ตอนที่ 2695 พบอวิ๋นมู่เจออีกครั้ง
การผ่านด่านของโจวจือจือสร้างความฮือฮาขึ้นไม่น้อย
แต่หลังจากทุกคนนึกถึงหลินสวินที่มีโอกาสผ่านด่านสูงมากตั้งแต่วันแรกของการทดสอบ ความตื่นเต้นในใจก็ลดลงไปมาก
ในเวลาถัดมา มีมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิผ่านด่านติดต่อกัน ในนั้นไม่ขาดบุคคลสะท้านยุคที่สะดุดตาหาใดเปรียบจำนวนหนึ่ง
แต่เมื่อเทียบกันแล้ว มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่ถูกคัดออกก็มีมากกว่า
เพราะทุกครั้งที่มีมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่งผ่านด่าน นั่นหมายความว่าจะมีมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิสามคนถูกคัดออก
ทั้งหมดนี้ทำให้บรรยากาศในที่นี้เปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ
มีคนดีใจแทบบ้า และมีคนถอนใจเสียดาย หลายคนสุขสันต์ ขณะที่อีกหลายคนทุกข์ตรม
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่เฒ่าดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิตอยู่มาไม่รู้กี่หมื่นปีในใจยังไม่อาจสงบได้
ไม่มีใครรู้ดียิ่งกว่าพวกเขาอีกแล้ว ว่าการเข้าสู่หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดเป็นวาสนาที่ไม่อาจร้องขอมากเพียงใด และเพราะล้ำค่ายิ่งยวด ดังนั้นจึงพิถีพิถันเช่นนั้น
วันที่สิบของการทดสอบรอบแรก
หลินสวินเจอกับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิกลุ่มหนึ่งอีกครั้ง
มีจำนวนสิบกว่าคน เรียกได้ว่าอานุภาพเกรียงไกร กำลังพลน่าตกใจ
ขณะนี้ระดับอมตะจากสี่ตระกูลตงหวงต่างเครียดเกร็งขึ้นมา นัยน์ตาจับจ้องแน่วนิ่ง สีหน้าเริ่มอึมครึมขึ้นมารางๆ
เพราะมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่บังเอิญพบกับหลินสวินกลุ่มนั้น ส่วนใหญ่มาจากสี่ตระกูลตงหวงของพวกเขา!
มีเพียงจำนวนประปรายเท่านั้นที่มาจากเผ่าจักรพรรดิอมตะตระกูลอื่น
“ศึกนี้ต่อให้เขี่ยเจ้านี่ออกไปได้ แต่เกรงว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนเล็กน้อยเช่นกัน”
บรรพจารย์คนหนึ่งจากตระกูลหนานสีหน้ามืดทะมึน
ใช่เพียงค่าตอบแทนเล็กน้อยที่ไหน ควรเป็นค่าตอบแทนแสนสาหัสต่างหากจึงจะถูก!
ในสิบวันนี้ทุกคนในที่นี้เห็นความสามารถของหลินสวินอยู่ในสายตา ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่เคยพบเจออันตรายใดๆ
ตรงข้ามกลับเป็นคู่ต่อสู้ที่ถูกหลินสวินเจอเข้าเหล่านั้นที่ต้องทุกข์ทรมาน
คนที่ไร้แค้นไร้พยาบาทยังพอทำเนา แค่ถูกริบสมบัติในตัวไปหมดแล้วถูกหลินสวินปล่อยไป
แต่มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่มาจากขุมอำนาจศัตรูเหล่านั้น แต่ละคนถูกหลินสวินกำราบอย่างไม่เกรงใจ แม้จะไม่ได้ทำให้คนผู้นั้นถูกคัดออกตรงๆ แต่ก็ตกเป็นเหยื่อ ถูกยัดเข้าไปในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้กำลังพลของมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิจากสี่ตระกูลตงหวงเหล่านั้นจะมีมาก ทว่าหากคิดจะให้หลินสวินถูกคัดออก แม้จะมีหวังแต่ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อย!
“ควรสังหารเจ้าเดรัจฉานนี่ตั้งแต่หลายปีก่อนหน้านี้แล้ว!”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งจากตระกูลกู้กล่าวอย่างเดือดดาล กู้หลิวไห่จากตระกูลพวกเขาถูกหลินสวินใช้วิธีน่าอัปยศกำราบเป็นคนแรก ทำให้ในใจพวกเขาอัดอั้นยิ่งยวด
“พูดเรื่องพวกนี้ตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ข้าหวังเพียงว่าหากถึงคราวเปิดศึกจริงๆ คนในตระกูลเหล่านั้นจะตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ แล้วค่อยตัดสินใจว่าควรสู้หรือหนีไป”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งจากตระกูลลี่ถอนใจยาว
แม้ว่าในใจพวกเขาอยากฆ่าหลินสวินให้ตายใจจะขาด แต่ก็ไม่อาจไม่ยอมรับว่าในการการทดสอบรอบแรกนี้ หลินสวินเป็นศัตรูตัวฉกาจที่อันตรายสุดขีดคนหนึ่ง!
ในเวลาเดียวกันนั้น…
ภายในสมรภูมิหมื่นยอด กลางเทือกเขาเวิ้งว้างสูงต่ำแถบหนึ่ง
หลินสวินยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่ง มองดูมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิสิบกว่าคนที่พุ่งพรวดออกมาจากไกลๆ กะทันหัน นัยน์ตาก็อดหรี่ลงน้อยๆ ไม่ได้
หลังจากจำฐานะของอีกฝ่ายได้ สีหน้าเขาอดเผยแววแปลกพิกลเล็กน้อยไม่ได้
ผู้แข็งแกร่งของสี่ตระกูลตงหวง!
ในจำนวนนั้นมีที่คุ้นหน้าคุ้นตาอยู่คนหนึ่ง คนผู้นั้นสวมชุดคลุมหยกทั้งชุด มาดสง่ามีบารมี สูงโปร่งหล่อเหลา มีบุคลิกโดดเด่นสะท้านยุค เปี่ยมเสน่ห์ชวนหลงใหล
เป็นอวิ๋นมู่เจอ!
เมื่อเห็นคนผู้นี้ ในใจหลินสวินก็ผุดไอสังหารขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่
ปีนั้นตอนอยู่ที่ด่านนภาอมตะด่านที่เก้า คนผู้นี้เคยมอบหมายให้เจ้าเมืองไป๋เจี้ยนเฉินกำจัดเขา น่าเสียดายที่ไป๋เจี้ยนเฉินไม่ได้ทำเช่นนี้ ตรงข้ามกลับเตือนหลินสวินด้วยใจเมตตาว่าให้ทำอะไรด้วยความระมัดระวัง
หลินสวินไม่มีทางลืมเรื่องนี้เด็ดขาด
เมื่อก่อนหลินสวินยังข้องใจอยู่บ้าง ตนกับอีกฝ่ายไร้แค้นไร้พยาบาท เหตุใดอีกฝ่ายจึงทำเช่นนี้
ต่อมาเขาจึงเข้าใจ เพราะอวิ๋นมู่เจอเป็นคนตระกูลอวิ๋น
และตระกูลอวิ๋นก็คือหนึ่งในสี่ตระกูลตงหวง
“หลินสวิน?”
ไกลออกไป เมื่อมองเห็นหลินสวินยืนเพียงลำพัง อวิ๋นมู่เจอก็อึ้งไป จากนั้นส่วนลึกของนัยน์ตาก็เผยแววเย็นเยียบที่ยากสังเกตเห็นขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง
ในใจเขาอยากกำจัดหลินสวินให้ได้ตั้งแต่ก่อนการทดสอบครั้งนี้จะเริ่มขึ้นแล้ว
หนึ่งเป็นเพราะเขามาจากตระกูลอวิ๋น
สองก็เพราะตู๋กูโยวหรัน
กล่าวได้ว่าหลังจากอวิ๋นมู่เจอที่มองหลินสวินเป็นศัตรูแต่เดิมอยู่แล้ว สังเกตเห็นว่าท่าทีที่ตู๋กูโยวหรันมีต่อหลินสวินแตกต่างออกไป ยิ่งทำให้ไอสังหารที่มีต่อหลินสวินในใจเขามีมากขึ้นเรื่อยๆ
“ดันเป็นเจ้าเศษเดนนี่จริงๆ ถือว่าพวกเราโชคไม่เลว!”
และพร้อมกันนั้นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิจากสี่ตระกูลตงหวงเหล่านั้นล้วนจำหลินสวินได้ แต่ละคนเผยแววดีใจราวกับเจอเหยื่อที่หมายปองมานาน
“นี่ก็เรียกว่าทุกสิ่งถูกสวรรค์ลิขิตไว้แล้ว เศษเดนคีรีดวงกมลนี่สมควรถูกพวกเราคัดออก!”
มีคนเอ่ยปากเนิบๆ
“พวกเจ้าดู เจ้าหมอนี่ถึงกับไม่หนี หรือว่าจะตกใจจนเซ่อไปแล้ว”
มีคนหัวเราะร่วน
“ไม่ เขารู้ตัวว่าไม่มีทางให้หนีเลยแสร้งทำเป็นสงบเท่านั้น”
มีคนวิเคราะห์อย่างใจเย็น ผยองพองขนนัก “ทุกท่าน เจ้าเศษเดนนี่อยู่ตรงหน้าแล้ว ไม่ต้องพูดพล่ามอีก รีบลงมือจัดการเขาให้จบๆ”
มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิรวมทั้งสิ้นสิบสี่คนเคลื่อนไหวพร้อมกัน นี่ทำให้พวกเขามีความมั่นใจจนมองหลินสวินประหนึ่งคนใกล้ตาย
หลินสวินฟังเงียบๆ ไม่ได้เอ่ยพูด
ในสิบวันนี้คู่ต่อสู้ที่เขาพบเจอทั้งหมดส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ ทำราวกับว่าตนที่เดินทางเพียงลำพังจะปล่อยให้พวกเขาฆ่าแกงได้ตามใจ
แต่ผลลัพธ์คือ…
เขายังอยู่ดี แต่คู่ต่อสู้เหล่านั้นไม่ถูกปล้นสมบัติในตัวจนเกลี้ยง ก็ถูกกำราบยัดเข้าเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งตรงๆ
และเวลานี้แม้ว่าจำนวนคู่ต่อสู้จะมีมากกว่าที่คิดไว้อยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นทำให้หลินสวินหวาดกลัวจนเผ่นหนี
“ทุกท่านช่วยเสริมให้ข้า ข้าอยากสู้กับเจ้านี่ตัวต่อตัว!”
กลับเห็นอวิ๋นมู่เจอเอ่ยพูดเรียบๆ เสียงสะเทือนภูผาธารา
บนตัวเขายิ่งมีอานุภาพสะท้านยุคที่ประหนึ่งข้าไร้ศัตรูแผ่คลุ้งออกมา
“เหลวไหล!”
โลกภายนอก ผู้อาวุโสตระกูลอวิ๋นล้วนสีหน้าเขียวคล้ำ ร้อนใจขึ้นมา แม้จะไม่ได้ยินเสียงพูดของอวิ๋นมู่เจอ แต่สามารถเดาจากรูปปากได้ว่าเขากำลังพูดอะไรอยู่
นี่จะไม่ให้เขาร้อนใจได้อย่างไร
หลินสวินนั่นจะจัดการด้วยวิธีสู้ตัวต่อตัวได้อย่างไร
ทุกคนในที่นี้ล้วนสีหน้าแปลกไป เหตุการณ์ทำนองเดียวกันก็เคยเกิดขึ้นในช่วงสิบวันมานี้เช่นกัน แต่ไม่เคยมีมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนไหนกล้าไปท้าสู้กับหลินสวินตัวต่อสู้เหมือนอย่างอวิ๋นมู่เจอ
ชั่วขณะเดียวสายตาคนไม่น้อยล้วนเปลี่ยนเป็นเวทนาขึ้นมา
อวิ๋นมู่เจอ หนึ่งในสิบยอดมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิแห่งน่านฟ้าที่เจ็ดที่ถูกตระกูลอวิ๋นตั้งความหวังไว้สูง ครั้งนี้เกรงว่าต้องชะตาขาดแล้ว…
“ไม่ต้องร้อนใจไป หากมู่เจอปรากฏสภาพไม่ดี คนอื่นๆ ย่อมไม่มีทางกอดอกยืนอยู่เฉยๆ แน่” ผู้อาวุโสจากตระกูลหนาน ตระกูลลี่ และตระกูลกู้ต่างพูดปลอบใจ
และเวลานี้เมื่อได้ยินการท้าสู้ของอวิ๋นมู่เจอ หลินสวินก็ยกยิ้ม ยังคงไม่เอ่ยพูดตามเดิม แต่ในใจคิดอย่างไรย่อมไม่มีใครล่วงรู้
เมื่อเห็นรอยยิ้มของหลินสวิน มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิจากสี่ตระกูลตงหวงเหล่านั้นล้วนประหลาดใจอย่างยิ่ง
“เหอะ เจ้าดูเจ้าหมอนี่ยิ้มสิ หรือเขาคิดว่าสามารถหนีรอดจากคราวเคราะห์ครั้งนี้เมื่อสู้ตัวต่อตัว”
มีคนหัวเราะลั่น เยาะเย้ยอย่างไม่ปิดบังสักนิด
“พี่มู่เจอ ไม่สู้ยกเจ้านี่ให้ข้าชำแหละดีกว่า ข้ารับรองว่าเดี๋ยวจะทำให้เขาร้องไห้ออกมา!”
มีคนแววตาดุกร้าว
“ให้ข้าสู้ดีกว่า ข้าไม่อยากพลาดโอกาสเหมาะแบบนี้ ทุกท่านรออยู่เฉยๆ ให้ข้าสมหวังสักหน่อยได้หรือไม่”
มีคนพูดกลั้วหัวเราะ
พวกเขาถึงกับแย่งกันไปสู้ตัวต่อตัวกับหลินสวิน
เมื่อเห็นภาพนี้ ทุกคนที่ชมการต่อสู้ในโลกภายนอกยิ่งสีหน้าแปลกไปกว่าเดิม คนไม่น้อยล้วนกลั้นหัวเราะ เกรงว่าหากหัวเราะออกมาจะยั่วโทสะคนจากสี่ตระกูลตงหวงเข้า
และเวลานี้คนจากสี่ตระกูลตงหวงใกล้จะลมจับแล้วจริงๆ เคยเห็นคนโง่แต่ไม่เคยเห็นคนโง่ทั้งกลุ่มแบบนี้! ที่น่าโมโหที่สุดคือเจ้าคนโง่พวกนี้ยังเป็นคนในตระกูลที่พวกเขาภาคภูมิใจมากที่สุด…
เฒ่าดึกดำบรรพ์ไม่น้อยแทบอยากกระอักเลือด เริ่มอยู่ไม่สุข หากเป็นไปได้พวกเขาอยากพุ่งเข้าไปตบมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิพวกนั้นแรงๆ สักตั้ง
มีตาแต่ไร้แววเกินไปแล้วชัดๆ!
อันที่จริงจะโทษพวกอวิ๋นมู่เจอก็ไม่ได้ พวกเขาอยู่ในสมรภูมิหมื่นยอด ข่าวสารถูกตัดขาด มีหรือจะล่วงรู้สิ่งที่หลินสวินทำลงไปทั้งหมดในช่วงสิบวันมานี้
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมีจำนวนคนมากถึงสิบกว่าคน ในสายตาพวกเขา หลินสวินที่โดดเดี่ยวตัวคนเดียวไม่ควรค่าให้ใส่ใจมากนักจริงๆ!
“ทุกท่าน เห็นแก่หน้าข้า คิดเสียว่าข้าติดหนี้น้ำใจพวกเจ้าแล้วกัน”
อวิ๋นมู่เจอขมวดคิ้ว ห้ามไม่ใช่ทุกคนยื้อแย่งกัน
เมื่อเห็นเช่นนี้คนอื่นๆ ก็ไม่สะดวกพูดอะไรอีก
ตูม!
เงาร่างอวิ๋นมู่เจอเหยียบกลางอากาศ น่าเกรงขามดุจเซียน ผมยาวทั่วศีรษะปลิวไสวตามสายลม ดูสง่างามเป็นธรรมชาติอย่างบอกไม่ถูก
ในสายตาผู้ฝึกปราณคนใดก็ตาม อวิ๋นมู่เจอเป็นบุคคลที่สะดุดตาหาใดปรียบคนหนึ่ง สามารถเป็นผู้นำในเส้นทางจักรพรรดิได้
แต่เวลานี้เมื่อเห็นว่าเขาหมายมั่นจะไปสู้กับหลินสวินตัวต่อตัว ภายในใจของทุกคนที่โลกภายนอกล้วนมีความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ราวกับเห็นกระต่ายขาวตัวน้อยตะโกนท้าสู้กับเสืออย่างโง่เขลา
“หลินสวิน เมื่อก่อนตอนอยู่ด่านนภาอมตะด่านที่เก้าข้าไม่ได้เห็นเจ้าอยู่ในสายตา นั่นเป็นความชะล่าใจของข้า แต่ตอนนี้ข้าไม่จะไม่ทำผิดแบบเดิมซ้ำสองอีก”
อวิ๋นมู่เจอสะบัดแขนเสื้อ เอ่ยพูดเรียบๆ “ครั้งนี้ข้าจะใช้ความจริงบอกเจ้าว่า อะไรที่เรียกว่าพ่ายแพ้อนาถ อะไรที่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า”
ประโยคเดียวทำให้นัยน์ตางามของมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิหญิงหลายคนทอประกายวาววาม ใจหวั่นไหวไปกับมาดองอาจที่อวิ๋นมู่เจอเผยออกมา
และในโลกภายนอก คนตระกูลอวิ๋นเหล่านั้นต่างเริ่มทนมองไม่ไหว จนป่านนี้แล้วยังมัวพูดจาปราศรัยอะไรกันอีก
ยังมัววางมาดประดิษฐ์ท่าทางอะไรอีก!?
“ตัวต่อตัว ยุติธรรมมาก”
สีหน้าหลินสวินราบเรียบไม่สั่นไหวตั้งแต่ต้นจนจบ กล่าวว่า “เช่นนั้นก็อย่าพูดพล่าม มาสู้กัน”
“ภายหน้าหากโยวหรันจะโทษข้า ข้าก็ไม่เสียใจที่ทำเช่นนี้ลงไป”
อวิ๋นมู่เจอถอนหายใจยาว นัยน์ตาทอประกายหมองหม่น จากนั้นก็ถูกไอสังหารเยียบเย็นเฉยเมยเข้าแทนที่
ชิ้ง!
กระบี่มรรคสีขาวหิมะเล่มหนึ่งพุ่งโฉบออกมา เสียงกระบี่ครวญดังกังวานชั้นเมฆ
อวิ๋นมู่เจอมือถือกระบี่มรรค อาภรณ์พลิ้วไสว กลิ่นอายรอบตัวเปลี่ยนเป็นดุกร้าวไร้เทียมทาน ห้วงอากาศใกล้เคียงล้วนถูกประกายคมน่าสะพรึงตัดกระจุยจนเกิดเสียงระเบิดลั่นแน่นขนัด
“ข้าไม่มีทางดูเบาเจ้า การต่อสู้ครั้งนี้ ข้าจะใช้มรรคกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดทำให้เจ้าไม่อาจลืมเงาแห่งความพ่ายแพ้ตลอดกาล”
อวิ๋นมู่เจอลงมือท่ามกลางเสียงเฉยเมยนิ่งสงบ
สวบ!
ทันทีที่กระบี่พุ่งออกไป ฟ้าดินมืดสลัว เหลือเพียงสายรุ้งปราณกระบี่สีขาวหิมะสายหนึ่งแผ่คลุมทั่วจักรวาล!
นี่คือกระบี่ที่ตระการตาหาใดเปรียบ หลอมรวมทุกสิ่งที่ได้เรียนรู้มาในระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิของอวิ๋นมู่เจอ สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณพุ่งทะยานสูงขึ้นถึงขั้นบริบูรณ์
อานุภาพกระบี่ไพศาลระดับนั้น ทำให้มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิไม่น้อยแถวนั้นยังอดร้องชมไม่ได้
——