Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2511 เขียวเป็นแสงสายหนึ่ง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2511 เขียวเป็นแสงสายหนึ่ง

บ่อน้ำโบราณอบอวลไปด้วยหมอก นักพรตเฒ่าที่เหมือนกับภาพมายาผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิ กำลังท่องคัมภีร์

กระบี่ยอดยุทธ์ปักเฉียงอยู่ที่ด้านหนึ่งของบ่อน้ำโบราณ ตัวกระบี่ย้อมสีเลือด

นี่เป็นภาพอันพิสดารยิ่ง ผู้ฝึกปราณทั่วไปไม่มีทางได้พบเห็นสักนิด เพราะในอดีต ขอเพียงเข้าใกล้เขตผนึกนี้ก็แทบไม่มีทางรอดชีวิต

แต่บัดนี้

ผู้สืบทอดลำดับที่สี่ของคีรีดวงกมล หลิงเสวียนจื่อมาเยือนแล้ว

ครืน!

ผืนดินสั่นสะเทือน ห้วงอากาศกำลังยุบตัว ดวงตาทั้งคู่ของหลิงเสวียนจื่อมีประกายน่าหวาดหวั่น ลุกโชนดั่งเปลวเพลิง มองไปยังนักพรตเฒ่า

“เมื่อครู่… ก็คือเจ้าหรือที่โหวกเหวกอยู่เป็นนาน” เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ละอองแสงไหลเวียนไปทั้งร่างนักพรตเฒ่า รูปลักษณ์คลุมเครือ เผชิญหน้ากับการซักไซ้ของหลิงเสวียนจื่อก็อดพูดอย่างประหลาดใจไม่ได้

“นานแล้วที่ไม่มีใครกล้าพูดจากับข้าเช่นนี้ เจ้าหนุ่ม เจ้าระวังวาจาเสียหน่อยจะดีที่สุด ถ้านึกว่ามีพลังเหนือล้ำกว่าระดับบรรพจารย์แล้วจะทำตัวไม่สนใจสิ่งใดได้จริงๆ ก็รังแต่จะทำให้ตนกลายเป็นตัวตลก”

ตั้งแต่ยุคก่อนเขาก็ถูกกำราบอยู่ที่นี่มานานเป็นล้านปีแล้ว ในช่วงเวลาอันยาวนานหาใดเทียบนี้ก็เคยเจอผู้ยิ่งใหญ่ระดับบรรพจารย์มาเยือนไม่น้อย

แต่ผลลัพธ์เล่า

ไม่วิ่งหนีหางจุกก้นหัวซุกหัวซุน

ก็ต้องตายอยู่ที่นี่

ยังไม่มีใครที่สามารถอยู่ในสายตาเขาได้สักคน!

“ทำให้ตนกลายเป็นตัวตลกหรือ”

เมื่อได้ยินดังนี้กลับเห็นรอยยิ้มสดใสปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาดั่งเด็กหนุ่มของหลิงเสวียนจื่อ จากนั้น…

เขาม้วนแขนเสื้อขึ้น

ยื่นมือขวาออกไป

ฟาดมือออกไปอย่างหยาบกระด้างหาใดเทียบ

ปัง!

บ่อน้ำโบราณมีแสงมรรคพร่าเลือนผุดขึ้นมา แต่กลับถูกลมฝ่ามือตบกระจุยทันที นักพรตเฒ่าที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนปากบ่อถูกตบจนระเบิดออกเหมือนฟองสบู่ในทันใด

แต่ที่ประหลาดก็คือ เพียงพริบตาเดียวเงาร่างนักพรตเฒ่าก็รวมตัวใหม่อีกครั้ง ส่งเสียงด่าว่าเหมือนถูกการตบอันหยาบกระด้างนี้ยั่วโมโหเข้า

“เจ้าหนุ่ม เข้ารนหาที่ตายหรือ”

ปัง!

เสียงพูดเพิ่งเงียบลง หลิงเสวียนจื่อก็ตบจนนักพรตเฒ่าระเบิดอีกรอบ “เจ้าเฒ่า ถ้าข้ารนหาที่ตายจริง เจ้าจะทำไม”

เสียงด่ากราดเกรี้ยวที่เผยแววดูแคลนดังกึกก้อง สีหน้าหลิงเสวียนจื่อมีแต่ความดูถูกอย่างเหิมเกริมไม่หวั่นเกรง

เงาร่างนักพรตเฒ่ารวมตัวอีกครั้ง เสียงเย็นชาหาใดเทียบ “เจ้าหนุ่ม…”

ปัง!

เพิ่งพูดได้ไม่กี่คำก็ถูกหลิงเสวียนจื่อตบกระจุยอีก

“มาสิ คว่ำข้า ทำลายข้าเลยสิ!”

แววตาหลิงเสวียนจื่อฉายความโหดเหี้ยม เอ่ยอย่างแสร้งยิ้มว่า “เจ้าเฒ่า ถ้าตอนนั้นข้าไม่ถูกอาจารย์ข้ากำราบไว้ อาศัยคุณสมบัติอย่างเจ้า ยังไม่มีสิทธิ์มาอยู่ในสายตาข้าด้วยซ้ำ รู้หรือไม่”

เสียงของเขาเหี้ยมเกรียม เมื่อเห็นว่าเงาร่างนักพรตเฒ่ารวมตัวกันอีก เขาพลันโบกแส้สามพันเคลื่อนคล้อย

ฟุ่บ!

แส้อันพร่างพราวดุจประกายดาว ส่องสว่างดั่งหิมะน้ำแข็งตวัดฟาดคราหนึ่ง ประหนึ่งสายธารกาลเวลา สะท้อนภาพยิ่งใหญ่อย่างประวัติศาสตร์ปรวนแปร เรื่องราวในโลกดับสลาย

ชั่วพริบตาเงาร่างนักพรตเฒ่าก็ระเบิดออก ละอองแสงปลิวลอยยังไม่ทันได้รวมตัวกันอีก ก็ถูกตลบเข้าไปในแส้อันปรวนแปรลับเลือนนั้น

บดทำลายทุกกระเบียด สลายไปจนสิ้น!

“ฮ่าๆๆ เจ้าหนุ่มอย่างเจ้าจะนิสัยเด็กน้อยเกินไปแล้ว สิ่งที่เจ้าตีกระจุยเป็นเพียงกลิ่นอายสายหนึ่งของข้าเท่านั้น”

เสียงหัวเราะลั่นของนักพรตเฒ่าดังขึ้นจากส่วนลึกของบ่อน้ำโบราณ “ถ้าเจ้ามีปัญญา กล้าเข้ามาสู้กันสักตั้งไหม”

“คิดว่าข้าไม่กล้าจริงๆ หรือ”

หลิงเสวียนจื่อแค่นหัวเราะ ก้าวเท้าจะเหยียบย่างลงบนบ่อน้ำโบราณ

แต่ครู่ต่อมาเขาก็หัวเราะพรืด ชักเท้ากลับไปแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเฒ่า คิดว่าข้าจะติดกับเจ้าจริงหรือ”

“ติดกับหรือไม่ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเจ้าไม่กล้า เจ้ากลัว เจ้าจองหองแค่ไหนก็ไม่ได้มั่นใจว่าจะเอาชนะข้าได้ นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับหรือไม่”

ในบ่อน้ำโบราณ เสียงนักพรตเฒ่าราบเรียบ

หลิงเสวียนจื่อร้องอ้อคำหนึ่ง จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นผิดหวัง ถอนหายใจยาวเอ่ยว่า “เจ้าพูดถูก พูดถูกจริงๆ…”

เขาเหมือนนึกถึงเรื่องปวดใจอะไรขึ้นมาได้ ยืนอยู่เช่นนั้น ใบหน้าอันหล่อเหลามีแต่ความอ้างว้าง

ภาพอันผิดธรรมดานี้ทำให้นักพรตเฒ่าที่อยู่ในบ่อน้ำโบราณคาดไม่ถึงอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงแค่นหัวเราะเอ่ยว่า

“เจ้าไม่ใช่ดุดันมากหรอกหรือ ไยขี้ขลาดปานนี้แล้ว”

หลิงเสวียนจื่อถอนใจอีกรอบแล้วเอ่ยว่า “ข้าเพียงแต่นึกขึ้นได้กะทันหันว่าเจ้าในตอนนี้… ไม่ได้ต่างอะไรกับข้าในอดีต”

“เจ้าก็เคยถูกกำราบหรือ” เห็นได้ชัดว่านักพรตเฒ่าประหลาดใจ

“ใช่ ถูกอาจารย์ข้ากำราบเองกับมือ ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ ตอนนี้มหามรรคของข้าต้องไม่ได้สำเร็จเพียงเท่านี้แน่”

หลิงเสวียนจื่อพูดถึงตรงนี้ก็เอ่ยถามว่า “เจ้าล่ะ ทำไมถึงถูกกำราบ”

เห็นได้ชัดว่าเบี่ยงประเด็นไปแล้ว บรรยากาศที่เดิมตึงเครียดก็เปลี่ยนเป็นประหลาดขึ้นมา

แต่นักพรตเฒ่าเหมือนไม่ได้รู้สึกผิดแปลก นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “เจ้าอยากฟังจริงหรือ”

“ถึงอย่างไรตอนนี้ข้าก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้ เจ้าเองก็ทำอะไรข้าไม่ได้เช่นกัน เล่าให้ฟังหน่อยจะเป็นไร” หลิงเสวียนจื่อกล่าว

นักพรตเฒ่านิ่งเงียบไปอีกครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “สตรีที่ข้ารักที่สุดถูกบรรพจารย์สำนักยอดยุทธ์แย่งไป”

เสียงเจือความโกรธแค้นและชิงชังอย่างบอกไม่ถูก ต่อให้ผ่านไปชั่วกาลยังไม่อาจเบาบางลง

หลิงเสวียนจื่อ “…??”

“ตอนนั้นข้ากลายเป็นตัวตลกในใต้หล้า อับอายขายหน้า เพื่อล้างแค้น ข้าบุกเดี่ยวมาถึงสำนักยอดยุทธ์”

นักพรตเฒ่าพูดถึงตรงนี้เสียงก็เจือความคลุ้มคลั่งโหดเหี้ยม “ตอนนั้นข้าสาบานว่าถ้ากำจัดหญิงโฉดชายชั่วคู่นี้ให้สิ้นซากไม่ได้ ข้าตี้สือก็ไม่ใช่คน!”

หลิงเสวียนจื่อถามอย่างอดไม่ได้ “จากนั้นล่ะ”

“แน่นอนว่า… พ่ายแพ้แล้ว…”

น้ำเสียงนักพรตเฒ่าเผยความคับข้องและขมขื่น “ไม่ใช่แค่แพ้ กระทั่งสมบัติที่ประทับ ‘ประทับแห่งยุค’ ที่ข้ารวบรวมมาได้ ยังถูกหญิงโฉดชายชั่วนั่นชิงไป… ข้า…”

นักพรตเฒ่าพูดต่อไปไม่ได้แล้ว เรื่องในตอนนั้นนำความเจ็บปวดใจยิ่งยวดมาให้เขาอย่างเห็นได้ชัด แค้นจนฝังจิตฝังใจ

หลิงเสวียนจื่อถอนใจยาว “พูดเช่นนี้ เจ้าอนาถกว่าข้ามากเลย ผู้หญิงถูกแย่งไป อับอายขายหน้า อุตส่าห์ไปแก้แค้นแต่กลับถูกคู่แค้นกำราบไว้ที่นี่ แม้แต่สมบัติติดตัวยังถูกชิงไป ช่าง… อนาถเกินไปแล้วจริงๆ!”

พูดจนถึงตอนท้ายหลิงเสวียนจื่อระบายยิ้มอย่างอดไม่ได้ เขาคล้ายอดกลั้นอย่างเต็มที่ ร่างกายถึงขั้นสั่นน้อยๆ

“เฮ้อ เจ้ายังหนุ่มย่อมไม่เข้าใจ เรื่องที่น่าอนาถที่สุดบนโลกย่อมไม่ใช่เรื่องเช่นนี้ แต่เป็นเพราะเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ทว่าคนที่เจ้าแค้นเคืองกลับหายไปนานแล้ว… จะล้างแค้นอะไร ระบายความแค้นอะไร ล้างความอัปยศอะไร… ก็ล้วนพูดไม่ได้แล้ว!”

นักพรตเฒ่าเสียงหดหู่

หลิงเสวียนจื่อได้ยินดังนี้ ในที่สุดก็อดกลั้นไม่อยู่ หลุดหัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆๆ…”

เสียงนี้ดูระคายหูหาใดเทียบในบรรยากาศอันเศร้าสร้อยชวนกลัดกลุ้มเช่นนี้

ใต้บ่อน้ำโบราณ นักพรตเฒ่าโมโห “สหายยุทธ์ นี่เจ้าหัวเราะข้าหรือ”

“เปล่า ข้า… ข้าแค่กลั้นไม่อยู่แล้ว เฮ้อ เจ้าบอกว่าเจ้า… หมวกเขียว[1] นี่ไม่ใช่ว่าไม่สามารถถอดได้ตลอดกาลหรอกหรือ น่าอนาถมากจริงๆ… ฮ่าๆๆ…”

ขณะที่พูดหลิงเสวียนจื่อก็หัวเราะขึ้นอย่างอดไม่ได้อีกครั้ง หัวเราะจนปากจะฉีกถึงใบหูแล้ว ท้ายที่สุดยังกุมท้อง ทุบกำปั้นลงกับพื้น หัวเราะบ้าคลั่งไม่หยุดหย่อน น้ำหูน้ำตาแทบเล็ด

ในที่สุดนักพรตเฒ่าก็รับรู้ได้ว่าตนถูกล้อแล้ว ทันใดนั้นก็โกรธจนแทบเสียสติ คำรามว่า “เจ้าสวะตัวจ้อย! เจ้าถึงกับกล้ามาลบหลู่ข้าเช่นนี้ ยามข้าออกไปได้จะป่นกระดูกเจ้าแน่!”

ความเจ็บปวดที่หนักหนาที่สุดในใจกลับถูกคนอื่นหัวเราะหยันอย่างไร้ปรานี นี่ช่างเหมือนเอามีดแหลมแทงใจนักพรตเฒ่าอย่างรุนแรง ทำให้เขาโมโหจนคลั่ง

บ่อน้ำโบราณนั้นสั่นขึ้นมาทันที ไอชั่วร้ายอันน่ากลัวหาใดเทียบถาโถม

วู้ม…

ด้านหนึ่งของบ่อน้ำโบราณ กระบี่ยอดยุทธ์ส่งเสียงวู้มกังวาน ปราณกระบี่นับไม่ถ้วนพุ่งออกมา ฟันไปยังใต้บ่อน้ำโบราณ

แต่ยังไม่อาจกำราบความปั่นป่วนรุนแรงของบ่อน้ำโบราณนั้นไว้ได้

หลิงเสวียนจื่อหยุดหัวเราะ แววตาเจือความวาดหวัง รำพึงในใจ ‘ถ้าข้าไม่กระตุ้นเจ้าเช่นนี้ เจ้าจะพุ่งออกมาโดยไม่คิดถึงค่าตอบแทนทั้งปวงได้อย่างไร แต่เจ้าเฒ่าอย่างเจ้าน่าอนาถเกินไปแล้วจริงๆ…’

ท้ายที่สุดหลิงเสวียนจื่อก็ฉีกยิ้มขึ้นมาอีกอย่างอดไม่ได้

ทว่าเขารออยู่ครู่หนึ่งกลับพบว่า แม้บ่อน้ำโบราณนั้นจะสั่นคลอนรุนแรง แต่นักพรตเฒ่ากลับยังไม่พุ่งออกมาเสียที จึงนิ่วหน้าอย่างอดไม่ได้

“เฒ่าเขียว เจ้าไหวไหมนั่น” หลิงเสวียนจื่อพึมพำขึ้นมา “เร็วเข้า งัดความสามารถที่แท้จริงของเจ้าออกมา พุ่งออกมา มาฆ่าข้านี่!”

เฒ่าเขียว!

เมื่อได้ยินชื่อเรียกน่าอับอายยิ่งนี้ นักพรตเฒ่าที่ใต้บ่อน้ำโบราณโมโหจนแทบกระอักเลือด คำรามไม่หยุด “สารเลว ข้าขอสาบาน ถ้าชาตินี้ไม่ฆ่าเจ้า ข้าไม่ขอเป็นคน!”

หลิงเสวียนจื่อหัวเราะแหะๆ “ตอนนั้นเจ้าก็สาบานแบบนี้ คุยโวว่าจะฆ่าคนที่สวมหมวกเขียวให้เจ้า แต่ผลลัพธ์เล่า เสียทั้งเมียเสียทั้งอาวุธ ข้าว่านะเฒ่าเขียว เจ้าอยู่ที่นี่อย่างว่าง่ายไปเถอะ จะได้ไม่กลายเป็นตัวตลกในใต้หล้า คนเขาจะพูดกันว่าจอมมารตี้สือแห่งยุคก่อนกลับเปลี่ยนชื่อเป็น ‘เขียว’ ซะแล้ว นี่จะไม่ใช่ทำให้ทุกคนในใต้หล้าหัวเราะจนท้องแข็งหรอกหรือ”

“ข้า! จะ! ฆ่า! เจ้า!”

ใต้บ่อน้ำโบราณ เห็นได้ชัดว่านักพรตเฒ่าโมโหจนคลุ้มคลั่งไปแล้ว ทุกคำที่เอ่ยดังก้องประหนึ่งอสนีอันน่าครั่นคร้าม ทำให้เขตผนึกแห่งนี้ตกอยู่ในความปั่นป่วนถึงขั้นพังพินาศ

หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นอยู่ที่นี่ คงขวัญหนีกระเจิดกระเจิงเพราะเสียงนี้ไปนานแล้ว

แต่หลิงเสวียนจื่อกลับเหมือนไม่รู้สึก ยังคงหัวเราะร่า “เฒ่าเขียวเจ้าอย่าทำแบบนี้เลย ต่อให้ทำให้ข้าหัวเราะจนตาย เจ้าที่ถูกขังอยู่ในบ่อน้ำโบราณนี้ก็ไม่มีทางได้สืบทอดมหามรรคของข้าหรอก”

แต่ต่อให้ถูกกระตุ้นเช่นนี้ นักพรตเฒ่าที่อยู่ใต้บ่อน้ำโบราณกลับทำได้เพียงคำรามกราดเกรี้ยวไม่ว่างเว้น ไม่ปรากฏตัวออกมาสักที

นี่ทำให้หลิงเสวียนจื่อรับรู้ได้ว่า เจ้าคนที่มีชีวิตมาตั้งแต่ยุคก่อนผู้นี้ยังสะสมพลังที่สามารถทำลายผนึกนี้ได้ไม่พออย่างเห็นได้ชัด!

พอคิดดู หลิงเสวียนจื่อก็ตัดสินใจว่าจะไม่อยู่ต่ออีก

เพียงแต่ก่อนไป หลิงเสวียนจื่อยื่นนิ้วมือกรีดวาดกลางอากาศอย่างต่อเนื่อง สลักลายกระบวนอันลึกลับสุดหยั่งเอาไว้กลางบ่อน้ำโบราณนั้น

จากนั้นเขาก็เอามือไพล่หลัง หัวเราะร่าเดินจากไปอย่างผ่าเผย

“เฒ่าเขียว ถ้าคราวหน้ามีวาสนาได้พบกันอีก ข้าจะช่วยเจ้าตั้งป้ายจารึกหลุมศพที่เลื่องลือไปหมื่นยุคสักอัน! ฮ่าๆๆ…”

เสียงดังก้องฟ้าดินค่อยๆ เงียบลงไป

ครู่ใหญ่ในบ่อน้ำโบราณนั้นเกิดละอองแสง แปลงเป็นนักพรตเฒ่าผู้หนึ่ง เขาจ้องทางที่หลิงเสวียนจื่อจากไปเขม็ง เผยสีหน้าแค้นเคืองเหี้ยมเกรียมคับฟ้า “วันที่หลุดไปได้ ข้าจะฆ่าล้างสำนักเจ้า!”

ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก้มหน้าลง มองดูผนังบ่อด้านนอก

ทันใดนั้นก็เหมือนถูกสายฟ้าฟาด!

เขาตัวสั่นไปทั้งตัว ส่งเสียงคำรามเดือดดาลไร้สิ้นสุดดังก้องไปทั้งห้วงอากาศ ทำเอาทั้งโบราณสถานมหามรรคยังปั่นป่วนขึ้นฉับพลัน

เห็นเพียงว่าบนผนังบ่อนั้นมีลายมรรคแน่นขนัดนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ร่างเป็นตัวอักษรใหญ่เหมือนมีชีวิต ส่องสว่างไปทั้งเก้าชั้นฟ้าตัวหนึ่ง

เขียว

………………………..

[1] หมวกเขียว มีความหมายแฝงถึงการถูกสวมเขา หรือคู่ครองของตนมีชู้

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท