Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2679 ไผ่เขียวเพลิงอสนี

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2679 ไผ่เขียวเพลิงอสนี

ตอนที่ 2679 ไผ่เขียวเพลิงอสนี

จวินหวนกล่าวเสียงอ่อนโยน “เรื่องเร่งด่วนคือทำให้ศิษย์น้องเข้าสู่หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดได้อย่างราบรื่น เรื่องอื่นล้วนเป็นเรื่องรอง”

หลินสวินกล่าว “ศิษย์พี่ การลงมือสั่งสอนตระกูลจวงไม่อาจส่งผลต่อเรื่องที่ข้าจะเข้าหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด”

จวินหวนเอ่ย “แต่หากฐานะของพวกเราเปิดเผยในเวลานี้ ในน่านฟ้าที่เจ็ดแห่งนี้เกรงว่าคนไม่รู้เท่าไรจะแห่มาจัดการพวกเรา แน่นอนข้ารู้ว่าเจ้าไม่กลัวคลื่นลมพวกนี้ แต่สุดท้ายจะเกิดเหตุไม่คาดฝันมากมาย ไม่คุ้มกัน”

นางหยุดไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “ยิ่งกว่านั้น หากไปจัดการตระกูลจวงเวลานี้แล้วจวงซื่อหลิวรู้เข้า รอตอนที่เจ้าเข้าหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด เกรงว่าจะสร้างความลำบากให้เจ้าไปทุกอย่าง เจ้าหมอนี่อย่างไรก็เป็นผู้ดูแลหอแรกพิสุทธิ์ ทั้งยังเป็นงูเจ้าถิ่น หากอยากจัดการเจ้า ต้องหาข้ออ้างมาได้มากมายเป็นแน่”

จู่ๆ หลินสวินก็ยื่นมือออกมากดไหล่จวินหวนแล้วพูดอย่างจริงจัง “ศิษย์พี่ ข้าสังหารมาตลอดทางตั้งแต่แดนใหญ่พันศึกจนถึงตอนนี้ ยังจะกลัวปัญหายุ่งยากและคลื่นลมอะไรอีก ข้าก็รู้ว่าท่านหวังดีกับข้า แต่ตระกูลจวงนี่ถึงขั้นมารังแกท่านแล้ว ข้าทนไม่ไหวหรอก”

เสียงของเขาราบเรียบ ไม่ปล่อยให้มีข้อกังขา

มองดูใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ใกล้แค่คืบของเขา และรับรู้ได้ถึงความแน่วแน่ในน้ำเสียงของเขา จวินหวนก็อดมึนตื้อ ใจลอยไปชั่วขณะไม่ได้

ครู่ใหญ่นางตบมือของหลินสวินที่กดบนไหล่ออก ก่อนกล่าวยิ้มตาหยี “เจ้าหวังดีกับข้าขนาดนี้ เพราะอยากเกี้ยวข้าใช่หรือไม่”

หน้าผากหลินสวินมีขีดสีดำผุดขึ้นมาทันที ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

ตนกำลังพูดเรื่องจริงจังอยู่นะ!

เหตุใดถึงถูกศิษย์พี่คิดไปอีกอย่างเสียได้…

“เอาละ เรื่องนี้ทำตามแผนการของข้า”

รอยยิ้มจวินหวนหุบลง “พวกเราผู้สืบทอดคีรีดวงกมลกบดานนานหลายปีขนาดนี้แล้ว ไม่เคยทนกล้ำกลืนอะไรบ้าง ไม่ว่าข้า พวกศิษย์พี่สาม หรือว่าพวกศิษย์พี่ใหญ่ ในใจต่างรู้ดีว่าต้องถึงคราวโค่นล้มสิบยักษ์ใหญ่อมตะในสักวัน เจ้าค่อยดูว่าบนโลกนี้ยังจะมีใครกล้าดูเบาอีกบ้าง”

หลินสวินนิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนกล่าว “ได้ เช่นนั้นภายหน้าข้าค่อยมาทวงคืนแดนมงคลไผ่เขียวทีหลัง”

จวินหวนกล่าวหัวเราะชอบใจ “เด็กดีจริงๆ”

หลินสวิน “…”

ในสายตาศิษย์พี่ ตนเป็นเด็กอย่างนั้นหรือ!?

และในเวลานี้ นอกลานเรือนมีเสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งดังขึ้น

เสียงแก่ชราดังตามมาติดๆ “ขอบังอาจถามว่าสหายยุทธ์จวินหวนอยู่ที่นี่หรือไม่ ข้าจวงซิวอู่มุ่งหน้ามาเยี่ยมเยียน”

จวินหวนและหลินสวินสบตากันปราดหนึ่ง ล้วนขมวดคิ้ว

เวลานี้ตระกูลจวงส่งคนมาอีกทำไมกัน

‘อย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่าม ถามจุดประสงค์การมาของเขาก่อน’

จวินหวนสื่อจิตกำชับแล้วเดินตรงไปเปิดประตู

นอกลานเรือน ชายชราเคราขาวชุดหรูหราคนหนึ่งยืนอยู่ เมื่อเห็นจวินหวนเปิดประตูก็เผยสีหน้าละอายใจออกมาทันที กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ยามอยู่แดนมงคลไผ่เขียว พวกสารเลวในตระกูลเหล่านั้นเสียมารยาทเกินไป หวังว่าสหายยุทธ์จะไม่ถือโกรธ”

จวินหวนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หากจะมาขอโทษ ไม่จำเป็นหรอก”

ชายชราที่แนะนำตนว่าชื่อจวงซิวอู่รีบกล่าวเป็นพัลวัน “สหายยุทธ์ ข้ารู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว จึงตั้งใจมาเชิญสหายยุทธ์ไปเป็นแขกที่แดนมงคลไผ่เขียว หนึ่งเพื่อจะการขอโทษ และสองคือเพื่อชดเชยความผิด”

จวินหวนเลิกคิ้วกล่าว “จะชดเชยความผิดอย่างไร”

จวงซิวอู่ประสานหมัดคารวะกล่าวว่า “สหายยุทธ์มาเยือนถึงที่ เพื่อมาขอความช่วยเหลือจากบรรพจารย์จวงซื่อหลิวในตระกูลข้า เรื่องนี้ข้าสามารถรับปากสหายยุทธ์ได้ นอกจากนี้หากสหายยุทธ์ต้องการความช่วยเหลืออื่นให้บอกมาได้เลย ขอเพียงตระกูลข้าสามารถทำได้ ย่อมไม่มีทางบ่ายเบี่ยง”

ไม่ไกลนักหลินสวินเดินมาเอ่ยเสียงเย็น “ออกจะเปลี่ยนท่าทีไวเกินไปหน่อยแล้ว นี่เป็นเพราะอะไร”

จวงซิวอู่มองหลินสวินปราดหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ดูท่าท่านผู้นี้ก็คือสหายยุทธ์หลินสวินผู้สืบทอดคีรีดวงกมล ก่อนหน้านี้ตระกูลข้าทำไม่ถูก ที่น่าเสียดายคือตอนที่ข้ารู้เรื่องนี้ก็ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว จึงตั้งใจมาขอโทษด้วยตัวเองโดยเฉพาะ”

เขาเป็นระดับอมตะคนหนึ่ง

แต่ยามเผชิญหน้ากับหลินสวินก็ไม่ได้วางมาดใดๆ

จวินหวนลังเลทันที หลินสวินจึงยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ผู้อาวุโสท่านนี้มาด้วยความจริงใจขนาดนี้แล้ว พวกเราก็ไม่อาจปฏิเสธ ไปที่แดนมงคลไผ่เขียวสักหน่อยเถิด”

จวงซิวอู่ยิ้มแย้มแจ่มใสทันที กล่าวอย่างกุลีกุจอ “สหายยุทธ์เชิญเร็วเข้า”

ว่าพลางก็เดินนำทางอยู่ข้างหน้า

จวินหวนคิดอยากจะพูดอะไร ก็ถูกหลินสวินดึงแขนเดินตามไป

‘ศิษย์พี่ สนใจไปใยว่าเขาจะเล่นละครทำไม หากขอโทษจากใจจริง เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร แต่หากไม่ได้ขอโทษจากใจ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจ’ หลินสวินสื่อจิตกล่าว

จวินหวนฉลาดเพียงใด มีหรือจะเดาความตั้งใจของหลินสวินไม่ออก อดสื่อจิตกล่าวไม่ได้ ‘ศิษย์น้องเล็ก ข้าพอมองออกแล้ว เจ้าคงอยากให้ตระกูลจวงเล่นละครอะไรใจจะขาดแล้วกระมัง’

หลินสวินยิ้มแต่ไม่เอ่ยพูด

จวินหวนเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้พูดมากความอะไรอีก

แดนมงคลไผ่เขียว

โลกภูผาธาราที่กว้างใหญ่ทอดสลับสูงต่ำแถบหนึ่ง ป่าไผ่เขียวชอุ่มขึ้นเต็มแนวเขา สดชื่นชุ่มฉ่ำ งามวิจิตรแผ่ไพศาล

ที่นี่แสงรัศมีคละคลุ้ง ประกายศักดิ์สิทธิ์แผ่สยาย ไอแรกกำเนิดเก่าแก่แห่ห้อม ต้นไม้ใบหญ้าทุกชนิดล้วนแวววาวโปร่งแสง ประหนึ่งร่องรอยเทพในตำนาน

ลือกันว่าต้นไผ่ในแดนมงคลไผ่เขียวบรรจุเพลิงอสนีแรกกำเนิดเอาไว้ และถูกเรียกขานว่าไผ่เขียวเพลิงอสนี เป็นวัตถุดิบเทพชั้นเยี่ยมในโลก

ไผ่นี่หนึ่งพันปีถึงจะงอกยาวหนึ่งปล้อง หมื่นปีถึงจะกลายเป็นลำ

ไผ่เขียวเพลิงอสนีอายุหนึ่งแสนปีถึงขั้นสามารถฟูมฟักวัตถุอมตะออกมาได้ ใช้เป็นเจตวัตถุอมตะ ล้ำค่าหายากยิ่งยวด

หลังจากจวงซิวอู่พาหลินสวินและจวินหวนเข้าสู่แดนมงคลไผ่เขียว ทั้งตัวก็คล้ายผ่อนคลายลงมาก คอยแนะนำทิวทัศน์ที่พบเห็นตามทางให้ทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มตลอดทาง

จวินหวนสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้มีท่าทีอย่างไรนัก

หลินสวินกลับดูสนอกสนใจ เอ่ยถามไม่หยุด ท่าทีอยากรู้อยากเห็น

อันที่จริงในใจเขาสะท้านสะเทือนมากจริงๆ

แดนมงคลไผ่เขียวแห่งนี้สมกับเป็นโลกแดนมงคลใบหนึ่งที่ ‘รวมความงามวิจิตรทั่วหล้า บ่มเพาะบ่อเกิดต้นกำเนิด’ ลำพังแค่ไอแรกกำเนิดที่แผ่คลุ้งกลางห้วงอากาศก็เกินกว่าสิ่งที่โลกภายนอกจะเทียบชั้นได้แล้ว

หากฝึกปราณอยู่ที่นี่ แม้แต่หมูตัวหนึ่งก็ยังสามารถตื่นรู้ ฝึกปราณบรรลุมรรคาได้!

การเปรียบเทียบนี้หาได้เกินจริง

อย่างน้อยในมุมมองหลินสวิน ที่แห่งนี้สามารถเต็มเติมการฝึกปราณระดับอมตะได้เหลือเฟือ หากใช้ชีวิตเติบโตอยู่ที่นี่และฝึกปราณตั้งแต่เด็ก ก็ไม่ต้องห่วงโดยสิ้นเชิงว่าจะไม่สามารถรุดหน้าแบบก้าวกระโดดในมรรคาได้!

เมื่อเทียบกันแล้ว เขาเทพหลังมังกรในน่านฟ้าที่หกที่ตระกูลลั่วตั้งอยู่พ่ายแพ้หมดรูป

และก่อนหน้านี้นานมากแล้ว ตระกูลลั่วก็เคยปักหลักอยู่ในน่านฟ้าที่เจ็ด ทั้งครอบครอง ‘ถ้ำสวรรค์เรือบัว’ หนึ่งในสิบสองถ้ำสวรรค์ และยิ่งงามวิจิตรกว่าแดนมงคลไผ่เขียวนี่เสียอีก เป็นแดนพิสุทธิ์ระดับปลายยอดของน่านฟ้าที่เจ็ด!

และหลินสวินเพิ่งเข้าใจในตอนนี้เอง ว่าเหตุใดผู้อาวุโสตระกูลลั่วเหล่านั้นจึงโหยหาอาลัยชีวิตสมัยยังอยู่น่านฟ้าที่เจ็ดไม่ลืมเลือน

เขาเทพหลังมังกรไม่อาจเปรียบกับแดนมงคลไผ่เขียวได้สักนิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะไปเทียบกับถ้ำสวรรค์เรือบัวหนึ่งในสิบสองถ้ำสวรรค์

สิ่งที่ควรค่าให้เอ่ยถึงคือ ถ้ำสวรรค์เรือบัวในตอนนี้ถูกตระกูลอวิ๋นหนึ่งในสี่ตระกูลตงหวงยึดครอง

ซึ่งก็คือตระกูลที่อวิ๋นมู่เจออยู่

“ผู้อาวุโส ท่านมีไผ่เขียวเพลิงอสนีอายุแสนปีอยู่ในมือใช่หรือไม่”

เมื่อเห็นว่าจวงซิวอู่พูดถึงไผ่เขียวเพลิงอสนีฉอดๆ หลินสวินจึงเอ่ยถามอย่างใคร่รู้

“มีอยู่แล้ว”

จวงซิวอู่ไม่หยุดคิดสักนิด

“เช่นนั้นให้ข้าชมหน่อยได้หรือไม่” หลินสวินถาม

จวงซิวอู่ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มแล้วหยิบไผ่เขียวเพลิงอสนีลำหนึ่งออกมายื่นให้หลินสวิน “สหายน้อยเชิญชมดู”

ไผ่นี้เล็กเรียว ทั่วลำต้นเขียวมรกตโปร่งแสง มีเพลิงอสนีสีขาวประหนึ่งอมตะเป็นริ้วๆ วับวาบอยู่บนผิวไผ่เขียว แผ่กลิ่นอายดับทำลายอันน่าตกใจออกมา

ถือไว้ในมือถึงกับหนักแสนชั่งเต็ม!

หลินสวินมองสำรวจคร่าวๆ แล้วกล่าวทอดถอนใจ “แดนมงคลไผ่เขียวแห่งนี้สมกับเป็นหนึ่งในสามสิบหกแดนมงคล ถึงกับสามารถให้กำเนิดเจตวัตถุอมตะที่วิเศษมหัศจรรย์สุดหยั่งเช่นนี้ได้ ทำเอาข้าชอบจนวางไม่ลงอยู่บ้าง แค่ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสจะยอมหักใจมอบของสิ่งนี้ให้ข้าได้หรือไม่”

จวินหวนที่อยู่ข้างกันอึ้งไป แววตาเปลี่ยนเป็นพิกล

จวงซิวอู่หนังตากระตุก นิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วหัวเราะฮ่าๆ “ในเมื่อสหายน้อยชอบก็เอาไปได้เลย แม้สมบัตินี้จะหายาก แต่ในมือข้ายังมีเก็บอยู่อีกไม่น้อย”

แม้จะพูดอย่างชื่นบาน แต่ในใจกลับใกล้จะหลั่งเลือดแล้ว

ไผ่เขียวเพลิงอสนีที่ให้หลินสวินชมดูก่อนหน้านี้อายุสองแสนปี มูลค่าน่าตกใจหาใดเปรียบ เดิมเป็นหนึ่งในเจตวัตถุอมตะที่เขาหวงแหน เอาออกมาเพื่อจะอวดนิดๆ หน่อยๆ ให้ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างหลินสวินและจวินหวนนี้ได้เห็นเป็นบุญตา

ใครจะไปคิดว่าหลินสวินถึงกับไม่เล่นตามแผน เอ่ยปากขอโดยตรงหน้าด้านๆ!

นี่ทำให้จวงซิวอู่ทั้งเจ็บใจทั้งเหยียดแคลน ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลในตอนนี้ยิ่งอยู่ยิ่งน่าอนาถแท้ๆ

และเวลานี้หลินสวินเผยสีหน้าประหลาดใจกล่าวขึ้นว่า “ผู้อาวุโสยังมีที่เก็บไว้อีกหรือ”

ในใจจวงซิวอู่เย็นวาบ กล่าวกำกวม “เป็นแค่ของทั่วไปส่วนหนึ่ง ห่างไกลไม่อาจเทียบกับสมบัติในมือสหายน้อยได้”

กลับเห็นหลินสวินเผยสีหน้าเกรงใจก่อนกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ข้ามีคำขอเกินควรบางอย่าง ไม่ทราบว่า…”

จวงซิวอู่เดาอะไรได้แล้ว ใบหน้าเริ่มแข็งทื่อหน่อยๆ อยากอุดปากหลินสวินใจจะขาด!

แต่หลินสวินกลับไม่รู้สึกแม้แต่นิด ยังคงกล่าวต่อไปด้วยสีหน้าขัดเขิน “พอจะมอบให้ข้าเพิ่มอีกหน่อยได้หรือไม่ หาใช่ละโมบ แต่คิดว่าหากได้พบศิษย์พี่คนอื่นๆ ในภายภาคหน้าจะได้นำสมบัติหายากในโลกระดับนี้มอบให้พวกเขา ทำให้พวกเขาได้รู้เหมือนกันว่าแดนมงคลไผ่เขียวแห่งนี้ไม่ธรรมดาปานใด…”

จวงซิวอู่ฟังจบรู้สึกเพียงเลือดขึ้นสมอง แทบทนไม่ไหวอยากบีบเจ้าสารเลวตรงหน้านี้ให้ตาย เจ้าคิดว่าไผ่เขียวเพลิงอสนีอายุหนึ่งแสนปีเป็นผักกาดขาวที่จะขอ ‘เพิ่มอีกหน่อย’ ได้ตามใจชอบหรือไร

ทว่าเวลานี้เขายังไม่สามารถโมโหได้ แม้จะเดือดดาลจนอยากอัดหน้า ‘เกรงใจ’ ของหลินสวินใจจะขาด แต่ก็ทำได้เพียงอดทนไปก่อน

เขาไอแห้งๆ คราหนึ่งก่อนกล่าว “หากสหายน้อยต้องการจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากนัก เอาอย่างนี้แล้วกัน รอตอนที่ทั้งสองคนจะจากไป ข้าจะเตรียมสินน้ำจำไว้ให้พวกเจ้าคนละชิ้น”

หลินสวินเอ่ย “แบบนั้นเกรงใจยิ่งแล้ว”

จวงซิวอู่ไม่พูดต่ออีก เขากลัวว่าหากได้ยินคำพูดของหลินสวินอีกจะถูกยั่วโมโหจนควบคุมตัวเองไม่อยู่

จวินหวนมองดูและรับฟังด้วยรอยยิ้มชอบใจมาตลอด แต่ไม่ได้ห้ามหลินสวินและไม่ได้พูดอะไร

“ท่านทั้งสอง ที่นี่คือสถานที่สำคัญต้อนรับแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลเรา เชิญ”

จนกระทั่งมาถึงเบื้องหน้ายอดเขาที่ตั้งตระหง่านเทียมฟ้า เขียวมรกตทั่วทั้งบนล่างลูกหนึ่ง จวงซิวอู่ยกยิ้มและเปิดทางให้หลินสวินและจวินหวนเดินนำ

กลับเห็นหลินสวินชะงักเท้า ทอดมองยอดเขาโดดลูกนี้ ก่อนกล่าวว่า “สถานที่นี้ไม่ธรรมดายิ่งจริงๆ ปกคลุมด้วยพลังระเบียบ ทั้งยังครอบด้วยกระบวนผนึกเป็นชั้นๆ คนทั่วไปไม่สามารถเข้าไปได้สักนิด”

จวงซิวอู่ยิ้มกล่าว “แน่นอนอยู่แล้ว อย่างไรก็เป็นสถานที่สำคัญของตระกูลข้า”

หลินสวินก็ยิ้มเช่นกัน เอ่ยปากกล่าวเนิบๆ “แต่หากเข้าสู่ภูเขาแห่งนี้ คิดอยากออกไป… เกรงว่าก็ไม่ง่ายเช่นกัน”

เขาทอดสายตามองจวงซิวอู่ “ท่านว่าไหม ผู้อาวุโส”

………………….

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท