Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2607 สี่หอบรรพจารย์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2607 สี่หอบรรพจารย์

ตอนที่ 2607 สี่หอบรรพจารย์

สามปีหลังจากนั้น

ตระกูลหลิ่วเซียงแห่งน่านฟ้าที่เจ็ด

ในโลกเล็กๆ ที่แปลงจากถ้ำสวรรค์แดนมงคลอันเงียบสงบและสวยงาม เซี่ยงเสี่ยวหยวนในชุดกระโปรงยาวสีเหลืองห่านนั่งอยู่ในศาลากลางสระ

ห่างออกไปนกกระเรียนขาวสะบัดปีก สายลมพัดมาเบาๆ ผสานไอวิญญาณที่เข้มข้นและกลิ่นหอมดอกไม้ใบหญ้าอันสดชื่น ทำให้คนหัวใจเบิกบาน

“คุณหนู นี่คือข่าวใหม่ที่สุด”

ข้ารับใช้หญิงที่งดงามว่านอนสอนง่ายคนหนึ่งเดินมา ยื่นม้วนหยกม้วนหนึ่งให้เซี่ยงเสี่ยวหยวนพร้อมรอยยิ้ม “คนร้ายกาจแซ่หลินนั่น… ร้ายกาจจริงๆ มิน่าคุณหนูถึงคิดถึงขนาดนี้”

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์

เซี่ยงเสี่ยวหยวนจ้องนางคราหนึ่ง อีกฝ่ายแลบลิ้นเล็กอย่างทะเล้นแล้วหมุนตัวจากไปพร้อมรอยยิ้ม

เซี่ยงเสี่ยวหยวนเปิดม้วนหยก ในม้วนหยกบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ไว้

‘หนึ่งเดือนที่แล้ว หลินสวินปรากฏตัวในน่านฟ้าที่สี่ ภายในเจ็ดวันโจมตีสำนักศึกษาสามแห่ง ทำให้เกิดการนองเลือดอีกครั้ง’

‘จากข้อมูล การต่อสู้ครั้งนี้ เหล่าคนที่รับใช้เผ่าจักรพรรดิอมตะแตกต่างกันไปร่วงหล่นสี่สิบหกคน…’

‘หลังจากเหตุการณ์นี้ น่านฟ้าที่สี่จมสู่ความแตกตื่น ทุกคนบนโลกล้วนสะท้านสะเทือนกับการกระทำของหลินสวิน’

‘แม้ขุมอำนาจเผ่าจักรพรรดิอมตะจะเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว แต่สุดท้ายหลินสวินยังคงหลุดรอดไปได้อย่างปลอดภัย จากไปอย่างยิ่งใหญ่’

‘ทุกคนล้วนรู้ว่าเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้จะเกิดขึ้นในน่านฟ้าที่ห้าในอีกไม่นาน…’

…อ่านข่าวในม้วนหยกเงียบๆ ซ้ำอยู่หลายรอบ ริมฝีปากแดงฉ่ำของเซี่ยงเสี่ยวหยวนเผยอออกเล็กน้อย ถอนหายใจยาวออกมา ผ่อนคลายลงไม่น้อย

ตอนนั้นหลังจากเรื่องที่โบราณสถานทวยเทพจบลง ภายใต้การนำทางของหลิ่วเซียงเชวียอาของนาง เซี่ยงเสี่ยวหยวนก็ได้มาฝึกปราณในอาณาเขตของตระกูลหลิ่วเซียงแห่งน่านฟ้าที่เจ็ดแห่งนี้

ในหลายปีที่หลินสวินหายตัวไป เซี่ยงเสี่ยวหยวนมักจะคิดถึงเขา เพียงแต่ทุกครั้งที่คิดถึงก็อดนึกเสียใจไม่ได้

ยามอยู่ในแดนใหญ่พันศึกหลินสวินช่วยนางไว้มาก ทว่านอกโบราณสถานทวยเทพนั่น ตอนที่หลินสวินพบเจอความยากลำบาก นางกลับทำได้เพียงหลบอยู่ในเมืองจรดฟ้า ไม่สามารถช่วยอะไรได้ นี่ทำให้นางนึกเสียใจและโทษตัวเองมาโดยตลอด

เซี่ยงเสี่ยวหยวนรู้ดีว่าต่อให้ตอนนั้นนางไปช่วยโดยไม่ห่วงตัวเองก็ไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย ถึงขั้นมีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะกลายเป็นภาระหลินสวิน

แต่ความรู้สึกโทษตัวเองและเสียใจก็ยังไม่สามารถขจัดได้

หลายปีมานี้นางฝึกปราณอย่างยากลำบากในตระกูลหลิ่วเซียง แทบไม่ออกจากบ้าน ก็เพื่อวันหนึ่งจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้!

และเมื่อสามปีก่อนตอนที่รู้ข่าวว่าหลินสวินปรากฏตัวในน่านฟ้าที่หนึ่ง เซี่ยงเสี่ยวหยวนดีใจยิ่ง และตั้งแต่ตอนนั้นนางก็เริ่มติดตามและให้ความสำคัญกับทุกอย่างเกี่ยวกับหลินสวิน

สามปีแล้ว

นานๆ ทีจะมีข่าวเกี่ยวกับหลินสวินกระจายออกมา

ในน่านฟ้าที่สอง เขาบุกสำนักศึกษาเก้าทมิฬกลางดึก ฟันศีรษะอย่างนองเลือด และทิ้งตัวอักษรไว้ว่า ‘หลินสวินมาเยือนที่นี่’ สร้างชื่อเกริกก้อง

ในน่านฟ้าที่สาม เขาเคลื่อนไหวอย่างลึกลับ ยากจับร่องรอย ทว่าขอเพียงแค่เขาปรากฏตัว ก็จะต้องมีเรื่องนองเลือดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

พวกคนที่ถูกเขาฆ่า ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตที่ทำตามคำสั่งขุมอำนาจศัตรูเหล่านั้นทั้งหมด

ในระหว่างนี้ขุมอำนาจเผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้นเคยส่งกองกำลังมากมายมาตามฆ่าหลินสวิน แต่หลินสวินหนีไปก่อนแทบจะทุกครั้ง

ทุกๆ น่านฟ้าล้วนกว้างใหญ่ไพศาลอย่างที่สุด

ทว่าหลินสวินตัวคนเดียว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือพลังต่อสู้ของเขาเรียกได้ว่าไร้ศัตรูในระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ ครอบครองวิชาเหลือเชื่อมากมาย

ทำให้แม้แต่คนใหญ่โตระดับอมตะเข้าร่วมการตามล่าก็ยังคว้าน้ำเหลว ไม่สามารถจับร่องรอยที่แม่นยำของหลินสวินได้

ยามที่ทุกคนคิดว่าเขาจะเปิดฉากเข่นฆ่า เขากลับเงียบสงบเหมือนหายตัวไป และเมื่อทุกคนผ่อนคลาย เขาก็จะปรากฏตัวโดยไม่รู้ตัว

มาอย่างกะทันหันและจากไปอย่างรวดเร็ว

เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ทำให้เผ่าจักรพรรดิอมตะยังปวดหัวอย่างควบคุมไม่อยู่

ตามฆ่าคนผู้หนึ่งในโลก โดยเฉพาะคนผู้นั้นยังเป็นพวกร้ายกาจที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง ยากมากจริงๆ

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือหลินสวินเดินทางเพียงลำพัง ทำอะไรตามใจ ไม่กลัวการคุกคามใดๆ แม้ก่อเรื่องเย้ยฟ้าพลิกดิน หากไม่อาจจับร่องรอยเขาได้ ก็ทำได้เพียงมองดูด้วยความสิ้นหวังเท่านั้น

สามปีแล้ว เริ่มตั้งแต่น่านฟ้าที่หนึ่งจนตอนนี้น่านฟ้าที่สี่ จะมีข่าวฮือฮาของหลินสวินกระจายออกมาเป็นระยะๆ

ที่มาพร้อมกับข่าวฮือฮาเหล่านั้น มักจะเป็นพายุนองเลือด

เผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้นเกลียดหลินสวินเข้ากระดูก ทั้งอึ้งทั้งโกรธ

ผู้ฝึกปราณทั่วไปส่วนใหญ่บนโลกล้วนมองหลินสวินเป็นตำนาน ผู้ที่เคารพนับถือ ผู้ที่ชื่นชม ผู้ที่คลั่งไคล้ ผู้ที่เลื่อมใส… มีนับไม่ถ้วน

แม้ตัวเซี่ยงเสี่ยวหยวนเอง ทุกครั้งที่เห็นข่าวหลินสวินที่ออกมาเป็นระยะๆ ก็ถอนหายใจไม่หยุด

นี่ก็คือโลกยอดนิรันดร์!

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเคยปรากฏคนร้ายกาจเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

ไม่กลัวขุมอำนาจเผ่าจักรพรรดิอมตะ ก่อความวุ่นวายจนทั่วหล้าสั่นไหว เย้ยฟ้าพลิกดิน

‘เพียงแต่ เป็นเช่นนี้ต่อไปสถานการณ์ของเจ้าจะยิ่งอันตรายขึ้นเรื่อยๆ หากเจอเรื่องที่เหนือความคาดหมายอะไร เช่นนั้นจุดจบ…’

เซี่ยงเสี่ยวหยวนส่ายหน้า ไม่กล้าคิดต่อ

สามปีมานี้หลินสวินฆ่าผู้แข็งแกร่งที่รับใช้ขุมอำนาจเผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้นไม่รู้เท่าไหร่ ความเคลื่อนไหวที่ก่อขึ้นก็ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ

เขาในตอนนี้ ดูเหมือนดุร้าย ไม่มีใครสามารถปราบได้ แต่พวกขุมอำนาจเผ่าจักรพรรดิอมตะที่ถูกกระตุ้นความโกรธ จะหยุดแค่นี้ได้อย่างไร

สามารถพูดได้ว่า พร้อมกับเวลาที่ล่วงเลยไป หากหลินสวินยังสังหารเช่นนี้ต่อไป สถานการณ์ของเขาถูกกำหนดให้อันตรายขึ้นเรื่อยๆ!

“เสี่ยวหยวน”

ห่างออกไป เงาร่างที่สูงใหญ่น่าเกรงขามของหลิ่วเซียงเชวียปรากฏขึ้น

“ท่านอา ท่านมีธุระอะไรหรือ”

เซี่ยงเสี่ยวหยวนได้สติจากความคิดที่สับสนวุ่นวาย ลุกขึ้นต้อนรับ

“ข้าเพิ่งได้ข่าวว่า หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดจะเลือกผู้สืบทอดในอีกสิบปี มีเพียงมกุฎมหาจักรพรรดิจึงสามารถเข้าร่วมได้!” หลิ่วเซียงเชวียตื่นเต้นมาก

“หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดเช่นนั้นหรือ” เซี่ยงเสี่ยวหยวนเผยสีหน้าสงสัย

หลิ่วเซียงเชวียเพิ่งจะตระหนักได้ว่า เซี่ยงเสี่ยวหยวนเพิ่งมาถึงน่านฟ้าที่เจ็ดไม่กี่ปี ยังไม่รู้ความสำคัญของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด

เขาอธิบายอย่างใจเย็น

ในยุคแรกของโลกยอดนิรันดร์ ก็มีสี่หอบรรพจารย์ตั้งอยู่ในน่านฟ้าที่เจ็ดแล้ว แบ่งเป็นลัทธิแรกกำเนิด ลัทธิวิญญาณ ลัทธิพ่อมดและลัทธิฌาน

สี่หอบรรพจารย์นี้ถูกเรียกอีกชื่อว่า ‘สี่ลัทธิแรกปฐม’

ลือกันว่าบรรพจารย์สี่หอบรรพจารย์ ล้วนเป็นพวกอันน่ากลัวที่มาจากน่านฟ้าที่เก้า ทุกคนล้วนมีวิชาไร้เทียมทานปานอมตะ!

มีตำนานที่ลึกลับเช่นนี้ ทำให้สี่หอบรรพจารย์กลายเป็นสี่ขุมอำนาจใหญ่ที่โดดเด่นที่สุดในน่านฟ้าที่เจ็ดแห่งโลกยอดนิรันดร์

ถึงขั้นที่แม้แต่สิบยักษ์ใหญ่อมตะที่ยึดครองน่านฟ้าที่แปดอยู่ ยังยอมสี่หอบรรพจารย์ ไม่กล้าล่วงเกินง่ายๆ

ตรงกันข้าม ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้ฝึกปราณของขุมอำนาจสิบยักษ์ใหญ่อมตะไม่รู้เท่าไหร่แย่งกันเข้าไปรับใช้ในสี่หอบรรพจารย์ไม่รู้เท่าไหร่!

นี่ขับให้ฐานะของสี่หอบรรพจารย์ยิ่งโดดเด่นอย่างไม่ต้องสงสัย

เพียงแต่สำหรับผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ในโลกนี้ พวกของสี่หอบรรพจารย์ ก็เลื่อนลอยเหมือนตำนานที่ไม่อาจมองเห็นได้

เหตุผลเพราะว่า แตกต่างจากขุมอำนาจเผ่าจักรพรรดิอมตะที่อยู่ในแดนนี้ แต่สี่หอบรรพจารย์อยู่นอกแดน น้อยมากที่จะมีข่าวเกี่ยวกับพวกเขาเผยแพร่ออกมา

แต่ในสายตาของเผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้น สี่หอบรรพจารย์หมายความถึงลัทธิที่ยิ่งใหญ่สี่ลัทธิ เป็นขุมอำนาจโดดเด่นที่เพียงพอจะให้พวกเขาชื่นชม!

ถึงอย่างไรในข่าวลือ สี่หอบรรพจารย์ก็มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไม่อาจตัดขาดกับน่านฟ้าที่เก้า!

นี่เพียงพอที่จะทำให้ทุกขุมอำนาจเผ่าจักรพรรดิอมตะเคารพนับถือ

ความเป็นจริง สำหรับขุมอำนาจใหญ่ที่ฝังรากในน่านฟ้าที่เจ็ด ย่อมรู้ความลึกลับของสี่หอบรรพจารย์ชัดเจนกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

อิงตามที่หลิ่วเซียงเชวียพูด ตลอดเวลาที่ผ่านมา ขอเพียงแค่คนที่สามารถเข้าไปฝึกปราณในสี่หอบรรพจารย์ได้ ก็เท่ากับมีสิทธิ์ที่จะไปฝึกปราณที่น่านฟ้าที่แปดแล้ว

ถึงขั้นที่ในข่าวลือยังมีผู้โดดเด่นตะลึงโลก เข้าตาบุคคลไร้เทียมทานของน่านฟ้าที่เก้า พาเขากลับไปฝึกปราณในน่านฟ้าที่เก้า!

เพียงแต่น่าเสียดาย น้อยมากที่สี่หอบรรพจารย์จะประกาศรับศิษย์กับโลกภายนอก

ขุมอำนาจใหญ่ที่โดดเด่นเหล่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนก้าวเดินบนโลก ไปตามหาและค้นพบ ‘ลูกศิษย์’ ที่พวกเขายอมรับได้ด้วยตัวเอง

เพียงแต่ผู้โชคดีที่ถูกเลือกก็ยังน้อยมาก

ในความทรงจำของหลิ่วเซียงเชวีย เมื่อนานมาแล้ว หอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณเคยประกาศข่าวรับผู้สืบทอดทั่วหล้า แม้จำนวนจะเพียงแค่สามสิบคน

แต่ก็สะเทือนในโลกยอดนิรันดร์ทันที สร้างความฮือฮาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

จนตอนนี้หลิ่วเซียงเชวียยังลืมไม่ลงว่า ตอนนั้นผู้นำตระกูลของสิบยักษ์ใหญ่อมตะแห่งน่านฟ้าที่แปดยังนำกองกำลังไปเข้าร่วมการฝึกหลอม ความยิ่งใหญ่ของอานุภาพ เรียกได้ว่าไร้เทียมทาน

และเหล่าเผ่าจักรพรรดิอมตะน่านฟ้าที่เจ็ดต่างเตรียมพร้อมลงมือ ใช้ทรัพยากรและพลังทั้งหมด พยายามแย่งอันดับจากสามสิบอันดับนี้

สำหรับเผ่าจักรพรรดิอมตะแห่งน่านฟ้าที่เจ็ดก็ทนไม่ไหวแล้ว ใช้เส้นสายและพลังต่างๆ พยายามส่งลูกหลานที่โดดเด่นที่สุดของเผ่าไปยังน่านฟ้าที่เจ็ด เพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกครั้งนี้

สถานการณ์อันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ไม่เคยมีมาก่อนอย่างแน่นอน!

ตอนนี้เองหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดกลับประกาศกับภายนอกว่า จะประกาศคัดเลือกผู้สืบทอดอย่างเป็นทางการในอีกสิบปีข้างหน้า นี่จะไม่ให้หลิ่วเซียงเชวียตื่นเต้นได้อย่างไร

ความเป็นจริง ตอนที่เขาได้รับข่าว ทั้งน่านฟ้าที่เจ็ดต่างตกใจกับข่าวนี้ เกิดความโกลาหลขึ้น

สิบปี

ดูเหมือนจะไกลมาก ทว่าสำหรับผู้ฝึกปราณ กลับไม่ถึงกับนาน

กลับเพราะมีเวลาช่วงนี้ สามารถให้พวกเขาเตรียมความพร้อมเพื่อการคัดเลือกครั้งนี้!

ได้รู้เรื่องพวกนี้ เซี่ยงเสี่ยวหยวนเองก็อดตะลึงไม่ได้

สี่หอบรรพจารย์!

นั่นควรจะเป็นขุมอำนาจที่โดดเด่นน่ากลัวเพียงใด

แม้แต่รับผู้สืบทอด ยังต้องมีมรรควิถีของมกุฎมหาจักรพรรดิ เพียงแค่จุดนี้ ก็สามารถรู้ได้ว่า เบื้องลึกเบื้องหลังของขุมอำนาจนี้แข็งแกร่งเพียงใด

“เสี่ยวหยวน ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เจ้าจะต้องตั้งใจฝึกปราณ เมื่อถึงกำหนดสิบปี ในตระกูลจะจัดการต่อสู้ขึ้น เลือกคนที่โดดเด่นที่สุดของเผ่าสามคน เป็นตัวแทนของหลิ่วเซียงไปเขาร่วมการคัดเลือกหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด แม้เจ้าไม่ใช่สกุลหลิ่วเซียง แต่ในร่างกายก็มีเลือดของหลิ่วเซียงไหลอยู่ เจ้าได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมการต่อสู้ของเผ่าแล้ว เจ้าอย่าได้เสียโอกาสเช่นนี้ไป หากสามารถเข้าไปฝึกในลัทธิแรกกำเนิดแห่งหอบรรพจารย์ได้…”

พูดถึงตรงนี้ ในดวงตาของหลิ่วเซียงเชวียเผยความปรารถนา “ถึงตอนนั้น แม้เข้าสู่น่านฟ้าที่แปดก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร! ถึงขั้นที่…ยังมีโอกาสทำความเข้าใจเกี่ยวกับความลึกลับของน่านฟ้าที่เก้า ”

เซี่ยงเสี่ยวหยวนอึ้งไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นในใจตื่นเต้นขึ้นมาอย่างยากจะเห็น

………………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท