ตอนที่ 2679 ไผ่เขียวเพลิงอสนี
จวินหวนกล่าวเสียงอ่อนโยน “เรื่องเร่งด่วนคือทำให้ศิษย์น้องเข้าสู่หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดได้อย่างราบรื่น เรื่องอื่นล้วนเป็นเรื่องรอง”
หลินสวินกล่าว “ศิษย์พี่ การลงมือสั่งสอนตระกูลจวงไม่อาจส่งผลต่อเรื่องที่ข้าจะเข้าหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด”
จวินหวนเอ่ย “แต่หากฐานะของพวกเราเปิดเผยในเวลานี้ ในน่านฟ้าที่เจ็ดแห่งนี้เกรงว่าคนไม่รู้เท่าไรจะแห่มาจัดการพวกเรา แน่นอนข้ารู้ว่าเจ้าไม่กลัวคลื่นลมพวกนี้ แต่สุดท้ายจะเกิดเหตุไม่คาดฝันมากมาย ไม่คุ้มกัน”
นางหยุดไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “ยิ่งกว่านั้น หากไปจัดการตระกูลจวงเวลานี้แล้วจวงซื่อหลิวรู้เข้า รอตอนที่เจ้าเข้าหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด เกรงว่าจะสร้างความลำบากให้เจ้าไปทุกอย่าง เจ้าหมอนี่อย่างไรก็เป็นผู้ดูแลหอแรกพิสุทธิ์ ทั้งยังเป็นงูเจ้าถิ่น หากอยากจัดการเจ้า ต้องหาข้ออ้างมาได้มากมายเป็นแน่”
จู่ๆ หลินสวินก็ยื่นมือออกมากดไหล่จวินหวนแล้วพูดอย่างจริงจัง “ศิษย์พี่ ข้าสังหารมาตลอดทางตั้งแต่แดนใหญ่พันศึกจนถึงตอนนี้ ยังจะกลัวปัญหายุ่งยากและคลื่นลมอะไรอีก ข้าก็รู้ว่าท่านหวังดีกับข้า แต่ตระกูลจวงนี่ถึงขั้นมารังแกท่านแล้ว ข้าทนไม่ไหวหรอก”
เสียงของเขาราบเรียบ ไม่ปล่อยให้มีข้อกังขา
มองดูใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ใกล้แค่คืบของเขา และรับรู้ได้ถึงความแน่วแน่ในน้ำเสียงของเขา จวินหวนก็อดมึนตื้อ ใจลอยไปชั่วขณะไม่ได้
ครู่ใหญ่นางตบมือของหลินสวินที่กดบนไหล่ออก ก่อนกล่าวยิ้มตาหยี “เจ้าหวังดีกับข้าขนาดนี้ เพราะอยากเกี้ยวข้าใช่หรือไม่”
หน้าผากหลินสวินมีขีดสีดำผุดขึ้นมาทันที ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ตนกำลังพูดเรื่องจริงจังอยู่นะ!
เหตุใดถึงถูกศิษย์พี่คิดไปอีกอย่างเสียได้…
“เอาละ เรื่องนี้ทำตามแผนการของข้า”
รอยยิ้มจวินหวนหุบลง “พวกเราผู้สืบทอดคีรีดวงกมลกบดานนานหลายปีขนาดนี้แล้ว ไม่เคยทนกล้ำกลืนอะไรบ้าง ไม่ว่าข้า พวกศิษย์พี่สาม หรือว่าพวกศิษย์พี่ใหญ่ ในใจต่างรู้ดีว่าต้องถึงคราวโค่นล้มสิบยักษ์ใหญ่อมตะในสักวัน เจ้าค่อยดูว่าบนโลกนี้ยังจะมีใครกล้าดูเบาอีกบ้าง”
หลินสวินนิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนกล่าว “ได้ เช่นนั้นภายหน้าข้าค่อยมาทวงคืนแดนมงคลไผ่เขียวทีหลัง”
จวินหวนกล่าวหัวเราะชอบใจ “เด็กดีจริงๆ”
หลินสวิน “…”
ในสายตาศิษย์พี่ ตนเป็นเด็กอย่างนั้นหรือ!?
และในเวลานี้ นอกลานเรือนมีเสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งดังขึ้น
เสียงแก่ชราดังตามมาติดๆ “ขอบังอาจถามว่าสหายยุทธ์จวินหวนอยู่ที่นี่หรือไม่ ข้าจวงซิวอู่มุ่งหน้ามาเยี่ยมเยียน”
จวินหวนและหลินสวินสบตากันปราดหนึ่ง ล้วนขมวดคิ้ว
เวลานี้ตระกูลจวงส่งคนมาอีกทำไมกัน
‘อย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่าม ถามจุดประสงค์การมาของเขาก่อน’
จวินหวนสื่อจิตกำชับแล้วเดินตรงไปเปิดประตู
นอกลานเรือน ชายชราเคราขาวชุดหรูหราคนหนึ่งยืนอยู่ เมื่อเห็นจวินหวนเปิดประตูก็เผยสีหน้าละอายใจออกมาทันที กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ยามอยู่แดนมงคลไผ่เขียว พวกสารเลวในตระกูลเหล่านั้นเสียมารยาทเกินไป หวังว่าสหายยุทธ์จะไม่ถือโกรธ”
จวินหวนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หากจะมาขอโทษ ไม่จำเป็นหรอก”
ชายชราที่แนะนำตนว่าชื่อจวงซิวอู่รีบกล่าวเป็นพัลวัน “สหายยุทธ์ ข้ารู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว จึงตั้งใจมาเชิญสหายยุทธ์ไปเป็นแขกที่แดนมงคลไผ่เขียว หนึ่งเพื่อจะการขอโทษ และสองคือเพื่อชดเชยความผิด”
จวินหวนเลิกคิ้วกล่าว “จะชดเชยความผิดอย่างไร”
จวงซิวอู่ประสานหมัดคารวะกล่าวว่า “สหายยุทธ์มาเยือนถึงที่ เพื่อมาขอความช่วยเหลือจากบรรพจารย์จวงซื่อหลิวในตระกูลข้า เรื่องนี้ข้าสามารถรับปากสหายยุทธ์ได้ นอกจากนี้หากสหายยุทธ์ต้องการความช่วยเหลืออื่นให้บอกมาได้เลย ขอเพียงตระกูลข้าสามารถทำได้ ย่อมไม่มีทางบ่ายเบี่ยง”
ไม่ไกลนักหลินสวินเดินมาเอ่ยเสียงเย็น “ออกจะเปลี่ยนท่าทีไวเกินไปหน่อยแล้ว นี่เป็นเพราะอะไร”
จวงซิวอู่มองหลินสวินปราดหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “ดูท่าท่านผู้นี้ก็คือสหายยุทธ์หลินสวินผู้สืบทอดคีรีดวงกมล ก่อนหน้านี้ตระกูลข้าทำไม่ถูก ที่น่าเสียดายคือตอนที่ข้ารู้เรื่องนี้ก็ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว จึงตั้งใจมาขอโทษด้วยตัวเองโดยเฉพาะ”
เขาเป็นระดับอมตะคนหนึ่ง
แต่ยามเผชิญหน้ากับหลินสวินก็ไม่ได้วางมาดใดๆ
จวินหวนลังเลทันที หลินสวินจึงยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ผู้อาวุโสท่านนี้มาด้วยความจริงใจขนาดนี้แล้ว พวกเราก็ไม่อาจปฏิเสธ ไปที่แดนมงคลไผ่เขียวสักหน่อยเถิด”
จวงซิวอู่ยิ้มแย้มแจ่มใสทันที กล่าวอย่างกุลีกุจอ “สหายยุทธ์เชิญเร็วเข้า”
ว่าพลางก็เดินนำทางอยู่ข้างหน้า
จวินหวนคิดอยากจะพูดอะไร ก็ถูกหลินสวินดึงแขนเดินตามไป
‘ศิษย์พี่ สนใจไปใยว่าเขาจะเล่นละครทำไม หากขอโทษจากใจจริง เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร แต่หากไม่ได้ขอโทษจากใจ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจ’ หลินสวินสื่อจิตกล่าว
จวินหวนฉลาดเพียงใด มีหรือจะเดาความตั้งใจของหลินสวินไม่ออก อดสื่อจิตกล่าวไม่ได้ ‘ศิษย์น้องเล็ก ข้าพอมองออกแล้ว เจ้าคงอยากให้ตระกูลจวงเล่นละครอะไรใจจะขาดแล้วกระมัง’
หลินสวินยิ้มแต่ไม่เอ่ยพูด
จวินหวนเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้พูดมากความอะไรอีก
…
แดนมงคลไผ่เขียว
โลกภูผาธาราที่กว้างใหญ่ทอดสลับสูงต่ำแถบหนึ่ง ป่าไผ่เขียวชอุ่มขึ้นเต็มแนวเขา สดชื่นชุ่มฉ่ำ งามวิจิตรแผ่ไพศาล
ที่นี่แสงรัศมีคละคลุ้ง ประกายศักดิ์สิทธิ์แผ่สยาย ไอแรกกำเนิดเก่าแก่แห่ห้อม ต้นไม้ใบหญ้าทุกชนิดล้วนแวววาวโปร่งแสง ประหนึ่งร่องรอยเทพในตำนาน
ลือกันว่าต้นไผ่ในแดนมงคลไผ่เขียวบรรจุเพลิงอสนีแรกกำเนิดเอาไว้ และถูกเรียกขานว่าไผ่เขียวเพลิงอสนี เป็นวัตถุดิบเทพชั้นเยี่ยมในโลก
ไผ่นี่หนึ่งพันปีถึงจะงอกยาวหนึ่งปล้อง หมื่นปีถึงจะกลายเป็นลำ
ไผ่เขียวเพลิงอสนีอายุหนึ่งแสนปีถึงขั้นสามารถฟูมฟักวัตถุอมตะออกมาได้ ใช้เป็นเจตวัตถุอมตะ ล้ำค่าหายากยิ่งยวด
หลังจากจวงซิวอู่พาหลินสวินและจวินหวนเข้าสู่แดนมงคลไผ่เขียว ทั้งตัวก็คล้ายผ่อนคลายลงมาก คอยแนะนำทิวทัศน์ที่พบเห็นตามทางให้ทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มตลอดทาง
จวินหวนสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้มีท่าทีอย่างไรนัก
หลินสวินกลับดูสนอกสนใจ เอ่ยถามไม่หยุด ท่าทีอยากรู้อยากเห็น
อันที่จริงในใจเขาสะท้านสะเทือนมากจริงๆ
แดนมงคลไผ่เขียวแห่งนี้สมกับเป็นโลกแดนมงคลใบหนึ่งที่ ‘รวมความงามวิจิตรทั่วหล้า บ่มเพาะบ่อเกิดต้นกำเนิด’ ลำพังแค่ไอแรกกำเนิดที่แผ่คลุ้งกลางห้วงอากาศก็เกินกว่าสิ่งที่โลกภายนอกจะเทียบชั้นได้แล้ว
หากฝึกปราณอยู่ที่นี่ แม้แต่หมูตัวหนึ่งก็ยังสามารถตื่นรู้ ฝึกปราณบรรลุมรรคาได้!
การเปรียบเทียบนี้หาได้เกินจริง
อย่างน้อยในมุมมองหลินสวิน ที่แห่งนี้สามารถเต็มเติมการฝึกปราณระดับอมตะได้เหลือเฟือ หากใช้ชีวิตเติบโตอยู่ที่นี่และฝึกปราณตั้งแต่เด็ก ก็ไม่ต้องห่วงโดยสิ้นเชิงว่าจะไม่สามารถรุดหน้าแบบก้าวกระโดดในมรรคาได้!
เมื่อเทียบกันแล้ว เขาเทพหลังมังกรในน่านฟ้าที่หกที่ตระกูลลั่วตั้งอยู่พ่ายแพ้หมดรูป
และก่อนหน้านี้นานมากแล้ว ตระกูลลั่วก็เคยปักหลักอยู่ในน่านฟ้าที่เจ็ด ทั้งครอบครอง ‘ถ้ำสวรรค์เรือบัว’ หนึ่งในสิบสองถ้ำสวรรค์ และยิ่งงามวิจิตรกว่าแดนมงคลไผ่เขียวนี่เสียอีก เป็นแดนพิสุทธิ์ระดับปลายยอดของน่านฟ้าที่เจ็ด!
และหลินสวินเพิ่งเข้าใจในตอนนี้เอง ว่าเหตุใดผู้อาวุโสตระกูลลั่วเหล่านั้นจึงโหยหาอาลัยชีวิตสมัยยังอยู่น่านฟ้าที่เจ็ดไม่ลืมเลือน
เขาเทพหลังมังกรไม่อาจเปรียบกับแดนมงคลไผ่เขียวได้สักนิด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะไปเทียบกับถ้ำสวรรค์เรือบัวหนึ่งในสิบสองถ้ำสวรรค์
สิ่งที่ควรค่าให้เอ่ยถึงคือ ถ้ำสวรรค์เรือบัวในตอนนี้ถูกตระกูลอวิ๋นหนึ่งในสี่ตระกูลตงหวงยึดครอง
ซึ่งก็คือตระกูลที่อวิ๋นมู่เจออยู่
“ผู้อาวุโส ท่านมีไผ่เขียวเพลิงอสนีอายุแสนปีอยู่ในมือใช่หรือไม่”
เมื่อเห็นว่าจวงซิวอู่พูดถึงไผ่เขียวเพลิงอสนีฉอดๆ หลินสวินจึงเอ่ยถามอย่างใคร่รู้
“มีอยู่แล้ว”
จวงซิวอู่ไม่หยุดคิดสักนิด
“เช่นนั้นให้ข้าชมหน่อยได้หรือไม่” หลินสวินถาม
จวงซิวอู่ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มแล้วหยิบไผ่เขียวเพลิงอสนีลำหนึ่งออกมายื่นให้หลินสวิน “สหายน้อยเชิญชมดู”
ไผ่นี้เล็กเรียว ทั่วลำต้นเขียวมรกตโปร่งแสง มีเพลิงอสนีสีขาวประหนึ่งอมตะเป็นริ้วๆ วับวาบอยู่บนผิวไผ่เขียว แผ่กลิ่นอายดับทำลายอันน่าตกใจออกมา
ถือไว้ในมือถึงกับหนักแสนชั่งเต็ม!
หลินสวินมองสำรวจคร่าวๆ แล้วกล่าวทอดถอนใจ “แดนมงคลไผ่เขียวแห่งนี้สมกับเป็นหนึ่งในสามสิบหกแดนมงคล ถึงกับสามารถให้กำเนิดเจตวัตถุอมตะที่วิเศษมหัศจรรย์สุดหยั่งเช่นนี้ได้ ทำเอาข้าชอบจนวางไม่ลงอยู่บ้าง แค่ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสจะยอมหักใจมอบของสิ่งนี้ให้ข้าได้หรือไม่”
จวินหวนที่อยู่ข้างกันอึ้งไป แววตาเปลี่ยนเป็นพิกล
จวงซิวอู่หนังตากระตุก นิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วหัวเราะฮ่าๆ “ในเมื่อสหายน้อยชอบก็เอาไปได้เลย แม้สมบัตินี้จะหายาก แต่ในมือข้ายังมีเก็บอยู่อีกไม่น้อย”
แม้จะพูดอย่างชื่นบาน แต่ในใจกลับใกล้จะหลั่งเลือดแล้ว
ไผ่เขียวเพลิงอสนีที่ให้หลินสวินชมดูก่อนหน้านี้อายุสองแสนปี มูลค่าน่าตกใจหาใดเปรียบ เดิมเป็นหนึ่งในเจตวัตถุอมตะที่เขาหวงแหน เอาออกมาเพื่อจะอวดนิดๆ หน่อยๆ ให้ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างหลินสวินและจวินหวนนี้ได้เห็นเป็นบุญตา
ใครจะไปคิดว่าหลินสวินถึงกับไม่เล่นตามแผน เอ่ยปากขอโดยตรงหน้าด้านๆ!
นี่ทำให้จวงซิวอู่ทั้งเจ็บใจทั้งเหยียดแคลน ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลในตอนนี้ยิ่งอยู่ยิ่งน่าอนาถแท้ๆ
และเวลานี้หลินสวินเผยสีหน้าประหลาดใจกล่าวขึ้นว่า “ผู้อาวุโสยังมีที่เก็บไว้อีกหรือ”
ในใจจวงซิวอู่เย็นวาบ กล่าวกำกวม “เป็นแค่ของทั่วไปส่วนหนึ่ง ห่างไกลไม่อาจเทียบกับสมบัติในมือสหายน้อยได้”
กลับเห็นหลินสวินเผยสีหน้าเกรงใจก่อนกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ข้ามีคำขอเกินควรบางอย่าง ไม่ทราบว่า…”
จวงซิวอู่เดาอะไรได้แล้ว ใบหน้าเริ่มแข็งทื่อหน่อยๆ อยากอุดปากหลินสวินใจจะขาด!
แต่หลินสวินกลับไม่รู้สึกแม้แต่นิด ยังคงกล่าวต่อไปด้วยสีหน้าขัดเขิน “พอจะมอบให้ข้าเพิ่มอีกหน่อยได้หรือไม่ หาใช่ละโมบ แต่คิดว่าหากได้พบศิษย์พี่คนอื่นๆ ในภายภาคหน้าจะได้นำสมบัติหายากในโลกระดับนี้มอบให้พวกเขา ทำให้พวกเขาได้รู้เหมือนกันว่าแดนมงคลไผ่เขียวแห่งนี้ไม่ธรรมดาปานใด…”
จวงซิวอู่ฟังจบรู้สึกเพียงเลือดขึ้นสมอง แทบทนไม่ไหวอยากบีบเจ้าสารเลวตรงหน้านี้ให้ตาย เจ้าคิดว่าไผ่เขียวเพลิงอสนีอายุหนึ่งแสนปีเป็นผักกาดขาวที่จะขอ ‘เพิ่มอีกหน่อย’ ได้ตามใจชอบหรือไร
ทว่าเวลานี้เขายังไม่สามารถโมโหได้ แม้จะเดือดดาลจนอยากอัดหน้า ‘เกรงใจ’ ของหลินสวินใจจะขาด แต่ก็ทำได้เพียงอดทนไปก่อน
เขาไอแห้งๆ คราหนึ่งก่อนกล่าว “หากสหายน้อยต้องการจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากนัก เอาอย่างนี้แล้วกัน รอตอนที่ทั้งสองคนจะจากไป ข้าจะเตรียมสินน้ำจำไว้ให้พวกเจ้าคนละชิ้น”
หลินสวินเอ่ย “แบบนั้นเกรงใจยิ่งแล้ว”
จวงซิวอู่ไม่พูดต่ออีก เขากลัวว่าหากได้ยินคำพูดของหลินสวินอีกจะถูกยั่วโมโหจนควบคุมตัวเองไม่อยู่
จวินหวนมองดูและรับฟังด้วยรอยยิ้มชอบใจมาตลอด แต่ไม่ได้ห้ามหลินสวินและไม่ได้พูดอะไร
“ท่านทั้งสอง ที่นี่คือสถานที่สำคัญต้อนรับแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลเรา เชิญ”
จนกระทั่งมาถึงเบื้องหน้ายอดเขาที่ตั้งตระหง่านเทียมฟ้า เขียวมรกตทั่วทั้งบนล่างลูกหนึ่ง จวงซิวอู่ยกยิ้มและเปิดทางให้หลินสวินและจวินหวนเดินนำ
กลับเห็นหลินสวินชะงักเท้า ทอดมองยอดเขาโดดลูกนี้ ก่อนกล่าวว่า “สถานที่นี้ไม่ธรรมดายิ่งจริงๆ ปกคลุมด้วยพลังระเบียบ ทั้งยังครอบด้วยกระบวนผนึกเป็นชั้นๆ คนทั่วไปไม่สามารถเข้าไปได้สักนิด”
จวงซิวอู่ยิ้มกล่าว “แน่นอนอยู่แล้ว อย่างไรก็เป็นสถานที่สำคัญของตระกูลข้า”
หลินสวินก็ยิ้มเช่นกัน เอ่ยปากกล่าวเนิบๆ “แต่หากเข้าสู่ภูเขาแห่งนี้ คิดอยากออกไป… เกรงว่าก็ไม่ง่ายเช่นกัน”
เขาทอดสายตามองจวงซิวอู่ “ท่านว่าไหม ผู้อาวุโส”
………………….