Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2637 ผนึกเก้าชั้น

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2637 ผนึกเก้าชั้น

ตอนที่ 2637 ผนึกเก้าชั้น

เทียบกันแบบนี้แล้ว พลังระเบียบระดับสวรรค์ขั้นแปด ทั้งยังเกี่ยวข้องกับห้วงอากาศ สมบัติเช่นนี้ไม่อาจประเมินค่าได้

เพราะถ้าครอบครองระเบียบเช่นนี้ ไม่มีเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลไหนจะนำออกไปแลกเปลี่ยน!

และนี่ก็เป็นสาเหตุที่หลินสวินใจเต้น

“สมบัติเช่นนี้ให้เจ้ากินเป็นอาหารไม่ได้”

หลังจากหลินสวินสงบใจลงก็ดับความปรารถนาของอู๋ซวง

อู๋ซวงก็ว่าง่าย เอ่ยเสียงใสว่า “นายท่าน ก่อนหน้านี้ข้าหลอมพลังระเบียบไปไม่น้อยแล้ว ตอนนี้ฟื้นตัวถึงระดับสวรรค์ขั้นห้าแล้ว ภายหน้าถ้านายท่านมีพลังระเบียบที่ไม่ได้ใช้ค่อยเอาให้ข้าหลอมก็พอ”

หลินสวินพยักหน้ารับ

“สวรรค์ เขตลมสนามแม่เหล็กถึงกับหายไปแล้วหรือ ที่นี่เป็นถึงหนึ่งในสามเขตผนึกใหญ่ของทะเลประหัตมาร ดำรงอยู่ตั้งแต่โบราณจนถึงตอนนี้ ทำไมถึงหายไปแบบนี้”

เสียงอุทานระลอกหนึ่งดังขึ้นไกลออกไป

ก็เห็นเงาร่างผู้ฝึกปราณมากมายพุ่งมาทางนี้อย่างรวดเร็วราวกับรุ้งเทพพร่างพราว

“ภูเขาเทพสนามแม่เหล็กก็หายไปแล้ว!”

มีคนหน้าเหวอ ตกตะลึงไปแล้ว

นี่ต้องเป็นข่าวใหญ่แน่ ถ้ากระจายออกไปจะต้องสะเทือนไปทั้งทะเลประหัตมาร

แต่ไม่นานนักเสียงอุทานและเสียงเซ็งแซ่ในที่นั้นก็หายไป ถูกความเงียบสงัดเข้าแทนที่

สายตาทุกคู่พากันมองไปทิศเดียวกัน

ที่นั่นมีคนผู้หนึ่ง เงาร่างสูงโปร่ง ดูแผ่วลอยละโลกีย์ ประหนึ่งเซียนมาเยือนโลก!

คนลึกลับที่ใช้ฝ่ามือเดียวสังหารบรรพจารย์มารพันตาหลงเฟิงเมื่อเก้าวันก่อนคนนั้น!

เมื่อได้เห็นภาพนี้ ในใจทุกคนต่างมีความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ หรือการหายไปของเขตลมสนามแม่เหล็กกับภูเขาเทพสนามแม่เหล็กจะเกี่ยวกับคนผู้นี้

คิดถึงตรงนี้ทุกคนก็หนาวสะท้านในใจ ล้วนหน้าเปลี่ยนสี

กระทั่งพวกเขาได้สติ ถึงพบว่าเงาร่างสูงโปร่งนั้นหายไปนานแล้ว

เขาเป็นใคร

ทั้งครอบครองมรรควิถีน่ากลัวปานไหนกัน

ไม่มีใครรู้

แต่เรื่องนี้ก็ยังกระจายออกไปในวันนั้น ก่อให้เกิดคลื่นใหญ่ไปทั้งทะเลประหัตมาร

เขตลมสนามแม่เหล็กเป็นหนึ่งในสามเขตผนึกใหญ่ของทะเลประหัตมาร ดำรงอยู่บนโลกตั้งแต่อดีตจนบัดนี้ แต่ตอนนี้กลับหายไปอย่างกะทันหัน!

เรื่องนี้ต่อให้ไม่อยากทำให้เกิดความสะท้านสะเทือนก็คงยาก

สิ่งที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าก็คือ ทุกข่าวต่างกระจายไปว่าการหายไปของเขตลมสนามแม่เหล็กเกี่ยวกับคนลึกลับคนหนึ่ง เรื่องนี้ผู้คนต่างยากจะเชื่อยิ่งนัก

แต่ที่มั่นใจได้แน่ๆ ก็คือ บรรพจารย์จักรพรรดิหลงเฟิงแห่งสำนักมารใต้พิภพตายแล้ว ถูกคนลึกลับนั่นสังหาร

ว่ากันว่าเรื่องนี้ก็สร้างความสั่นสะเทือนใหญ่ยิ่งในสำนักมารใต้พิภพ

และในขณะที่ทะเลประหัตมารกระจายข่าวไปทั่ว หลินสวินก็กลับไปเกาะกาฬทักษิณแล้ว

ถ้ำสวรรค์ปรกอุดม

ใต้ต้นสนโบราณตรงไหล่เขาต้นนั้นเผยเงาร่างหลินสวิน

ไม่ไกลนักมู่เวยที่กำลังสอนชิงเฟิงและชิงเยวี่ยเดินหมากอึ้งไป จากนั้นโค้งคารวะ “ศิษย์รุ่นที่สามมู่เวย คารวะอาจารย์อา”

หลินสวินผิดคาดอยู่บ้าง แต่จากนั้นก็ตระหนักได้ว่านี่คงเป็นสิ่งที่ซวีรั่วกู่ เจ้าสำนักถ้ำสวรรค์ปรกอุดมสั่งความเอาไว้

ชิงเฟิงและชิงเยวี่ยที่กำลังเดินหมากก็จะลุกขึ้นโค้งคารวะ แต่ถูกหลินสวินรั้งไว้ “ข้าไม่ชอบพิธีรีตอง พวกเจ้าไม่ต้องยึดติดกับเรื่องนี้ก็ได้”

“ยังอึ้งอะไรอยู่ เดินหมากต่อสิ”

มู่เวยว่าขำๆ ก่อนจะวิ่งมาข้างหน้าเอ่ยว่า “อาจารย์อา เจ้าสำนักบอกว่าถ้าท่านกลับมาก็ให้ตรงไปที่ตำหนักเมฆมายาขอรับ”

หลินสวินกล่าว “ตำหนักเมฆมายาหรือ อยู่ไหน”

“ให้ข้านำทางท่านเอง” มู่เวยพูดพลางเคลื่อนไหว

หลินสวินประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ ตอนพบกับมู่เวยครั้งแรก เจ้าหมอนี่กำลังดูแลร้านศาสตราวุธ การปฏิบัติตนต่อผู้อื่นก็เฉยชาไร้แรง ท่าทางเหมือนจะรอดมิรอดแหล่

แต่ตอนนี้กลับหัวไวว่าง่ายขนาดนี้

เห็นชัดว่านี่ไม่ใช่เพราะตนแข็งแกร่ง เป็นไปได้สูงยิ่งที่ซวีรั่วกู่จะกำชับกับผู้สืบทอดถ้ำสวรรค์ปรกอุดมเหล่านี้ไว้แล้วว่าไม่อาจละเลยตน

เป็นไปตามที่หลินสวินคาด ผู้สืบทอดที่ได้พบตลอดทางนี้ทักทายคารวะเขาอย่างนบนอบ ไม่มีใครไม่เคารพ

ขนาดลั่วเสวียนฝูที่สีหน้าเฉยชาเป็นประจำยังเป็นเช่นนี้

กับเรื่องนี้หลินสวินทำได้เพียงยิ้มตอบไป

ไม่นานนักมู่เวยก็พาหลินสวินมาตำหนักเมฆมายา ที่นี่เป็นตำหนักเก่าแก่ที่สร้างอยู่หลังเขา หลังจากมาถึงมู่เวยก็บอกลาจากไป

ยามหลินสวินเข้าไปตำหนักเมฆมายา ซวีรั่วกู่ที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ประหลาดใจอย่างห้ามไม่ได้ ลุกขึ้นมารับแล้วเอ่ยว่า “น้องชายกลับมาเร็วขนาดนี้ พบปัญหาอะไรที่รับมือได้ยากไหม”

หลินสวินยิ้มส่ายหัว “เรื่องนี้ไม่มี แต่การทดสอบสำเร็จแล้ว”

ขณะพูดเขาก็สะบัดแขนเสื้อ เหล็กเทพพลังแม่เหล็กเต็มพื้นกองเป็นภูเขาลูกย่อมๆ สมบัติเหล่านี้ล้วนถูกผนึกเอาไว้ หาไม่แล้วแค่กลิ่นอายที่ปล่อยออกมาก็ก่อให้เกิดพายุพลังแม่เหล็กได้

ซวีรั่วกู่ตาเบิกกว้าง มองดูเหล็กเทพพลังแม่เหล็กเหล่านั้นอยู่สักพักถึงเอ่ยรำพึงว่า “คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงจริงๆ น้องชายฝีมือดีจริง!”

เขาจิตใจปั่นป่วน เหล็กเทพพลังแม่เหล็กหนึ่งแสนชั่ง ตามที่เขาคาดเดาก่อนหน้านี้ การจะผ่านการทดสอบนี้เดิมทีก็ยากมากอยู่แล้ว ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นถึงเขตลมสนามแม่เหล็ก ขนาดระดับอมตะยังไม่กล้าเข้าไปง่ายๆ

และถ้าอยากรวบรวมเหล็กเทพพลังแม่เหล็กให้ได้หนึ่งแสนชั่งจริงก็ยิ่งยาก ต่อให้เก็บรวมรวมจากด้านนอกเขตลมสนามแม่เหล็ก เวลาที่ต้องใช้ก็ต้องเป็นปี

แต่ตอนนี้ตั้งแต่เริ่มจนจบยังไม่ถึงหนึ่งเดือนเท่านั้น หลินสวินก็ได้ของกลับมาเต็มไม้เต็มมือ!

นี่จะไม่ให้เขาประหลาดใจได้อย่างไร

หลินสวินยิ้ม ไม่ได้บอกซวีรั่วกู่ว่าขนาดภูเขาเทพสนามแม่เหล็กยังถูกเขาย้ายมาแล้ว ถ้าบอกไปเกรงว่าฝ่ายหลังจะต้องมองตนเป็นตัวประหลาดแน่

“น้องชาย เจ้าเก็บเหล็กเทพพลังแม่เหล็กพวกนี้เถอะ ข้าจะพาเจ้าไปสถานที่ที่อาจารย์ปิดด่าน” ซวีรั่วกู่เอ่ยหลังจากสงบใจลง

หลินสวินสะบัดแขนเสื้อ เหล็กเทพพลังแม่เหล็กเต็มพื้นหายไปกลางอากาศทันที

จากนั้นซวีรั่วกู่ก็นำทางออกจากตำหนักเมฆมายา ไม่นานนักก็พาหลินสวินมาถึงหน้าถ้ำสวรรค์แดนมงคลแห่งหนึ่ง

“ที่นี่ก็คือที่ที่อาจารย์ปิดด่าน ตอนอาจารย์จากไปได้วางพลังผนึกไว้ที่นี่ ขอเพียงศิษย์น้องเปิดออกก็จะเข้าไปข้างในได้ ถึงตอนนั้นย่อมรู้ว่าการทดสอบที่สองคืออะไร”

ซวีรั่วกู่เอ่ยอธิบาย

หลินสวินพยักหน้า สายตามองไป ทันใดนั้นก็พบว่ารอบๆ ถ้ำสวรรค์แดนมงคลแห่งนี้ แม้มีเพียงพลังผนึกเก้าชั้น แต่ผนึกแต่ละชั้นล้วนเรียกได้ว่าลึกลับคลุมเครือ เป็นปริศนาถึงที่สุด

“ศิษย์น้อง ข้าไปก่อนล่ะ” เห็นดังนี้ซวีรั่วกู่ก็จากไปทันที

รอบๆ ไม่มีใคร เหลือเพียงหลินสวิน เขานิ่งคิด นั่งขัดสมาธิ สลัดความคิดฟุ้งซ่าน เริ่มอนุมานพลังผนึกเก้าชั้นนั้น

สามชั่วยามผ่านไป

หลินสวินลืมตาขึ้น สีหน้าแปรผันไม่ว่างเว้น

พอเขาตั้งใจอนุมานถึงพบว่า เพียงแค่พลังผนึกชั้นที่หนึ่งก็มีความลึกลับสุดหยั่ง ล้ำลึกและกำกวมถึงที่สุด ไอสังหารหนาแน่น น่าครั่นคร้ามไร้สิ้นสุด

หลินสวินถึงขั้นสงสัยว่าด้วยพลังของเขาในตอนนี้ ถ้าบุกเข้าไปดื้อๆ เกรงว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส!

นี่ต้องเป็นฝีมือท่านลู่อย่างไม่ต้องสงสัย และมีเพียงเขาถึงวางกระบวนค่ายกลที่เรียกได้ว่าวิปริตเช่นนี้ได้

หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง หลับตาลงอีกครั้ง สงบใจอนุมาน

ตอนแรกให้ตนรวบรวมเหล็กเทพพลังแม่เหล็กหนึ่งแสนชั่ง ต่อมาก็วางกระบวนค่ายกลผนึกเช่นนี้หน้าถ้ำสวรรค์แดนมงคลอีก เขาล่ะอยากเห็นนักว่าท่านลู่เล่นลูกไม้อะไรอยู่กันแน่

เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า

ขณะที่หลินสวินอนุมานกระบวนค่ายกลผนึกโดยไม่ได้พักผ่อน ผู้สืบทอดถ้ำสวรรค์ปรกอุดมเหล่านั้นก็ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในเขตลมสนามแม่เหล็ก ต่างอ้าปากค้างอย่างอดไม่ได้ พากันคาดเดาว่า ‘คนลึกลับผู้นั้น’ เป็นใครกันแน่

และหลังจากที่ซวีรั่วกู่ได้ข่าว แววตาก็เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง…

‘น้องชายของข้าคนนี้ ถึงกับทำให้เขตลมสนามแม่เหล็กหายไป นี่จะร้ายกาจเกินไปแล้วกระมัง’ ซวีรั่วกู่สีหน้าพิกล

แต่พอนึกถึงเรื่องใหญ่โตสะเทือนฟ้าดินที่หลินสวินทำตั้งแต่น่านฟ้าที่หนึ่งถึงน่านฟ้าที่ห้า ซวีรั่วกู่ก็พอจะรับได้ขึ้นมาแล้ว

‘ผนึกเก้าชั้นนั้น ด้วยความสามารถด้านการสลักวิญญาณของข้ายังมองไม่ออก ก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำได้ไหม…’

ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัวซวีรั่วกู่ เขาตั้งตาคอยให้หลินสวินสร้าง ‘ความประหลาดใจ’ ให้เขาอีกครั้งหนึ่ง

หนึ่งเดือนผ่านไป

หน้าถ้ำสวรรค์แดนมงคลแห่งนั้น

จู่ๆ หลินสวินที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงมาตลอดก็ลืมตาขึ้น มือทั้งสองตั้งมุทรา วาดไปในห้วงอากาศอย่างต่อเนื่อง แสงเทพที่แปลงมาจากวิชาต่างๆ สายแล้วสายเล่าก็เคลื่อนออกมาเหมือนกระแสธาร

เปรี้ยง!

เมื่อเสียงอสนีบาตดังขึ้น กระบวนค่ายกลผนึกชั้นแรกที่ปกคลุมถ้ำสวรรค์แดนมงคลพลันปรากฏลายมรรคที่แปลงมาจากละอองแสงนับไม่ถ้วน พลิ้วลอยโคจร ก่อนจะหายลับไป

และในใจหลินสวินก็เกิดการหยั่งถึงอย่างหนึ่ง

กระบวนค่ายกลผนึกชั้นแรกนี้ถูกเรียกว่า ‘กระบวนค่ายกลระเบียบที่เก้า’ มีพลังสังหารแกร่งกล้า อานุภาพแข็งแกร่งกว่ากระบวนค่ายกลมรรคสิ้นฟ้าอาสัญมาก สามารถสังหารระดับบรรพจารย์ได้อย่างง่ายดาย

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลังจากมองทะลุนัยเร้นลับของ ‘กระบวนค่ายกลระเบียบที่เก้า’ แล้ว ย่อมมอบขวัญกำลังใจให้หลินสวินอย่างมาก

เขาพักอยู่หลายวัน กระทั่งจิตใจและพลังกายฟื้นตัวกลับมาจึงเริ่มอนุมานกระบวนค่ายกลผนึกชั้นที่สอง ไม่นานนักก็ดำดิ่ง ไม่รู้สึกถึงเวลาที่ผ่านไปสักนิด

เดือนที่สอง

หลินสวินทะลวงพลังผนึกชั้นที่สองที่มีชื่อว่า ‘กระบวนค่ายกลระเบียบที่แปด’!

เดือนที่สาม

หลินสวินทะลวงพลังผนึกชั้นที่สาม หยั่งถึง ‘กระบวนค่ายกลระเบียบที่เจ็ด’

เดือนที่สี่…

กาลเวลาผันผ่าน แทบทุกหนึ่งเดือนหลินสวินจะสามารถทะลวงกระบวนค่ายกลผนึกได้หนึ่งชั้น ไม่ถึงกับเร็วนัก แต่ก็ไม่ช้า

ช่วงนี้ซวีรั่วกู่มาหาหลายครั้ง แต่ละครั้งต่างตกตะลึงไม่หยุดอย่างห้ามไม่อยู่

ทั้งถ้ำสวรรค์ปรกอุดม นอกจากลู่ป๋อหยาแล้ว ความสามารถด้านการสลักวิญญาณของเขาถือว่าล้ำลึกที่สุด แต่ต่อให้เป็นเขาก็ยังไม่อาจหยั่งถึงกระบวนค่ายกลผนึกเก้าชั้นนั้นได้

ทว่าตอนนี้ หลินสวินกลับบุกเข้าไปได้ชั้นแล้วชั้นเล่า!

‘มิน่าอาจารย์ถึงทิ้งการทดสอบเช่นนี้ไว้ เห็นชัดว่ารู้ดีว่าเรื่องที่คนทั่วไปทำไม่ได้ ก็ใช่ว่าน้องชายผู้นี้จะทำไม่ได้…’

ซวีรั่วกู่ทอดถอนใจ ในที่สุดก็เข้าใจเจตนาของลู่ป๋อหยาแล้ว

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นย่อมไม่มีทางทำทุกอย่างนี้ได้อยู่แล้ว แต่การทดสอบเช่นนี้ เดิมทีก็ไม่ได้ทิ้งไว้ให้คนทั่วไปทำ!

เดือนที่เก้า

หน้าถ้ำสวรรค์แดนมงคล จู่ๆ ก็เกิดเสียงวิ้งกังวานเร้าใจระลอกหนึ่ง ละอองแสงที่แปลงจากกระบวนค่ายกลลายมรรคนับไม่ถ้วนดุจบุปผาสวรรค์โปรยปราย ปลิวว่อนไปในห้วงอากาศ งดงามตระการตา

หลินสวินที่นั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้นลุกขึ้น พ่นลมหายใจขุ่นออกมายาวๆ ทั้งร่างเหมือนปลดโซ่ตรวนอันหนักอึ้งทิ้ง เบาสบายอย่างบอกไม่ถูก

เมื่อกระบวนค่ายกลผนึกที่เก้านามว่า ‘กระบวนค่ายกลระเบียบที่หนึ่ง’ ถูกทะลวง ถึงตอนนี้กระบวนค่ายกลผนึกเก้าชั้นที่ปกคลุมอยู่รอบถ้ำสวรรค์แดนมงคลก็เปิดออกทั้งหมดแล้ว!

และตอนนี้ ทิวทัศน์ที่อยู่ในถ้ำสวรรค์แดนมงคลนั้นก็สะท้อนอยู่ในครรลองสายตาของหลินสวิน

ทว่าเพียงแค่ปราดแรกที่เห็นหลินสวินก็อึ้งไป

เพราะภายในถ้ำสวรรค์แดนมงคลนั้นมีโลงศพสำริดโลงหนึ่งตั้งอยู่!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท