ พวกเราดื่มเหล้ากันต่อ หากเจ้าทำให้ข้าดื่มจนฟุบได้ เรื่องเล็กเรื่องนี้ก็เจ๊ากันไป หาไม่ ข้าจะไปรายงานเรื่องของเจ้าที่จวนเจ้าเมือง!”
หลินสวินก็หัวเราะขึ้นมาเช่นกัน “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าใครจะฟุบก่อนกัน”
ถานไถเฟิงอุปนิสัยไม่เลว เป็นสหายที่ผูกมิตรได้คนหนึ่ง นี่ก็เป็นสาเหตุที่หลินสวินปฏิบัติด้วยอย่างจริงใจ ขณะเดียวกันนี่ก็ถือเป็นการหยั่งเชิงอย่างหนึ่งด้วย
ยังดีที่ปฏิกิริยาของถานไถเฟิงไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง
………………………..