Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2532 กำเริบเกินไปแล้ว

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2532 กำเริบเกินไปแล้ว

ตอนที่ 2532 กำเริบเกินไปแล้ว

หนานเทียนป้าตกตะลึง

ฝ่ามือนี้ทำลายศักดิ์ศรี หน้าตา และความหยิ่งทะนงของเขาจนย่อยยับไปพร้อมกัน สัมผัสได้ถึงความอับอายที่ไม่เคยมีมาก่อน

ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ เขายังไม่เคยเจอการหยามเหยียดเช่นนี้มาก่อน

ซ้ำยังเพิ่งเริ่มประมือกัน ก็ถูกฝ่ามือหนึ่งตบจนปลิว!

ผู้ฝึกปราณหลายร้อยคนบนลานประลองต่างรู้สึกเจ็บไปด้วย อกสั่นขวัญแขวนยากจะเชื่อ

บุคคลแห่งยุคที่ทิ้งชื่อไว้บนกระดานเร้นลับเหมือนกัน เป็นมกุฎมหาจักรพรรดิขั้นแปดเหมือนกัน แต่หนานเทียนป้า… กลับดูอ่อนแอไม่เอาไหนอยู่บ้าง!?

หนานหย่งเชียงสีหน้าไม่น่าดู แปลกใจสงสัยไม่หยุด

หนานเทียนเจิงกำสองหมัดแน่น แววตาเยียบเย็นครัดเคร่ง

ฝ่ามือนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายหยามเหยียดยิ่งใหญ่ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าหน้าหมองไปเช่นกัน ทั้งรู้สึกหนาวสะท้านอย่างบอกไม่ถูก

เจ้าหลินสวินนี่…

ทำไมถึงแข็งแกร่งเช่นนี้!?

จริงอยู่ว่าหลินสวินนี่จัดอยู่ในอันดับหนึ่งของประกาศจับ แต่ในสายตาเผ่าจักรพรรดิอมตะซึ่งมาจากน่านฟ้าที่เจ็ดอย่างพวกเขา สิ่งที่เรียกว่าประกาศจับนี้เป็นประกาศที่หมายหัวผู้ฝึกปราณของโลกพันจักรวาล

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ใครเคยเห็นผู้แข็งแกร่งของเผ่าจักรพรรดิอมตะถูกประกาศจับบ้าง

จริงอยู่ว่าหลินสวินเคยสังหารบรรพจารย์จักรพรรดิไม่ใช่แค่คนเดียว

แต่ทุกการคาดเดากับข่าวลือ ล้วนบอกว่าหลินสวินใช้ไพ่ตายบางอย่างจึงทำได้ถึงขั้นนี้

แต่ปัจจุบันภายใต้พลังกฎระเบียบบนสมรภูมิทวยเทพนี้ ไม่อนุญาตให้ ‘พลังภายนอก’ อย่างไพ่ตายปรากฏโดยสิ้นเชิง!

นี่ก็หมายความว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นบนสมรภูมิทวยเทพ เป็นการห้ำหั่นที่ยุติธรรมที่สุด สิ่งที่ใช้เปรียบเทียบคือมรรควิถีและพลังต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย

แต่ตอนนี้พลังที่ฝ่ามือของหลินสวินสำแดงออกมานั้น เห็นชัดว่ามีพลังกำราบหนานเทียนป้าแล้ว!

นี่อยู่เหนือการคาดเดาของพวกหนานหย่งเชียงโดยสิ้นเชิง

“ข้าจะฆ่าเจ้า!” หนานเทียนป้าส่งเสียงคำราม ผมยาวแผ่สยาย พุ่งเข้าใส่หลินสวินเหมือนคลุ้มคลั่ง

ตูม!

อสนีบาตสีม่วงบนตัวเขาวิวัฒน์เป็นยันต์ประหลาดใบหนึ่ง กฎเกณฑ์มรรคอสนีนานัปการผสานเป็นสุริยันจันทราภูผาธารา ทันทีที่ปรากฏก็แผ่กลิ่นอายราวกับจะทำลายกาลนิรันดร์ออกมา

ยันต์อสนีตะวันจันทรา!

นี่คือสิ่งที่ควบรวมจากพลังพรสวรรค์ของหนานเทียนป้า ในน่านฟ้าที่เจ็ดของโลกยอดนิรันดร์ พรสวรรค์นี้ถูกยกย่องว่าเป็นพรสวรรค์ชั้นสูง น่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อสำแดงออกมาจะกำราบหมื่นมาร ราวกับครอบครองอสนีบาตทัณฑ์สวรรค์!

ห้วงอากาศปั่นป่วนถูกอสนีบาตเจิดจ้าปกคลุม ยันต์อสนีตะวันจันทราแผ่คลุมไปทางหลินสวินเหมือนเคราะห์สวรรค์

กลับเห็นหลินสวินกุมทวนศึกสีม่วงเล่มนั้นแล้วแทงออกมาลวกๆ

ตูม!

ยันต์บนท้องฟ้าเหนือศีรษะหลินสวินระเบิดออก ละอองแสงอสนีม้วนซัดกระเซ็น ต้านทานไม่ได้แม้แต่การโจมตีเดียว

“เทียนป้า ถอยเร็ว!” หนานหย่งเชียงส่งเสียงตะโกน ใบหน้าชราล้วนเปลี่ยนไป มีหรือจะดูไม่ออกว่าหนานเทียนป้าไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของหลินสวินได้อย่างสิ้นเชิง

แต่คำเตือนนี้ช้าไปแล้ว

ก็เห็นเงาร่างหลินสวินไหววูบ พุ่งทะยานไปเบื้องหน้าทันที ทวนศึกสีม่วงในมือราวแสงไหวเคลื่อนดุดันหาใดเปรียบ กรีดห้วงอากาศเป็นทางยาว เกิดเสียงระเบิดอึกทึกสนั่นหู

กลิ่นอายอันตรายถึงขีดสุดเสียดกระดูกจนหนานเทียนป้าตัวแข็งทื่อ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมาก ได้สติจากอาการโกรธเกรี้ยว แต่กลับถอยร่นไม่ทันแล้ว

“ผสาน!”

เขาส่งเสียงคำราม ดวงตาแดงก่ำ เบื้องหน้ามีแสงลึกลับไร้สิ้นสุดระเบิดออก ควบรวมเป็นโล่แสง มายาสัตว์เทพเต่าดำตัวหนึ่งเทียวผลุบเทียวโผล่อยู่ภายใน เผยกลิ่นอายทรงพลังเกินต้านทาน

โล่ราชันเต่าดำ!

ยอดวิชาอย่างหนึ่งที่สืบทอดในตระกูลหนาน พลังป้องกันแข็งแกร่งหาใดเปรียบ ถูกขนานนามว่าเต่าดำปรากฏ เทพผียากแผ้วพาน

ตูม!

ทวนศึกสีม่วงพุ่งจู่โจมออกมา มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าโล่ราชันเต่าดำนั้นสั่นสะเทือนรุนแรงทันที จากนั้นก็เกิดรอยแยกนับไม่ถ้วน ระเบิดออกสนั่นหวั่นไหว

พลังเฉียบคมไร้ใดเปรียบนั้นรุกเข้าไปดุจผ่าลำไผ่ ทะลวงพลังพิทักษ์กายของหนานเทียนป้าทุกชั้น ละอองแสงระเบิดซ่านเซ็นราวน้ำตก

จากนั้น…

ทวนศึกทะลวงร่างของหนานเทียนป้าดังฟุ่บ เลือดสดแดงก่ำร้อนฉ่าไหลพุ่ง สาดพรมห้วงอากาศ

อานุภาพของการโจมตีเดียว ทำลายโล่ราชันเต่าดำ โจมตีทะลวงร่างหนานเทียนป้า!

เหตุการณ์นองเลือดที่อหังการหาใดเปรียบนั้น ทำให้ทุกคนบนลานประลองใจสั่นสะท้านรุนแรง หนังศีรษะชาวาบ แทบจะหยุดหายใจ

“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้”

“บัดซบ!”

หนานหย่งเชียงและเหล่าผู้แข็งแกร่งตระกูลหนานตาแทบถลน ส่งเสียงร้องอย่างยากจะเชื่อ

บนสมรภูมิทวยเทพ

หนานเทียนป้าสีหน้าค้างแข็ง ดวงตาถลน มองทวนศึกสีม่วงที่แทงเข้ามาในร่าง พลันรู้สึกได้ถึงการเยาะหยันที่ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่า

เดิมทีทวนศึกนี้เป็นศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ของเขา แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นอาวุธคร่าชีวิตเขา…

“เดิมทีเจ้าไม่ใช่คนแรกที่ต้องตาย ทำไมถึงใจร้อนเช่นนี้เล่า”

หลินสวินถอนหายใจเบาๆ

ยังไม่ทันสิ้นเสียง เมื่อเขายกทวนศึกสีม่วงขึ้น ร่างของหนานเทียนป้าก็ถูกชูขึ้นกลางอากาศ

ปัง!

ร่างกายหนานเทียนป้าระเบิดออก ฝนโลหิตสาดพรมราวน้ำตก

มกุฎมหาจักรพรรดิขั้นแปดที่น่าเกรงขามของตระกูลหนานแห่งน่านฟ้าที่เจ็ด กลับถูกทวนศึกของตัวเองสังหาร เลือดสาดกระเซ็นฟ้า!

ภาพนี้ช่วยเสริมให้เงาร่างสูงตระหง่านนั้นของหลินสวินราวกับเทพมารองค์หนึ่ง ทั้งทำให้ในลานประลองเงียบสนิท เหล่าผู้กล้าต่างตระหนก

ทุกคนล้วนอึ้งงันอยู่ตรงนั้น แววตาเหม่อลอย

แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

ในการต่อสู้นี้หลินสวินสำแดงพลังไร้เทียมทานตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะเป็นการใช้ฝ่ามือตบหนานเทียนป้าจนปลิว หรือใช้ทวนศึกสังหารอีกฝ่ายในตอนนี้ ทั้งหมดล้วนหมดจดชัดเจน พลังทำลายรุนแรง ทำให้หนานเทียนป้าไม่มีแรงดิ้นรนแม้แต่น้อย

อย่าว่าแต่ขัดขืน ต่อให้สู้ตายก็เปล่าประโยชน์!

และก็เป็นยามนี้ที่ผู้คนเพิ่งรู้ซึ้ง ว่าอะไรที่เรียกว่าภายใต้ชื่อเสียงมาพร้อมความสามารถแท้จริง หลินสวินสร้างชื่อสะเทือนแดนใหญ่พันศึก อาละวาดเหิมเกริมตลอดทางจนมาถึงเมืองจรดฟ้าได้ สิ่งที่พึ่งพาทั้งหมด ย่อมไม่ใช่แค่ไพ่ตายบางส่วนเท่านั้นแน่!

ฟุ่บ!

บนสมรภูมิทวยเทพปรากฏแสงเซียนทองอร่ามสายหนึ่ง พุ่งเข้าไปในร่างหลินสวิน

นี่คือหลักฐานลึกลับอย่างหนึ่ง เมื่อเอาชนะคู่ต่อสู้คนหนึ่งก็จะได้รับแสงเซียนสายหนึ่งเป็นหลักฐาน

เมื่อชนะเก้าครั้งติดต่อกัน แสงเซียนพวกนี้ก็จะเปลี่ยนเป็นป้ายยืนยันป้ายหนึ่ง กลายเป็นหลักฐานเพื่อเข้าสู่ ‘การล่าสัตว์’ ด่านที่สอง

หลินสวินไม่สนใจสายตาโกรธแค้นที่เกือบฆ่าคนได้ของตระกูลหนานสักนิด เริ่มจัดการกับทรัพย์หลังศึกต่อไป

แหวนเก็บของของหนานเทียนป้า ศาสตราจักรพรรดินานัปการที่หล่อเลี้ยงในโลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ ล้วนถูกหลินสวินเก็บรวบรวมไปหมด

“มกุฎมหาจักรพรรดิขั้นแปดที่น่าเกรงขาม บุคคลชั้นสูงแห่งตระกูลหนาน ในตัวกลับมีสมบัติแค่นี้ น่าเกลียดเกินไปแล้วกระมัง”

หลังจากตรวจสอบเสร็จ หลินสวินขมวดคิ้วกล่าวอย่างอดไม่ได้

ในที่นั้นเงียบสงัด สายตาเหล่าผู้กล้าดูพิกล หนานเทียนป้าตายแล้ว ของสำคัญถูกขูดรีดก็ช่างเถิด แต่ยังถูกวิจารณ์เช่นนี้อีก นี่มันรังแกกันเกินไปแล้ว

หนานหย่งเชียงและคนตระกูลหนานโกรธจนอกแทบแตก แต่ละคนเดือดดาลมีโทสะ

“เจ้า! สวะ! ข้าจะไปฆ่าเจ้า!”

หนานหย่งเชียงโกรธจนผมตั้ง กำลังจะมุ่งหน้าไปสมรภูมิทวยเทพ แต่กลับถูกหนานเทียนเจิงห้ามไว้

“ข้าจัดการเอง”

เขากล่าวเน้นทุกคำ เสียงเหมือนลอดจากไรฟัน แฝงความเยียบเย็นและไอสังหารเสียดกระดูก เมื่อมองดูหลินสวินอีกครั้งก็ยิ่งอำมหิตจนน่ากลัว

“เทียนเจิง เทียนป้าตายไปแล้ว เจ้าจะเป็นอะไรไปอีกไม่ได้ ให้ข้าไปเองเถอะ” หนานหย่งเชียงกล่าว

อย่ามองว่าเขาเกรี้ยวกราดแทบคลั่ง ความจริงในใจก็รู้ดีว่าคนทั่วไปไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้หลินสวินได้

“ไม่ ข้าจัดการเอง!”

แววตาหนานเทียนเจิงเคร่งขรึมเย็นชาราวกับดาบ “ข้าฝึกปราณมาถึงตอนนี้หนึ่งหมื่นสามร้อยปี ขาดแค่ก้าวเดียวก็จะบรรลุระดับมกุฎมหาจักรพรรดิขั้นเก้า หากข้าถอยตอนนี้ สภาวะจิตต้องสั่นคลอนแน่ เมื่อขาดเจตจำนงไร้คู่ต่อกรเช่นนี้ มีหรือจะไปหลอมมรรคแห่งมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิได้”

หนานหย่งเชียงสีหน้าปรวนแปรไม่หยุด ลังเลหาใดเปรียบ

บนสมรภูมิทวยเทพ หลินสวินยิ้มน้อยๆ “พูดพล่ามมากพอแล้ว ก่อนหน้านี้เจ้าร้องเอ็ดตะโรมากที่สุดไม่ใช่หรือ อย่าถ่วงเวลาเลย ขึ้นมารับความตายเถอะ”

น้ำเสียงเจือแววถากถาง ทำให้คนตระกูลหนานโกรธจนควันออกหู เจ้าหลินสวินบัดซบนี่ไม่กำเริบเกินไปหน่อยหรือ!

“ท่านก็เห็นว่าความหยิ่งทะนงของเขากำเริบเสิบสานและไม่ธรรมดาระดับใด หากไม่สังหารเขา ต้องเป็นมารในใจของข้าแน่!”

หนานเทียนเจิงพูดพลางก้าวสู่ทางเดินสีทองนั่น เงาร่างปรากฏอยู่บนสมรภูมิทวยเทพนั้นในพริบตา

“เทียนเจิง ระวังตัวด้วย!” หนานหย่งเชียงอดกล่าวเตือนไม่ได้ รู้สึกกังวลอยู่บ้าง

ตูม!

ชุดสีเทาของหนานเทียนเจิงโบกสะบัด ร่างผอมบางเปลี่ยนเป็นสูงใหญ่และเจิดจรัสในชั่วขณะเดียว กฎเกณฑ์สีครามเข้มไร้สิ้นสุดสานพันออกมา ควบรวมเป็นดวงตะวันสีเขียวเหนือศีรษะเขา สาดส่องเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน

เมื่อมองอย่างละเอียด ดวงตะวันสีเขียวนั่นพาให้คนรู้สึกถึงความสมบูรณ์แบบ เจิดจรัส ไร้ขอบเขต นี่หมายความว่ามรรควิถีในระดับนี้ของเขาบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์อย่างแท้จริงแล้ว

เป็นอย่างที่เขาพูด ขาดแค่จุดเปลี่ยนเดียว เขาก็จะบรรลุระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ!

หลินสวินเลิกคิ้วกล่าว “หวังว่าเจ้าจะยืนหยัดได้นานหน่อย ไม่อย่างนั้นตอนสู้คงน่าเบื่อเกินไป”

หนานเทียนเจิงสีหน้าเย็นชากล่าว “วางใจเถอะ บนมรรคาของข้า เจ้าย่อมเป็นได้แค่ฐานรองเหยียบ”

ชิ้ง!

เสียงโจมตีกังวานกึกก้องดังออกมาจากดวงตะวันสีเขียวเหนือศีรษะหนานเทียนเจิง สั่นสะเทือนห้วงอากาศแถบนั้นจนปั่นป่วน

จากนั้นทวนศึกเล่มหนึ่งที่อบอวลด้วยแสงมรรคชวนประหวั่นก็โผล่ออกมาจากดวงตะวันสีเขียวช้าๆ ทุกชุ่นที่ปรากฏ แสงมรรคชวนประหวั่นนั้นจะเปล่งประกาย

เมื่อทวนศึกนั้นปรากฏขึ้นอย่างสมบูรณ์ ทุกคนบนลานประลองรู้สึกเพียงแสบตาไปหมด จิตใจเหมือนได้รับแรงสะเทือน รู้สึกหวาดผวาอย่างบอกไม่ถูก

“ทวนหมื่นมายา!?” มีคนร้องออกมา

เมื่อมองอย่างละเอียด ทวนศึกนั้นยาวหนึ่งจั้งแปดชุ่น แสงมรรคเย้ยฟ้าอบอวล ตัวทวนราวกับเสาค้ำยันแผ่นฟ้า ปลายทวนนั้นกลับเหมือนดาบตัดวิถีสวรรค์ ส่องประกายเจิดจ้า เฉียบคมหาใดเปรียบ

มองเห็นว่าบนทวนศึกนั้นปรากฏอักษรมรรคดั้งเดิมรางๆ เคลื่อนคล้อยไหววูบอยู่ในแสงมรรค กลิ่นอายน่าหวาดกลัวไร้จำกัด

“ไม่ นี่ไม่ใช่ทวนหมื่นมายาที่แท้จริง แต่มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ของทวนหมื่นมายาอยู่รางๆ”

มีคนพูดเสียงเบา

ทวนหมื่นมายา นั่นเป็นยอดสมบัติพิทักษ์ตระกูลของตระกูลหนานแห่งน่านฟ้าที่เจ็ด เล่าลือว่ากำเนิดในพลังต้นกำเนิดของระเบียบระดับสวรรค์ อานุภาพเกินคาดเดา มีเพียงบุคคลชั้นยอดที่ก้าวสู่มรรคาอมตะถึงสามารถใช้สมบัตินี้ได้

“ดี เทียนเจิงไม่ได้ถูกโทสะจู่โจมจนเสียสติ” หนานหย่งเชียงเป่าปากโล่งอกในใจ

“พี่ชาย ฆ่ามันเลย! แก้แค้นให้เทียนป้า!”

เหล่าคนตระกูลหนานยิ่งตะโกนเสียงดังขึ้นมา เสริมอานุภาพให้หนานเทียนเจิง ไอสังหารแผ่ซ่าน

“ทวนศึกเล่มนี้ไม่ธรรมดา คงนำไปขายได้ผลึกต้นกำเนิดจักรวาลไม่น้อย”

กลับเห็นว่าในสมรภูมิทวยเทพ สายตาหลินสวินประเมินทวนศึกของหนานเทียนเจิงแล้วพูดลอยๆ “ประเดี๋ยวยามลงมือข้าจะระวังหน่อย หลีกเลี่ยงการทำลายสมบัตินี้ ไม่อย่างนั้นจะขายไม่ได้ราคา”

ทุกคนออกอาการอึ้งงัน “…??”

สีหน้าของเหล่าคนตระกูลหนานดำทะมึน เจ้าหลินสวินบัดซบนี่ กำเริบเกินไปแล้ว!

มีเพียงหนานเทียนเจิงที่อารมณ์ราบเรียบไร้คลื่นลม กล่าวอย่างเฉยชา “เจ้าอยากได้ทวนศึกของข้า แต่ข้ากลับต้องการชีวิตของเจ้า!”

…………………….

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท