ตอนที่ 2677 สามหอเก้ายอดเขา
หลินสวินเปิดม้วนหยกออก
หลังอ่านเสร็จเขาจึงเข้าใจในที่สุด จุดประสงค์ที่ศิษย์พี่สามจัดแจงให้ตนมุ่งหน้าไปยังหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดคือ…
ขึ้นเป็นหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์!
หลินสวินรู้สึกถึงความกดดันหนักหน่วงอย่างเลี่ยงไม่ได้ในทันที
อิงจากบันทึกในม้วนหยก หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดแบ่งเป็นสามหอ เก้ายอดเขา
เก้ายอดเขาเป็นตัวแทนของเก้าสายในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด แต่ละสายล้วนมีผู้สืบทอดของตน
ตำแหน่งของสามหอสูงกว่าเก้ายอดเขา เป็นสามเสาหลักของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด
ในนั้น หอแรกนภาดูแลเรื่องกฎการลงโทษ หอแรกมายาดูแลเรื่องถ่ายทอดวิชา หอแรกพิสุทธิ์ดูแลเรื่องการทดสอบคัดเลือก
หัวหน้าสามหอ แต่ละคนล้วนครองอำนาจใหญ่ในลัทธิแรกกำเนิด เรียกได้ว่าอำนาจล้นฟ้า
สูงกว่าสามหอก็คือเจ้าสำนักลัทธิแรกกำเนิด
เจ้าสำนักหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด เป็นตัวแทนเจตจำนงเผ่าเทพนิรันดร์ในน่านฟ้าที่เก้า ตำแหน่งในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดย่อมอยู่สูงสุดเป็นธรรมดา
และจากที่ศิษย์พี่สามบอก หัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์คนก่อนนามว่าโหยวเป่ยไห่ เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าน่าสะพรึงขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์คนหนึ่ง
แต่ช่วงหลายหมื่นปีก่อนหน้านี้โหยวเป่ยไห่ก็ปิดด่านไม่ปรากฏตัว ว่ากันว่าเพื่อจะหยั่งถึงการทะลวงผ่านระดับอมตะ แจ้งมรรคแห่งนิรันดร์
แต่เมื่อไม่กี่ปีก่อนจู่ๆ โหยวเป่ยไห่ก็ออกด่าน ประกาศว่าหลังจากครบร้อยปีไม่ว่าจะแจ้งมรรคนิรันดร์สำเร็จหรือไม่ ล้วนจะลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์
ทันทีที่ข่าวออกมา ทั้งบนล่างหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดต่างโกลาหล
คนไม่รู้เท่าไหร่พลันหมายตาตำแหน่งหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์
ควรรู้ว่าหอแรกพิสุทธิ์รับผิดชอบเรื่องการทดสอบคัดเลือก การแต่งตั้งเจ้าแห่งยอดเขา แต่งตั้งผู้อาวุโส การคัดเลือกผู้สืบทอด ล้วนต้องผ่านการทดสอบของหอแรกพิสุทธิ์ และดำเนินการเลือกเฟ้นโดยอิงจากผลการทดสอบ
กล่าวง่ายๆ คือสิ่งที่หอแรกพิสุทธิ์ครอบครองก็คืออำนาจใหญ่ในการแต่งตั้งบุคลากรของเก้ายอดเขา!
เมื่อเป็นเช่นนี้ แค่คิดก็รู้ว่าหากได้เป็นหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์ ความสำคัญในอำนาจนั้นจะล้นฟ้าปานใด
และสิ่งที่ศิษย์พี่สามฝากฝังหลินสวิน ก็คือกราบเป็นศิษย์ฝึกตนในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด ช่วงชิงจนขึ้นเป็นหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์หลังจากโหยวเป่ยไห่แจ้งมรรคนิรันดร์!
ความกดดันนี้ย่อมไม่ใช่ใหญ่ธรรมดา
ในม้วนหยกบันทึกไว้อย่างละเอียดว่ายามเพิ่งเข้าสู่หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด จะเป็นได้เพียงผู้สืบทอดหนึ่งในเก้ายอดเขาเท่านั้น และผู้สืบทอดยังแบ่งออกเป็นสองอย่างคือศิษย์สืบทอดแท้จริงและแกนหลัก
มีเพียงกลายเป็นผู้สืบทอดแกนหลักเท่านั้นจึงจะมีโอกาสไปแข่งขันเพื่อเข้าสู่หอแรกพิสุทธิ์ได้
และหลังจากเข้าหอแรกพิสุทธิ์แล้ว ยังต้องผ่านตำแหน่งรองผู้ดูแล ผู้ดูแล ผู้อาวุโสต่างๆ เป็นต้น จึงจะมีโอกาสขึ้นเป็นรองหัวหน้าหอ
ในหอแรกนภา หอแรกมายา หอแรกพิสุทธิ์ต่างมีรองหัวหน้าหอสามคน
หรือก็คือในสามหอ ลำพังแค่รองหัวหน้าหอก็มีเก้าคน
นี่ก็หมายความว่าหากโหยวเป่ยไห่ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าหอ เช่นนั้นตำแหน่งหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์ก็จะเลือกจากบรรดารองหัวหน้าหอเก้าคนนี้!
คิดๆ แล้วตั้งแต่เริ่มเข้าสู่หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดก็ต้องกลายเป็นศิษย์แกนหลักหนึ่งในเก้ายอดเขา แล้วจึงเข้ารับตำแหน่งในหอแรกพิสุทธิ์ ผ่านตำแหน่งต่างๆ ก่อนจึงจะสามารถขึ้นเป็นรองหัวหน้าหอได้
ถึงขั้นนี้จึงจะมีคุณสมบัติไปชิงตำแหน่งหัวหน้าหอ
ความกดดันเช่นนี้ไม่ใช่มากธรรมดา!
“ศิษย์น้องเล็กเป็นอย่างไรบ้าง”
จวินหวนเอ่ยถามยิ้มๆ “หากรู้สึกกดดันมากเกินไปก็ไม่เป็นไร นี่เป็นเพียงหนึ่งแผนที่พวกเราคีรีดวงกมลวางไว้ หากได้ครองตำแหน่งหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์ย่อมดีกว่า แต่ถ้าไม่มีโอกาสก็ไม่เป็นไร”
“ข้าจะพยายามเต็มที่”
หลินสวินใคร่ครวญพักใหญ่ แววตานิ่งสงบ
เขาไม่กล้าบอกว่ามั่นใจเต็มที่ แต่จะพยายามไปแข่งขันช่วงชิงหมดฝีมือ!
เสียงจวินหวนเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมา “ไม่ว่าสำเร็จหรือล้มเหลวล้วนอย่าเอาชีวิตเจ้าเข้าแลก อันที่จริงข้าพอเดาออกรางๆ ว่าแผนการเช่นนี้ไม่น่าจะมาจากฝีมือศิษย์พี่สาม”
“เช่นนั้นเป็นใครหรือ” หลินสวินประหลาดใจ
“อาจารย์” จวินหวนเอ่ยเสียงเบา
หลินสวินอึ้งงันในทันที
หากอาจารย์แนะให้ทำแบบนี้ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ง่ายเหมือนอย่างที่ตนคิดไว้ขนาดนั้นแล้ว!
จวินหวนยิ้มกล่าว “อันที่จริงเดิมทีศิษย์พี่สี่โวยวายว่าจะไปหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด แต่ศิษย์พี่สามไม่ยอม เขาเองก็จนหนทาง ได้แต่ตามพวกศิษย์พี่สามมุ่งหน้าไปหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณด้วยกัน”
“ศิษย์พี่สี่ยังมีชีวิตอยู่หรือ!?” หลินสวินเอ่ยอย่างพรึงเพริด
หลายปีมานี้ในใจเขารู้สึกผิดยิ่งยวดมาตลอด เพราะข่าวลือต่างๆ ล้วนบอกว่าที่นอกแดนลับทวยเทพปีนั้น ศิษย์พี่สี่หลิงเสวียนจื่อถูกยักษ์ใหญ่อมตะตระกูลหวังสังหาร
และด้วยเหตุนี้ในใจเขาจึงเคียดแค้นตระกูลหวังเข้ากระดูก ตัดสินใจนานแล้วว่าสักวันต้องแก้แค้นแทนศิษย์พี่สี่ให้ได้ ทำให้ตระกูลหวังต้องจ่ายค่าตอบแทนที่ไม่อาจรับไหวกับเรื่องนี้!
แต่คิดไม่ถึงสักนิด จากคำพูดของศิษย์พี่จวินหวน ศิษย์พี่สี่ถึงกับยังมีชีวิตอยู่!
“ตัวหายนะอย่างเขา อยากตายไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก”
จวินหวนยิ้มเย็นชา “ตอนอยู่นอกโบราณสถานทวยเทพ เป็นพลังเจตจำนงของอาจารย์ออกมือช่วยชีวิตเขาไว้ และพาเขามาน่านฟ้าที่เจ็ด หากไม่เป็นเช่นนี้ข้าเองก็คิดว่าตัวหายนะนี่ตายไปแล้ว”
หลินสวินฟังแววตำหนิและถากถางในน้ำเสียงของจวินหวนออก เห็นชัดว่านางยังขุ่นเคืองฝังใจต่อทุกการกระทำก่อนหน้านี้ยามอยู่คีรีดวงกมลของศิษย์พี่สี่
“ศิษย์พี่สี่เปลี่ยนไปแล้ว แม้จะเป็นตัวหายนะ แต่อย่างน้อยก็ไม่มีทางสร้างหายนะให้พวกเราคีรีดวงกมล จุดนี้ข้าสามารถรับรองได้” หลินสวินกล่าวอย่างจริงจัง
ศิษย์พี่สี่เคยช่วยชีวิตเขาไว้ ทั้งยังไม่ใช่เพียงครั้งเดียว จิตใจเขาอาจมีปัญหา แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนแล้วจริงๆ
จวินหวนชำเลืองมองเขาปราดหนึ่ง กล่าวว่า “หากไม่เพราะเขาเปลี่ยนไปแล้ว เจ้าคิดว่าพวกเราจะยินดีเก็บเขาไว้ข้างกายหรือ แต่ข้าไม่มีทางให้อภัยเขาง่ายๆ ขนาดนั้น เจ้าหมอนี่อวดตัวว่า ‘เป็นเลิศในหมื่นกาล’ ปีนั้นตอนอยู่คีรีดวงกมล ถึงกับบอกว่าข้ามีเปลือกนอกดีเสียเปล่า จิตใจกลับเหมือนหญิงปากตลาด…”
กล่าวถึงตอนท้ายนางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกรอดๆ “เจ้าฟังดูสิ เขาถึงขนาดเอาข้าไปเปรียบกับผู้หญิงปากจัด แล้วยังบอกว่านิสัยข้าดูเหมือนใจกว้าง แต่ที่จริงเย็นเยียบดุจมีด ชาตินี้ล้วนไม่มีผู้ชายกล้าต้องการ สมควรแล้วที่จะอยู่ในเรือนอ้างว้างคนเดียวชั่วชีวิต… ตอนนั้นข้าแทบอยากหยิบมีดจ้วงแทงเขาให้ตายใจจะขาด!”
เนตรงามของนางเผยแววแค้นขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง
หลินสวินหลุดขำ ครั้นเห็นว่าจวินหวนสีหน้าไม่เป็นมิตร เขารีบกล่าวเป็นพัลวัน “ล้วนเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ถือสาตัวหายนะอย่างเขาเช่นนี้ไปทำไมกัน”
จวินหวนเพียงแค่ขุ่นข้องในใจเท่านั้น ไม่มีทางแค้นหลิงเสวียนจื่อเข้ากระดูกเพราะเรื่องราวสมัยยังเด็ก ย่อมไม่ได้ถือสาเอาความจริงๆ
กระทั่งแสงสายัณห์มาเยือน
ลู่ป๋อหยามาเชิญจวินหวนไปร่วมกินอาหารในเรือนหลักตระกูลลั่ว ลั่วเซียวจัดเตรียมงานเลี้ยงเอิกเกริกไว้แล้ว
จวินหวนตอบตกลงยิ้มๆ
คืนนั้นคนใหญ่คนโตอย่างพวกลั่วเซียว ลั่วชิงเหิงมาร่วมวงด้วย กินดื่มสังสรรค์ สนุกสนานครื้นเครง
กระทั่งกลางดึกหลินสวินและลู่ป๋อหยาเริ่มพูดคุยกัน เล่าเรื่องที่พบกับคนของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดที่เขตผนึกเร้นให้ฟังทั้งหมด
ลู่ป๋อหยาก็อดทอดถอนใจน้อยๆ ไม่ได้ กล่าวว่า “มิน่าวิญญาณระเบียบผนึกพิฆาตนั่นจึงทำให้เชื่องยากขนาดนี้ ที่แท้เป็นคนใหญ่คนโตบางคนในหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดทิ้งเอาไว้”
ต่อมาหลินสวินบอกลู่ป๋อหยาว่าเขาตั้งใจจะจากไปวันพรุ่งนี้เพื่อมุ่งหน้าสู่น่านฟ้าที่เจ็ด
ลู่ป๋อหยาไม่ได้แปลกใจ หรือกล่าวได้ว่าตอนที่จวินหวนปรากฏตัวในตระกูลลั่ว เขาก็เดาเงื่อนงำบางอย่างได้รางๆ แล้ว
“เจ้าตัดสินใจไปแล้ว เช่นนั้นก็ไปเถิด ตอนนี้ตระกูลลั่วมีระเบียบคำสาปคุ้มครอง ทั่วทั้งน่านฟ้าที่หกไม่มีคู่ต่อสู้ที่สามารถคุกคามตระกูลลั่วได้อีก”
ลู่ป๋อหยาเอ่ยเสียงอ่อนโยน “กลับเป็นเจ้านั่นแหละ หลังมุ่งหน้าไปน่านฟ้าที่เจ็ดต้องระวังตัวให้ดี หากประสบอันตรายที่ไม่สามารถคลี่คลายได้จริงๆ ให้ย้อนกลับมาตระกูลลั่ว ที่นี่เป็นบ้านของเจ้าตลอดกาล”
หลินสวินพยักหน้ากล่าว “ท่านลู่ คนที่ข้าห่วงมากที่สุดกลับเป็นท่าน แต่ท่านวางใจ ภายหน้าข้าต้องช่วยท่านหาวิธีกำจัดเคราะห์มรรคห้าเสื่อมให้ได้แน่!”
ลู่ป๋อหยาเผยแววปลื้มปริ่ม ไม่ได้กล่าวอะไรมากความอีก
กระทั่งตอนที่หลินสวินย้อนกลับยอดเขาต้นกก จวินหวนที่กำลังนั่งดื่มชาใต้แสงดาวก็เอ่ยขึ้น
“จะว่าไปตระกูลลั่วและคีรีดวงกมลล้วนเหมือนกัน มีศัตรูร่วมกัน แต่น่าเสียดาย เจ้าแห่งมรรคาสวรรค์นั่นแหล่งที่อยู่ไม่ชัดเจน เป็นผลให้ตระกูลลั่วตกอับถึงขั้นนี้”
หลินสวินกล่าว “ศิษย์พี่ ท่านก็เคยได้ยินเรื่องของท่านตาทวดของข้าเหมือนกันหรือ”
“อืม ก่อนหน้านี้นานมาแล้วอาจารย์เคยบอกว่าตาทวดของเจ้ามีความสามารถโดดเด่น มีเอกษณ์เฉพาะตัวในมหามรรค เรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าที่เฉิดฉายตัวจริง”
จวินหวนกล่าวถอนใจเบาๆ “เพียงแต่เกรงว่าแม้แต่อาจารย์ก็คิดไม่ถึง ว่าตาทวดของเจ้าเคยพบเจอการล้อมปราบของสิบยักษ์ใหญ่อมตะเหมือนกับเขา”
หลินสวินนิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ท่านว่าสิบยักษ์ใหญ่อมตะนี่เหมือนสุนัขเฝ้าบ้านหรือไม่ ควบคุมดูแลในน่านฟ้าที่แปด ขวางทางไม่ให้ใครก็ตามมุ่งหน้าไปยังน่านฟ้าที่เก้า จงรักภักดี ปณิธานมุ่งมั่น”
จวินหวนอึ้งไป จากนั้นหลุดขำพรืดออกมาแล้วพยักหน้ากล่าว “ไม่ใช่เหมือน แต่เป็นอยู่แล้ว”
หลินสวินก็ยิ้มเช่นกัน
ราตรีเงียบเชียบนิ่งสงบ ประกายเมฆลอยล่อง แสงดาววาววาม ไผ่สนด้านข้างไหวโยก โบกไหวแกว่งไกว
จวินหวนหยัดตัวขึ้น เสื้อคลุมสีชมพูทั้งชุดพลิ้วไหวยิ่งขับให้รูปร่างนางสูงระหง ดวงหน้าที่เครื่องหน้าลงตัวงดงามเจือประกายนุ่มนวลเกลี้ยงเกลาภายใต้แสงดาวระยิบระยับ
นางจับจ้องทะเลเมฆใต้ฟ้าดาราที่อยู่ไกลๆ แล้วเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเล็ก น่านฟ้าที่เจ็ดและน่านฟ้าที่หกต่างกันอย่างสิ้นเชิง รอไปถึงที่นั่นแล้วจะมีอันตรายและการต่อสู้นับไม่ถ้วน เจ้าต้องเตรียมใจให้พร้อม”
“อืม”
หลินสวินเอามือไพล่หลัง ยืนอยู่ข้างๆ จวินหวน จากมุมนี้เขาสูงกว่าจวินหวนซึ่งมีรูปร่างสูงเพรียวมากอยู่แล้วเพียงครึ่งศีรษะเท่านั้น
ทั้งคู่ยืนเคียงบ่าบนยอดเขาใต้ราตรี ไกลออกไปมีทะเลเมฆและมีแสงไฟเป็นจุดๆ
…
เช้าวันรุ่งขึ้น
ลู่ป๋อหยา ลั่วเซียว ลั่วชิงเหิงสามคนมาถึงยอดเขาต้นกกตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
พวกเขาต่างรู้แล้วว่าวันนี้หลินสวินจะจากไปพร้อมกับจวินหวน
“สวินเอ๋อร์ นี่คือน้ำใจเล็กน้อยของข้ากับลุงเจ้า เจ้าต้องรับไว้” ลั่วเซียวหยิบกล่องหยกใบหนึ่งออกมายื่นให้หลินสวิน
ในกล่องหยกบรรจุวัตถุอมตะสิบกว่าชิ้น บ้างเล็กราวหินไข่ห่าน บ้างขนาดประมาณกำปั้น เป็นของล้ำค่าทั้งสิ้น
ในใจหลินสวินไหววูบ ขณะที่จะพูดอะไรลั่วชิงเหิงก็ยิ้มกล่าว “หากเจ้าไม่รับไว้ เช่นนั้นวันนี้ก็ไม่ให้เจ้าไปแล้ว”
หลินสวินสูดหายใจลึก ก่อนรับกล่องหยกแล้วโค้งตัวคำนับ “ท่านตา ท่านลุง พวกท่านดูแลตัวเองด้วย!”
ลั่วเซียวพยุงหลินสวินขึ้นพร้อมกล่าวกำชับ “เจ้าหนู เจ้าทำสิ่งใดล้วนต้องระวังตัวให้มากๆ ห้ามเหยียบซ้ำรอยเดิมตาทวดของเจ้าเด็ดขาด”
ในคำพูดเต็มไปด้วยความห่วงใยเปี่ยมล้น
หลินสวินพยักหน้าจริงจัง
ลู่ป๋อหยาก็ยื่นกล่องหยกใบหนึ่งให้หลินสวินเช่นกัน กล่าวว่า “ในนี้เป็นสมบัติลับระเบียบชิ้นหนึ่ง สามารถยืมใช้พลังระเบียบคำสาปได้”
หลินสวินไม่ได้ปฏิเสธ หลังจากรับไว้ก็กล่าวว่า “ท่านลู่ ท่านก็ดูแลตัวเองด้วยเช่นกัน”
ไม่ไกลนักจวินหวนมองเห็นทั้งหมดนี้อยู่ในสายตา เผยรอยยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยว่า “ทุกท่านวางใจได้ ศิษย์น้องเล็กเป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมลของพวกเรา ใครกล้ารังแกเขาเท่ากับรังแกพวกเราคีรีดวงกมล พวกเราไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่”
ลู่ป๋อหยา ลั่วเซียว ลั่วชิงเหิงต่างยิ้มออกมา
จากนั้นภายใต้สายตามองส่งของพวกเขา จวินหวนพาหลินสวินเหินทะยานขึ้นไปพร้อมกัน ทะยานสูงขึ้นเรื่อยๆ และหายลับไปบนเวิ้งฟ้าในท้ายที่สุด
ตอนนั้นท้องฟ้าแจ่มใสประหนึ่งชะล้าง ริ้วเมฆเป็นประกาย ทัศนียภาพชวนชม
…………………..