Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2680 ระเบียบพิรุณเคราะห์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2680 ระเบียบพิรุณเคราะห์

ตอนที่ 2680 ระเบียบพิรุณเคราะห์

จวงซิวอู่อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนหัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “สหายน้อยช่างเข้าใจพูดเล่นจริงๆ”

หลินสวินกล่าวยิ้มๆ “ผู้อาวุโส ประเดี๋ยวตอนที่ข้าและศิษย์พี่จากไป ท่านอย่าลืมสินน้ำใจที่รับปากว่าจะให้พวกเราเชียวล่ะ”

รอยยิ้มของจวงซิวอู่แข็งค้างน้อยๆ ทันที เวลาไหนแล้วเจ้าเวรนี่ยังมัวห่วงเรื่องพวกนี้อีก!

หลินสวินไม่ได้สนใจจวงซิวอู่อีก เดินตามเส้นทางภูเขาขึ้นไปข้างบน

ตั้งแต่ต้นจนจบจวินหวนเดินตามหลินสวินไปโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ

เมื่อเห็นเช่นนี้รอยยิ้มบนใบหน้าของจวงซิวอู่หุบลง ทั้งตัวคล้ายจะยิ่งผ่อนคลายลงเรื่อยๆ ก่อนสาวเท้าเดินไปตามเส้นทางภูเขา

บริเวณไหล่เขา

ไผ่เขียวเนืองแน่น หญ้าสดโน้มใบ คฤหาสน์เก่าแก่แห่งหนึ่งตั้งตระหง่าน

ภายในคฤหาสน์ว่างเปล่าไร้ผู้คน

หรือกล่าวอีกอย่างคือทั่วยอดเขาทั้งบนล่างล้วนไม่มีใครสักคน แม้แต่บ่าวไพร่ที่คอยปรนนิบัติยังไม่มี

หลินสวินหยุดยืนอยู่ตรงหน้าคฤหาสน์ แล้วหมุนตัวมองทางจวงซิวอู่พลางยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโส ท่านตั้งใจจะขอโทษก่อน หรือว่าจัดการเรื่องราวก่อนหรือ”

จวินหวนยืนอยู่ข้างๆ หลินสวิน นัยน์ตาใจกระจ่างมองจวงซิวอู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นกัน

“ขอโทษหรือ”

จวงซิวอู่กลั้นหัวเราะไม่ไหวอีกต่อไป แววตาที่มองหลินสวินและจวินหวนก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เจือแววเวทนาขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง “พวกเจ้าสองคน เขานี้นามว่า ‘ไต่สวน’ เป็นสถานที่สำคัญสำหรับกักขังนักโทษของตระกูลเรา ไม่ได้ใช้งานนานหลายปีแล้ว”

หลินสวินพูดอย่างประหลาดใจ “กล่าวเช่นนี้ ท่านก็ไม่ได้ขอโทษสักนิด หากแต่จะกักขังข้ากับศิษย์พี่ไว้ที่นี่หรือ”

“เพิ่งเข้าใจเอาป่านนี้หรือ”

จวงซิวอู่สีหน้าเหมือนมองคนเบาปัญญา กล่าวเย้ยหยัน “ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างพวกเจ้าล้วนถูกสิบยักษ์ใหญ่น่านฟ้าที่แปดหมายหัวแล้ว สถานการณ์อันตรายปานใดกลับยังกล้าเปิดเผยร่องรอยประเจิดประเจ้อเช่นนี้ ต้องโง่เง่าเพียงไหน”

เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “แน่นอน พวกเจ้าก็ไม่ต้องกังวลไป ดีชั่วตระกูลจวงของข้าก็เห็นแก่ไมตรีในอดีต ไม่มีทางลงมือสังหารพวกเจ้าแน่ ขอเพียงพวกเจ้าอยู่ที่นี่แต่โดยดีก็พอ”

หลินสวินกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “หากไม่ยินดีช่วยพวกเราทั้งยังไม่อยากขอโทษ เหตุใดต้องทำเช่นนี้ด้วย”

จวงซิวอู่กล่าวเสียงเย็น “อยากรู้จริงๆ หรือ”

หลินสวินพยักหน้า

“เช่นนั้นข้าจะบอกพวกเจ้าให้ก็ได้ ก่อนหน้านี้นานมากแล้ว ตระกูลจวงของข้าอาศัยความเกี่ยวข้องกับบรรพจารย์จวงซื่อหลิว ไปเชื่อมสัมพันธ์ทางการแต่งงานกับ ‘ตระกูลมู่’ หนึ่งในสิบยักษ์ใหญ่อมตะ”

กล่าวถึงตรงนี้หว่างคิ้วจวงซิวอู่ปรากฏแววภาคภูมิใจขึ้นรางๆ มองหลินสวินด้วยสายตาเย็นเยียบ “ส่วนเจ้าหนุ่มอย่างเจ้า ปีนั้นเคยสังหารมู่อี้บุคคลชั้นสูงของตระกูลมู่ในโบราณสถานทวยเทพ แค้นนี้ตระกูลมู่ไม่เคยลืมมาโดยตลอด”

หลินสวินเข้าใจทันที เอ่ยว่า “ดังนั้นพวกเจ้าตระกูลจวงจึงตั้งใจจะจับข้าให้ตระกูลมู่จัดการหรือ”

จวงซิวอู่กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เดิมทีพวกเราก็ไม่ได้คิดจะทำเช่นนี้สักนิด แต่ใครใช้ให้พวกเจ้าเป็นฝ่ายโร่มาหาถึงที่เองเล่า หากจะโทษก็โทษที่พวกเจ้าโชคไม่ดี มีเคราะห์ครานี้ก็สมควรแล้ว!”

“ศิษย์พี่ ที่แท้พวกเราติดกับแล้วจริงๆ”

หลินสวินหันมองจวินหวน

จวินหวนเหลือบมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใจเจ้าอยากเห็นมากที่สุดพอดีหรือ”

หลินสวินหัวเราะทันที

เมื่อเห็นว่าทั้งคู่พูดคุยกันตามสบาย ไม่ได้สำเหนียกว่ากลายเป็นนักโทษแต่อย่างใด จวงซิวอู่ก็พูดเตือนขึ้นว่า “ทั่วบนล่างยอดเขาไต่สวนปกคลุมด้วย ‘พิรุณเคราะห์’ ระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้าของตระกูลข้า หากพวกเจ้าไม่รู้ดีชั่ว พยายามจะต่อต้าน ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”

เสียงเจือแววคุกคามแข็งกร้าว

หลินสวินยิ้มชื่นบานยิ่งกว่าเดิม มองดูจวงซิวอู่ แววตาปรากฏแววเวทนาออกมาเช่นกัน กล่าวว่า “เจ้าเฒ่า เดิมทีพวกเราตั้งใจจะอดกลั้นความคับข้องเอาไว้ ไม่ถือสาตระกูลจวงของพวกเจ้า แต่ตอนนี้ดูท่าพวกเจ้าตระกูลจวงจะไม่เพียงไม่สำนึกบุญคุณ แต่คิดจะแทนคุณด้วยความแค้น เจ้าเล่ห์ใจระยำชัดๆ”

จวงซิวอู่สีหน้าขรึมลง “พูดดีๆ ไม่ชอบ ชอบให้ใช้กำลัง!”

ตูม!

หยกประดับใบไผ่ชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือของเขา เมื่อหยกประดับเรืองแสง กลางห้วงอากาศพลันมีสายฝนพรำขมุกขมัวขึ้นมาทันที เล็กละเอียดวูบไหว

แต่น้ำฝนเป็นหยดๆ นั่นกลับแผ่กลิ่นอายพิบัติเคราะห์ทำลายล้างน่าสะพรึงออกมา ทันทีที่ปรากฏก็ครอบฟ้าดินแถบนี้ราวกับแหนับไม่ถ้วน

พิรุณเคราะห์!

พลังระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้าที่วิเศษมหัศจรรย์หาใดเปรียบอย่างหนึ่ง!

และเวลานี้สีหน้าจวงซิวอู่ก็เปลี่ยนเป็นอำมหิตขึ้นมาเช่นกัน แววตาดูแคลนไม่ปกปิดใดๆ

แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ หลินสวินและจวินหวนล้วนเยือกเย็นมากอย่างเห็นได้ชัด แววตาที่มองเขาก็เจือแววดูแคลนและอำมหิตแบบเดียวกัน

นี่ผิดวิสัยเกินไปแล้ว

ในใจจวงซิวอู่เกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมาอย่างประหลาด

นอกยอดเขาไต่สวน

ผู้ตระกูลจวงปี้ป๋อนำขบวนบุคคลสำคัญกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่นี่

จวงปี้ป๋อผมเคราราวหมึก สวมชุดลายมังกรเหลืองสด รูปร่างกำยำ ใบหน้าเหลี่ยมเต็มไปด้วยอานุภาพดุดัน

เขาเป็นระดับอมตะขั้นอายุขัยเทียมฟ้า กุมอำนาจในตระกูลมาเป็นเวลาเก้าพันปีแล้ว

เมื่อเปรียบเทียบกัน ตัวเขาเรียกได้ว่าเป็นผู้นำตระกูลที่อายุน้อยคนหนึ่ง เพราะบรรดาเผ่าจักรพรรดิอมตะส่วนใหญ่ในน่านฟ้าที่เจ็ด ผู้นำตระกูลที่กุมอำนาจของตระกูลหลายหมื่นปีนั้นมีไม่น้อย

จะว่าไปเขาควรต้องขอบคุณจวงซื่อหลิวพี่ชายของเขา หากไม่เพราะจวงซื่อหลิวถูกเลือกไปฝึกปราณที่หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดในปีนั้น ตำแหน่งผู้นำตระกูลนี้ย่อมตกเป็นของจวงซื่อหลิว

แต่ตอนนี้จวงซื่อหลิวเป็นหนึ่งในผู้ดูแลหอแรกพิสุทธิ์ของลัทธิแรกกำเนิดแล้ว หากพูดถึงตำแหน่งและอำนาจ ก็เหนือกว่าผู้นำตระกูลอย่างเขานัก

ถึงขั้นที่เป็นเพราะจวงซื่อหลิว ทำให้ตระกูลจวงของพวกเขาได้รับผลประโยชน์มากมายเช่นกัน

ที่ได้เชื่อมสัมพันธ์ทางการแต่งงานกับตระกูลมู่แห่งน่านฟ้าที่แปดก็เพราะจวงซื่อหลิวออกหน้าให้ ตอนนี้กลายเป็นที่โจษขานของน่านฟ้าที่เจ็ด

ข้างกายจวงปี้ป๋อมีชายหญิงห้าหกคนยืนอยู่ ล้วนเป็นคนสนิทของจวงปี้ป๋อ แต่ละคนต่างมีมรรควิถีระดับอมตะ

หากจวินหวนอยู่ที่นี่ต้องจำได้แน่ ว่าคนพวกนี้ก็คือกลุ่มคนที่เคยดูถูกเหยียดหยามนางยามที่นางมายังตระกูลจวงคราแรก

“ผู้อาวุโสใหญ่ใช้ระเบียบพิรุณเคราะห์แล้ว!”

มีคนส่งเสียง สังเกตได้ว่าทั้งบนล่างของยอดเขาไต่สวนปรากฏระลอกคลื่นพลังระเบียบน่าตกใจ

“เหอะๆ เศษเดนคีรีดวงกมลสองคนนั้นต้องไม่ยอมถูกจองจำแน่ จะต่อต้านก็เป็นเรื่องปกติ”

มีคนหัวเบาะเบาๆ ไม่ใส่ใจสักนิด

“จะโทษว่าตระกูลจวงของพวกเราแล้งน้ำใจไม่ได้ ใครใช้ให้เศษเดนคีรีดวงกมลพวกนี้กลายเป็นหนูข้างถนนที่ใครต่างก็ตะโกนไล่ตีกันเล่า หากพวกเราไปข้องเกี่ยวกับพวกเขา เกรงว่าต้องถูกสิบยักษ์ใหญ่มองเป็นศัตรูเป็นแน่”

มีคนเอ่ยเย็นชา

“หลินสวินนั่นเคยฆ่ามู่อี้บุตรชายคนเล็กของหัวหน้าตระกูลมู่ และพวกเรากับตระกูลมู่ก็เชื่อมสัมพันธ์ทางการแต่งงานกันนานแล้ว เรื่องนี้พวกเราไม่อาจนิ่งดูดายได้”

ทุกคนพูดคุยกัน สีหน้าล้วนผ่อนคลาย ไม่กังวลเรื่องที่เกิดบนยอดเขาไต่สวนสักนิด

นี่คืออาณาเขตของพวกเขา และยอดเขาไต่สวนยังเป็นสถานที่สำคัญ ด้วยพลังอมตะขั้นดับเทพของผู้อาวุโสใหญ่จวงซิวอู่ ทั้งยังครอบครองสมบัติระเบียบ มีหรือจะจัดการเศษเดนคีรีดวงกมลสองคนไม่ได้

“จำไว้ ห้ามให้เรื่องนี้รั่วไหล หากให้เศษเดนคีรีดวงกมลที่กระจายตัวอยู่ที่อื่นรู้เข้า จะต้องมาเยือนเพื่อซักไซ้เป็นแน่ แม้พวกเราจะไม่กลัว แต่ถึงอย่างไรก็อาจสร้างปัญหายุ่งยากขึ้นไม่น้อย”

หัวหน้าตระกูลจวงปี้ป๋อกล่าวเสียงเข้ม “อีกอย่าง จะอย่างไรปีนั้นเจ้าแห่งคีรีดวงกมลก็เคยช่วยตระกูลจวงของพวกเรา หากเรื่องในวันนี้แพร่ออกไป จะทำให้ขุมอำนาจอื่นในน่านฟ้าที่เจ็ดแห่งนี้หัวเราะเยาะ ทำให้ชื่อเสียงบารมีของพวกเราตระกูลจวงเสื่อมเสียเอาได้”

ทุกคนล้วนพยักหน้า

ตูม!

เสียงดังสนั่นน่าตกใจดังลอยมาจากบนยอดเขาไต่สวน ยอดเขาที่ตั้งตระหง่านค้ำฟ้าล้วนสั่นโคลงกึกก้องคราหนึ่ง พลังผนึกเป็นชั้นๆ ที่ปกคลุมยอดเขาทั้งบนล่างเริ่มปั่นป่วนรุนแรง

นี่ทำให้คนไม่น้อยตกใจ

“ไม่ต้องตกใจ ดีชั่วจวินหวนคนนั้นก็เป็นขั้นดับเทพ ในมือย่อมต้องครอบคองไพ่ตายบางอย่าง ไม่ใช่จะถูกกำราบง่ายๆ ขนาดนั้น”

จวงปี้ป๋อเอาสองมือไพล่หลัง กล่าวเฉยเมย “แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้านอานุภาพของระเบียบพิรุณเคราะห์ไม่ได้ ต้องถูกกำราบแน่นอน พวกเรารอฟังข่าวดีจากผู้อาวุโสใหญ่อยู่ที่นี่ก็พอ”

“หัวหน้าตระกูลกล่าวถูกต้องที่สุด”

คนทั้งกลุ่มพากันหัวเราะ

แต่ไม่ทันไร

เพียะ!

เสียงตบดังกังวานสายหนึ่งดังก้อง แม้จะมีกระบวนผนึกเป็นชั้นๆ กั้นไว้ก็ยังได้ยินชัดเจน

เสียงร้องโหยหวนราวหมูถูกเชือดดังตามออกมาติดๆ

ชั่วขณะเดียวทุกคนล้วนอึ้งไป เผยแววไม่อยากเชื่อ เสียงนี้… เหตุใดคล้ายดังมาจากผู้อาวุโสใหญ่

เนื่องจากมีกระบวนผนึกเป็นชั้นๆ ขวางอยู่ จิตรับรู้ของพวกเขาถูกปิดกั้น มองไม่เห็นภาพภายในยอดเขาไต่สวนสักนิด

และจวงปี้ป๋อที่ก่อนหน้านี้ยังสงบนิ่งนอนใจ คอยวางอุบายอยู่เบื้องหลัง เวลานี้กลับหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่

“แย่แล้ว! เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น!”

ว่าพลางเขาลงมือเปิดพลังผนึกที่ปกคลุมยอดเขาไต่สวนทั้งบนล่างในทันที เงาร่างพุ่งตรงเข้าไป

คนอื่นมีหรือจะกล้ายืดยาด ล้วนตามเข้าไปทันที

บริเวณไหล่เขา

อาคารเก่าแก่พังถล่มกลายเป็นซาก ก้อนหินต้นไม้ใบหญ้าแหลกกระจุย

จวงซิวอู่ที่มีมรรควิถีขั้นดับเทพถูกกดอยู่กับพื้น ทั่วร่างแตกหัก ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าชราซูบตอบบวมแดงราวหัวหมู

ในปากเขาหลั่งเลือด ฟันหักร่วงลงมามากมาย

หลินสวินม้วนแขนเสื้อ กางมือสองข้างออก แล้วกระหน่ำฟาดฝ่ามือตบลงไปไม่ยั้ง เสียงตบนั่นดังถี่กระชั้นดุจลั่นกลอง

เพียะๆๆ!

กลางเขาเต็มไปด้วยเสียงกังวานดังสะท้อนไปมาไม่ขาดสาย

จวินหวนยืนอยู่ข้างๆ ชุดยาวสีชมพูพลิ้วไหว ใบหน้างามประณีตเผยแววจริงจัง

นางกำลังนับสมบัติที่ยึดมาจากตัวจวงซิวอู่ ริมฝีปากแดงระเรื่อเผยอน้อยๆ รีบเอ่ยขึ้นว่า

“ศิษย์น้องเล็ก ศาสตรามรรคอมตะในตัวเจ้าเฒ่านี่มีสองชิ้น ไผ่เขียวเพลิงอสนีที่อายุเกินแสนปีขึ้นไปยังมีอีกสามชิ้น นอกจากนี้ยังมีวัตถุอมตะอีกบางส่วน ทรัพย์สินนับว่าไม่เลว แต่ต้องไม่ใช่สมบัติทั้งหมดของเขาอย่างแน่นอน”

หลินสวินได้ยินจึงเอ่ยขึ้น “หากกล่าวเช่นนี้ สมบัติชั้นดีของเจ้าเฒ่านี่ก็น่าจะยังอยู่ในตัวเขา ให้ผ่าอกเปิดท้องเขาดูไหม”

จวงซิวอู่ที่ถูกตบแรงจนหน้าตายับเยินบนพื้นส่งเสียงตะโกนดุกร้าวเดือดดาล ในใจรู้สึกอัปยศยิ่งนัก

ระดับอมตะขั้นดับเทพผู้สูงส่ง ในน่านฟ้าที่เจ็ดนี้ยังเรียกได้ว่าเป็นคนที่เรียกลมเรียกฝนได้ แต่ตอนนี้กลับถูกผู้อื่นกดลงกับพื้นกระหน่ำตบหน้า!

ฝึกปราณจนบัดนี้ เขาเคยอดสูและสิ้นท่าขนาดนี้เสียที่ไหน

และเมื่อนึกถึงภาพการพ่ายแพ้ราบคาบเมื่อครู่ นอกจากโมโหและคับข้องใจแล้ว ในหัวจวงซิวอู่ยังมึนตื้อน้อยๆ จนตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจ

ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งใช้ระเบียบพิรุณเคราะห์ ตั้งใจจะกำราบจวินหวนในคราเดียว จากนั้นค่อยจัดการมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างหลินสวิน

ใครจะไปคิด เหตุเหนือคาดกลับเกิดขึ้นจากตัวหลินสวินที่ถูกเขามองข้าม ฝ่ายหลังเพียงกระตุ้นเตากระบี่ก็ต้านทานพลังสังหารจากระเบียบพิรุณเคราะห์ได้แล้ว

และอาศัยโอกาสนี้ เมื่อจวินหวนลงมือก็กำราบเขาได้ในกระบี่เดียว!

กระบี่นั้นน่าทึ่งจนถึงขั้นตะลึงโลก เป็นหนึ่งในมรรคกระบี่ที่น่าสะพรึงที่สุดเท่าที่จวงซิวอู่เคยพบเจอ

เพียงชั่วอึดใจสั้นๆ ก็ตัดสินแพ้ชนะได้

น่ากลัวเกินไปแล้ว!

และในตอนนี้พลังปราณของเขาไม่เพียงถูกจองจำ แม้แต่สมบัติบนตัวล้วนถูกยึดไปหมด ทั้งตัวเขายิ่งถูกหลินสวินกดลงพื้นตบตีไม่ยั้ง…

ความอัปยศอดสูอย่างไม่เคยมีมาก่อนนี้ทะลวงเข้ากลางใจจวงซิวอู่ ราวกับมีดคมกริบที่ทำให้เขาเจียนเสียสติ

………………………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท