Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2627 ผู้ร้ายหลังม่านตัวจริง

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2627 ผู้ร้ายหลังม่านตัวจริง

ตอนที่ 2627 ผู้ร้ายหลังม่านตัวจริง

หวั่นโหรวอดมองไปทางหลินสวินไม่ได้

หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ

หวั่นโหรวจึงหยิบกล่องหยกทรงไม้บรรทัดกล่องหนึ่งออกมา ก่อนยื่นผ่านอากาศไป

จอมมรรคมารแดงหยั่งจิตรับรู้เข้าไปมองข้างในทันทีที่ของถึงมือ และเผยแววยินดีพึงใจออกมาทันที

เขาเก็บกล่องหยกอย่างระมัดระวังก่อนกล่าวว่า “ไม่ผิด เป็นกระดูกบริสุทธิ์ฟ้าประทานของบรรพจารย์คุนจริงๆ พวกเจ้าไปได้แล้ว”

“คุณหนู พวกเราไปเถอะ” ลุงเจียวกล่าว

หวั่นโหรวคว้ามือน้องชายป๋ออันก่อนหมุนตัวออกไป

นางในเวลานี้ภายในใจเคร่งเครียดหาใดเปรียบ ด้วยกลัวว่าจอมมรรคมารแดงจะเปลี่ยนใจ

ทว่าจนกระทั่งพวกเขาทั้งขบวนออกจากภูเขาทองแดงก็ไม่มีเหตุพลิกผันใดๆ เกิดขึ้น จอมมรรคมารแดงก็ไม่ได้ไล่ตามออกมา

นี่ทำให้หวั่นโหรวยังอดประหลาดใจไม่ได้ แปลกใจยิ่งนัก

เมื่อกลับขึ้นยานสมบัติไม่นานลุงเจียวก็กล่าวว่า “คุณหนู ในเมื่อช่วยชีวิตนายน้อยป๋ออันออกมาได้แล้ว ต่อไปพวกเราก็แยกย้ายกันเคลื่อนไหว ข้าจะไปแลกเปลี่ยนซื้อขายกับขุมอำนาจอื่นในทะเลประหัตมาร ส่วนท่านก็พานายน้อยป๋ออันไปช่วยคุณชายสืออวี่ตามหาคนด้วยกัน มีคุณชายสืออวี่อยู่ เชื่อว่าตลอดเส้นทางนี้ย่อมไม่เกิดเหตุเหนือคาดอะไรแน่”

“ก็ดี”

หวั่นโหรวใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนตอบตกลง

จากนั้นลุงเจียวก็หมุนตัวเดินออกไป

หลังมองส่งเขาจากไป จู่ๆ หลินสวินก็กล่าวขึ้น “แม่นางหวั่นโหรว เจ้าจัดการเรื่องน้องชายเจ้าให้เรียบร้อยก่อน ข้ายังมีอีกเรื่องอยากคุยกับเจ้า”

หวั่นโหรวอึ้งไปก่อนพยักหน้าตกลง พาป๋ออันเดินเข้าห้องโดยสาร

ไม่นานนางก็เดินกลับออกมา แล้วถึงเอ่ยถามว่า “คุณชาย มีเรื่องอะไรหรือ”

“เคลื่อนยานสมบัติออกจากที่นี่ก่อน” หลินสวินกล่าว

แม้หวั่นโหรวจะแปลกใจแต่ก็ยังทำตามที่พูด

กระทั่งหนึ่งถ้วยชาให้หลัง หลินสวินถึงทอดมองหวั่นโหรวแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้ราบรื่นเกินไปหน่อย”

หวั่นโหรวพยักหน้าน้อยๆ “เหนือความคาดหมายของข้าจริงๆ ดูจากตรงนี้แล้วที่ลุงเจียวพูดคงไม่ผิด แม้ว่าจอมมรรคมารแดงนั่นจะต่ำช้าไปบ้างแต่ยังถือว่ารักษาคำพูด”

หลินสวินยกยิ้มแฝงนัย “เก็บยานสมบัติก่อน ข้าจะพาเจ้าออกไปชมละครสนุก”

ละครสนุกหรือ

หวั่นโหรวรู้สึกตงิดๆ ว่าคล้ายมีจุดไม่ชอบมาพากล แต่กลับบอกไม่ถูกว่าผิดปกติตรงไหน

นางชูมือโบกสะบัดพร้อมความคลางแคลงใจ

ยานสมบัติที่อยู่ด้านหลังก็หดเล็กลงกลายเป็นน้ำเต้าสีขาวหิมะโปร่งแสงแวววาวเต้าหนึ่ง ก่อนร่วงลงมากลางฝ่ามือนาง

“ไป”

หลินสวินโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง เงาร่างของเขาและหวั่นโหรวหายลับไปทันที

ครู่ต่อมา

เมื่อเห็นว่าหลินสวินพาตนวกกลับมาที่ภูเขาทองแดงนั่น นัยน์ตางามของหวั่นโหรวอดหดรัดไม่ได้ ขณะจะเอ่ยถามก็ถูกหลินสวินส่ายหน้าห้ามไว้ “ชมละครสนุกฉากหนึ่งก่อน”

ทั่วบนล่างภูเขาทองแดงปกคลุมด้วยพลังผนึกเป็นชั้นๆ แต่อยู่ต่อหน้าหลินสวินกลับเหมือนของปลอม เขาพาหวั่นโหรวแฝงตัวเข้าไปในภูเขาทองแดงอย่างเงียบๆ

นอกจากนี้ตลอดทางยังไม่ได้ทำให้ใครแตกตื่นตกใจ!

เมื่อเห็นดังนี้หัวใจที่รัดเกร็งของหวั่นโหรวจึงค่อยๆ เยือกเย็นลง

ไม่นานทั้งคู่ก็มายืนอยู่กลางชั้นเมฆแถบหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากยอดเขา

หลินสวินมองตำหนักโออ่าที่อยู่ไกลๆ หลังนั้น สื่อจิตกล่าว ‘เจ้าเห็นไหมว่าในตำหนักใหญ่นั่นเป็นใคร’

หวั่นโหรวมองเข้าไป เรือนร่างอรชรพลันแข็งทื่อ นัยน์ตาค่อยๆ เบิกกว้าง บนใบหน้ารูปไข่ห่านเนียนขาวกระจ่างปรากฏแววไม่อยากเชื่อ

ก็เห็นในตำหนักใหญ่แห่งนั้น เงาร่างสายหนึ่งนั่งสูงเด่นบนที่นั่งประธานตรงกลาง กลับไม่ใช่จอมมรรคมารแดง หากแต่เป็นคนที่หวั่นโหรวคุ้นเคยเป็นอย่างดี…

ลุงเจียว!

เขาในเวลานี้ไม่มีท่าทีเหมือนคนเป็นข้ารับใช้สักนิด เอวตั้งหลังตรง สองมือวางลงบนเก้าอี้ลวกๆ ดวงตาหรี่ลง ดุจดั่งมังกรขดเสือหมอบ อหังการสุดขีด

และเบื้องหน้าเขามีคนผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่ เสื้อคลุมสีแดงฉานทั้งชุดสะดุดตาอย่างยิ่ง เป็นจอมมรรคมารแดงคนนั้น!

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้หวั่นโหรวเหมือนถูกสายฟ้าฟาด หัวสมองว่างเปล่า มือเท้าเย็นเฉียบ เหตุใด… เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้

‘แปลกมากใช่ไหม ความจริงคนทรยศตัวฉกาจที่สุดไม่ใช่รุ่นเยวี่ย แต่เป็นลุงเจียวที่ดูเหมือนจงรักภักดีคนนี้ของเจ้าต่างหาก’

เสียงของหลินสวินดังขึ้นในหูของหวั่นโหรว ฝ่ายหลังสั่นไปทั้งตัว เห็นชัดว่าในใจโมโหเดือดดาลสุดขีด

ถึงขั้นที่นางยังไม่อาจเชื่อและยากจะยอมรับเรื่องทั้งหมดนี้!

เมื่อหลายปีก่อนลุงเจียวก็ติดตามอยู่ข้างกายเฒ่าคุนบิดาของนาง เป็นหนึ่งในมือขวาของเฒ่าคุน ติดตามเฒ่าคุนเข้าออกทะเลประหัตมารนานหลายปี

กล่าวได้ว่าทั่วทั้งหอการค้าเก้าใบล้วนไว้วางใจลุงเจียวยิ่งยวด

เพียงแต่ใครจะคิดว่าชายชราที่จงรักภักดีเช่นนี้ จะถึงกับเป็นคนทรยศที่ซ่อนคราบได้อย่างแนบเนียน!?

แรงโจมตีนี้หนักหน่วงเกินไป แม้จะเห็นด้วยตาตัวเองหวั่นโหรวก็ยังไม่อาจยอมรับได้ในทันที สมองมึนตื้อ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร

ทำไมถึงเป็นเช่นนี้

กระทั่งครู่ใหญ่นางถึงค่อยๆ ดึงสติกลับมา สีหน้าทอแววเดือดดาลระคนผิดหวัง สื่อจิตกล่าว ‘คุณชาย ท่าน… ค้นพบได้อย่างไร’

‘จะว่าไปก็บังเอิญยิ่ง ตอนที่อยู่บนยานสมบัติ เหิงเทียนเซี่ยวเคยกำราบลุงเจียว ตอนนั้นข้าก็เอะใจแล้วว่ามีบางอย่างชอบกล’

หลินสวินสื่อจิตกล่าวตอบ ‘เท่าที่ข้าเห็น มรรควิถีของลุงเจียวเหนือกว่าเหิงเทียนเซี่ยวอย่างแน่นอน แม้จะถูกลอบโจมตีกะทันหัน ภายในเวลาสั้นๆ ก็ไม่มีทางถูกเหิงเทียนเซี่ยวกำราบได้เป็นอันขาด’

‘แต่สถานการณ์ในตอนนั้นเจ้าเองก็รู้ ในเวลาๆ ลุงเจียวก็ถูกกำราบอย่างไร้สุ้มเสียง นี่ผิดปกติอย่างมาก’

‘ต่อมา ข้าย้อนกลับไปตรวจสอบในห้องโดยสารอย่างละเอียด แต่ไม่พบร่องรอยการต่อสู้ใดๆ นี่พิสูจน์ได้เพียงว่าเรื่องที่ลุงเจียวถูกกำราบมีเงื่อนงำบางอย่าง’

‘แน่นอน ตอนนั้นข้าก็แค่สงสัยอยู่ในใจ ทั้งไม่กล้ามั่นใจว่าลุงเจียวมีปัญหา’

‘จนกระทั่งต่อมาเจ้าเล่าเรื่องกระดูกบริสุทธิ์บรรพจารย์คุนให้ข้าฟัง มีเพียงเจ้ากับพ่อของเจ้าเท่านั้นที่รู้ คนแบบรุ่นเยวี่ย แม้จะเป็นคนทรยศ แต่ไม่มีคุณสมบัติพอจะล่วงรู้ความลับเช่นนี้ได้สักนิด’

‘แต่หากเปลี่ยนเป็นลุงเจียวก็ไม่เหมือนกันแล้ว เขาเป็นคนที่พ่อของเจ้าไว้ใจมากที่สุด หากอยากสืบหาความลับเช่นนี้ ก็ดูจะไม่ได้ยากเย็นนัก’

เมื่อฟังถึงตอนนี้ใบหน้างามของหวั่นโหรวเปลี่ยนเป็นขาวซีดขึ้นมาแล้ว กล่าวอย่างทั้งโกรธทั้งตกใจ ‘มิน่าตอนนั้นที่อยู่บนยาน ข้ากำลังเค้นถามรุ่นเยวี่ย แต่จู่ๆ ลุงเจียวกลับก้าวออกมาฆ่ารุ่นเยวี่ยตรงๆ เขา… กลัวว่าข้าจะถามได้ความอะไรใช่หรือไม่’

หลินสวินกล่าว ‘หากมีเพียงเท่านี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าลุงเจียวมีปัญหา จนกระทั่งตอนที่พวกเราไปถึงเกาะพันมงคล ตอนที่ลุงเจียวเสนอตัวมุ่งหน้าไปสืบข่าวจอมมรรคมารแดง ข้าใช้วิธีบางอย่างคอยสะกดรอยตามอยู่ข้างหลังเขาตลอด จากนั้นก็พบเรื่องน่าสนใจมากมาย’

กล่าวพลางเขาพลิกฝ่ามือคราหนึ่ง ปรากฏประทับม่านแสงสายหนึ่งขึ้นมา ฉายภาพต่างๆ ขึ้นกลางอากาศ

ในภาพ ลุงเจียวเร่งรีบมุ่งหน้าเพียงลำพัง สุดท้ายก็มาถึงตำหนักแห่งหนึ่ง

เมื่อภาพเปลี่ยนไปก็เห็นลุงเจียวยืนอยู่กลางตำหนัก ข้างกายมีผู้ฝึกปราณทั้งกลุ่มคุกเข่าอยู่

ลุงเจียวในเวลานี้เปรียบดั่งนายเหนือหัวคนหนึ่ง เสียงต่ำลึก เจืออานุภาพเกรียงไกร

‘กลับไปบอกมารแดง การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลง รอตอนที่ข้าพาหวั่นโหรวมุ่งหน้ามายังภูเขาทองแดง ให้เขาส่งตัวป๋ออันออกมาแต่โดยดี!’

‘ขอรับ!’ ผู้ฝึกปราณที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเหล่านั้นรับคำสั่ง

‘จำไว้ ไม่อนุญาตให้เขาตัดสินใจโดยพลการ หาไม่ข้าจะไม่ไว้ชีวิตเขาแน่!’ ลุงเจียวสายตาเย็นเยียบ รอยแผลเป็นที่เหมือนตะขาบสามตัวบนใบหน้าดูเหี้ยมเกรียมอย่างเห็นได้ชัด

ภาพฉายถึงตรงนี้แล้วเลือนหายไป

ส่วนสีหน้าหวั่นโหรวเขียวคล้ำซีดขาวสลับกัน ความเดือดดาลและผิดหวังที่ไม่อาจควบคุมพันกันยุ่งในใจ ทั่วร่างสั่นเทิ้มระลอกหนึ่ง

เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ มีหรือนางจะยังไม่เข้าใจว่าลุงเจียวที่นางและท่านพ่อของนางเชื่อใจ อันที่จริงก็คือคนทรยศ

‘การแลกเปลี่ยนบนภูเขาทองแดงเมื่อครู่ เจ้าเองก็เห็นแล้วว่าราบรื่นไร้ที่เปรียบ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ คำตอบก็เฉลยอยู่บนตัวลุงเจียวคนนี้แล้ว’

หลินสวินสายตาลุ่มลึก ‘เดิมทีข้าตั้งใจว่าจะจับตัวคนผู้นี้ตอนอยู่บนยานสมบัติเมื่อครู่ แต่เขากลับเสนอว่าจะเคลื่อนไหวลำพัง ไปทำการแลกเปลี่ยนที่ว่านั่น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจึงใช้แผนซ้อนแผน พาเจ้ามาชมดูละครสนุกฉากนี้’

‘ไม่ผิดจากที่ข้าคาดไว้ เขาย้อนกลับมาที่ภูเขาทองแดงในทันที เกรงว่าคงห่วงว่าจะเกิดข้อผิดพลาดอะไร จึงตั้งใจจะเอากระดูกบริสุทธิ์บรรพจารย์คุนไป’

กล่าวถึงตอนนี้ ในครรลองสายตาของหวั่นโหรวก็เห็นจอมมรรคมารแดงยื่นกล่องที่ผนึกกระดูกบริสุทธิ์บรรพจารย์คุนให้ลุงเจียว ซึ่งนั่งบนที่นั่งประธานกลางตำหนักใหญ่แห่งนั้นด้วยท่าทีเคารพนอบน้อมจริงดังคาด

สีหน้าฝ่ายหลังปรากฏแววดีใจ ใช้มือลูบคลำกล่องหยกใบนั้นพลางกล่าวทอดถอนใจ “เพื่อสมบัติชิ้นนี้ ข้าต้องอดทนขมขื่นมานานนับพันปี ตอนนี้ก็สมหวังดั่งใจเสียที มันช่างน่าใจหายจริงๆ”

“ความอดทนและทุ่มเทนับพันปีของอาจารย์ ตอนนี้ก็คุ้มค่าแล้ว!” จอมมรรคมารแดงกล่าวเยินยอด้วยรอยยิ้ม

“เฮอะ ในการลอบโจมตีครั้งนั้นเมื่อหลายปีก่อน หากเจ้าลงมือหนักขึ้นอีกหน่อย เจ้าเฒ่าคุนคงถูกฆ่าตายไปนานแล้ว ไยต้องรอจนถึงตอนนี้” ลุงเจียวแค่นเสียงเย็น

จอมมรรคมารแดงอึกอัก ก่อนเอ่ยเปลี่ยนประเด็น “อาจารย์ ในการแลกเปลี่ยนก่อนหน้านี้ เหตุใดถึงปล่อยลูกของเฒ่าคุนไปหรือ”

ใบหน้าของลุงเจียวปรากฏแววขัดใจ กล่าวอย่างเคียดแค้น “ข้าก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าบนยานสมบัตินั่นจะมีคนร้ายกาจโผล่มา ระดับพลังแข็งแกร่งจนไม่อาจจินตนาการ ทำให้ข้ายังกริ่งเกรงยิ่ง หากไม่ใช่เพราะมีเขาอยู่ก็ไม่ต้องรอจนถึงตอนนี้สักนิด เรื่องราวคงจัดการได้ง่ายดายตั้งแต่ตอนอยู่ในทะเลอสนีมารทมิฬแล้ว!”

จอมมรรคมารแดงกล่าวอย่างผิดคาด “ที่อาจารย์พูดถึง คงไม่ใช่เจ้าหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหวั่นโหรวนั่นก่อนหน้านี้กระมัง ท่าทางก็ดูไม่ได้พิเศษอะไร…”

สีหน้าลุงเจียวผิดไปจากเดิม กล่าวยิ้มเย็น “เจ้าจะไปเข้าใจอะไร! ยิ่งเป็นคนที่ดูธรรมดาทั่วไปก็ยิ่งเป็นพวกร้ายกาจที่กินคนไม่คายกระดูกมากเท่านั้น คนตระกูลเหิงอย่างพวกเหิงเทียนเซี่ยว ก็เพราะดูถูกคนผู้นี้ถึงได้ถูกฆ่าตายเรียบ ก่อนหน้านี้หากไม่ใช่เพราะข้าเตือนเจ้าล่วงหน้า ด้วยฝีมือของเจ้าหนุ่มนี่ ล้วนสามารถพลิกภูเขาทองแดงนี่ได้ด้วยซ้ำ!”

จอมมรรคมารแดงสูดหายใจสะท้าน “หากเป็นเช่นนี้เจ้าหนุ่มนั่นก็น่าสะพรึงจริงๆ น่ากลัวยิ่ง! เพียงแต่พวกเราจะมองลูกๆ ของเฒ่าคุนออกจากทะเลประหัตมารตาปริบๆ ไปเช่นนี้หรือ”

ลุงเจียวกล่าวเย็นชา “วางใจได้ หลังจากพวกเขากลับไป ความพินาศก็อยู่ไม่ไกลแล้ว พวกเหิงเทียนเซี่ยวล้วนตายในยานสมบัติของหอการค้าเก้าใบ บัญชีนี้ตระกูลเหิงมีแต่จะมาคิดเอากับหอการค้าเก้าใบ!”

กล่าวถึงตรงนี้บนใบหน้าดุดันมีรอยแผลเป็นของลุงเจียวปรากฏรอยยิ้มนึกสนุกขึ้นมา ก่อนเอ่ยเนิบนาบ

“ต่อให้เจ้าหนุ่มนั่นไม่ฆ่าพวกเขา ตอนที่พวกเขาชิงกระดูกบริสุทธิ์บรรพจารย์คุนไป ข้าก็จะลงมือฆ่าพวกเขาทั้งหมดเอง จากนั้นก็ใส่ร้ายหอการค้าเก้าใบเป็นอันจบ”

จอมมรรคมารแดงกล่าวชมทันที “อาจารย์วางแผนดียิ่ง!”

และไกลออกไป หวั่นโหรวที่มองเห็นภาพเหล่านั้นอยู่ในสายตาก็โกรธจนใบหน้างามขาวซีด ดวงตาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะลุกโชน

………………..

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท