ตอนที่ 2696 ฆ่าคนสังหารจิต
ปราณกระบี่สีขาวหิมะปกคลุมทั่วภูผาธารา
กลิ่นอายของกระบี่เล่มนี้ทำให้คนใจสะท้าน
หากเป็นเวลาอื่นล้วนสามารถสร้างแรงกดดันยิ่งยวดให้แก่คนระดับเดียวกันได้
ด้วยเหตุนี้จะเห็นว่าแม้อวิ๋นมู่เจอจะยืนกรานต่อสู้กับหลินสวินตัวต่อตัว แต่ยามลงมือจริงๆ กลับไม่ได้เลินเล่อแม้เพียงเสี้ยว
อันที่จริงในฐานะคนระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ ทั้งยังสามารถเข้าร่วมการทดสอบของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดได้ ย่อมไม่มีใครเป็นพวกโง่เง่า
ใครไม่รู้ถึงผลงานการต่อสู้อันเจิดจรัสเป็นที่ประจักษ์ของหลินสวินในช่วงหลายปีมานี้บ้าง
แล้วใครจะกล้ามองเขาเหมือนคนทั่วไปอีกเล่า
ดังนั้นทันทีที่อวิ๋นมู่เจอลงมือจึงทุ่มหมดฝีมือดุจอสนีบาตร หมายจะใช้มรรคกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดโค่นหลินสวินลงในทันทีเหมือนอย่างที่เขาพูด!
ตูม!
ฟ้าดินดังสนั่นอึงอล ปราณกระบี่พวยพุ่งราวสมุทร ภูผาธาราบริเวณนั้นล้วนพังถล่ม
เพียงแต่กระบี่ที่ตระการตาจนทำให้มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนอื่นๆ ร้องชมนี้กลับพังพินาศเป็นเสี่ยงๆ เบื้องหน้าหลินสวิน
ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับ ทำเพียงดีดนิ้วคราหนึ่ง
และจากนั้นปราณกระบี่สีขาวหิมะที่แผ่คลุมทั่วเวิ้งฟ้าก็ถล่มกระจายดุจสายฝน
ภาพนี้ทำให้ทุกคนในที่นั้นนัยน์ตาหดรัด แววดีใจและรอยยิ้มบนใบหน้าแข็งค้าง ไม่ทันไรก็ทำให้พวกเขาตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่เข้าทีอยู่บ้าง
“แค่นี้ก็กล้าคุยโวว่าจะทำให้ข้าลิ้มรสความพ่ายแพ้หรือ”
หลินสวินยิ้มหยัน
ไกลออกไปอวิ๋นมู่เจอสีหน้าเยือกเย็นแน่วแน่ ไม่สะทกสะท้าน
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง อานุภาพทั่วร่างแกร่งกล้าขึ้นเรื่อยๆ ทั้งตัวประดุจกระบี่เทพสะท้านยุคเล่มหนึ่ง เหยียบย่างกลางอากาศ ทุกครั้งที่ก้าวเท้าก็จะฟันกระบี่ออกไปคราหนึ่ง
ปราณกระบี่แต่ละสายล้วนแข็งแกร่งยิ่งกว่าปราณกระบี่ก่อนหน้าช่วงใหญ่
เมื่อฟันออกไปเก้ากระบี่
ปราณกระบี่พร่างพราวเก้าสายตัดสลับกลายเป็นลักษณะของเก้าวัง ดุจดั่งกรงขังแห่งกระบี่ ปิดฟ้าบังตะวัน
กรงกระบี่เก้าวัง!
มรรคกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งสร้างขึ้นจากความอุตสาหะตลอดชีวิตของอวิ๋นมู่เจอ
ตูม!
พริบตานั้นปราณกระบี่สะเทือนเก้าชั้นฟ้า กรงกระบี่ร่วงลงมาดั่งทัณฑ์สวรรค์มาเยือนโลก หมายจะกักขังศัตรูไว้ในกรง รอโทษประหารชีวิต
การโจมตีนี้ดึงดูดความสนใจและสายตาไม่รู้เท่าไร
แม้แต่ระดับอมตะยังอดพยักหน้าเงียบๆ ไม่ได้
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีนี้ หลินสวินยังคงไม่ขยับ ทำเพียงยื่นมือออกมาคว้า
มือใหญ่ปิดฟ้าขนาดมหึมาข้างหนึ่งควบหลอมขึ้นกลางอากาศ ห้านิ้วดุจเสาค้ำฟ้า ฝ่ามือราวหุบเหวไร้ขอบเขต ยามปิดครอบลงมา กรงกระบี่เก้าวังพลันเกิดเสียงดังสนั่นรุนแรง
ต่อมามือใหญ่ข้างนั้นของหลินสวินบดขยี้กรงกระบี่เก้าวังทั้งอย่างนั้นภายใต้สายตาอึ้งค้างของทุกคน!
“นี่…”
มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิของสี่ตระกูลตงหวงที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงเหล่านั้นแต่ละคนล้วนเบิกตาโพลง
นั่นเป็นถึงหนึ่งในกระบวนท่าไม้ตายที่อวิ๋นมู่เจอภูมิใจที่สุด โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ในหมู่คนรุ่นเดียวกัน ทั่วทั้งน่านฟ้าที่เจ็ดได้ยินชื่อเป็นต้องถอยหลบ
แต่ตอนนี้กลับถูกบดขยี้ลงเช่นนี้!!
ภาพสะเทือนจิตใจคนนั่นทำให้ทุกคนที่โลกภายนอกล้วนอดสูดหายใจสะท้านไม่ได้
แม้จะรู้แต่แรกว่าหลินสวินเย้ยฟ้ายิ่ง แต่ไม่นึกว่าภายใต้การโจมตีรุนแรงเช่นนี้ ยังสามารถสลายไปได้อย่างง่ายดาย น่าเหลือเชื่อชัดๆ
“ก็ยังอ่อนแอเกินไป” หลินสวินส่ายหน้า
ไม่ได้ถากถาง ไม่ได้เหยียดแคลน เสมือนทอดถอนใจไปตามประสา แต่ความหมายในคำพูดกลับทำให้อวิ๋นมู่เจอที่วางตัวเยือกเย็นมาโดยตลอดหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ ภายในใจบังเกิดความเดือดดาล
เจ้าคนที่ก่อนหน้านี้ไม่ถูกเขาเห็นอยู่ในสายตาสักนิดคนนี้ ตอนนี้กลับลบหลู่ตนถึงเพียงนี้!
ทว่าถึงอย่างไรอวิ๋นมู่เจอก็หาใช่คนทั่วไป เขาไม่ได้ถูกเพลิงโทสะครอบงำจนหน้ามืด หากแต่สูดหายใจลึกแล้วลงมืออีกครั้ง
ตูม!
สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า กฎเกณฑ์ระดับบรรพจารย์รูปกระบี่สีขาวหิมะเป็นสายๆ พุ่งออกมาจากผิวหนังของเขา เบียดเสียดแน่นขนัด ตัดสลับเวียนวน ดุจดั่งกระแสปราณกระบี่ขาวหิมะกำลังแล่นตะบึงไป
และบนแท่นวิญญาณเหนือศีรษะเขาก็ปรากฏเงาร่างเจตจำนงที่ใหญ่มโหฬาร สว่างเจิดจ้าแสบตาร่างหนึ่งขึ้น เจตกระบี่ที่แผ่คลุ้งออกมาจากทั่วร่างทำให้ฟ้าดินแถบนี้สั่นสะเทือน ต้นไม้ใบหญ้ากลายเป็นเถ้าถ่าน สรรพสิ่งพังทลาย
นี่คือเจตจำนงมหามรรคในตัวของเขา!
และเวลานี้หลังจากเจตจำนงมหามรรคนี้ปรากฏขึ้น ก็หลอมรวมเข้าสู่กระบี่มรรคในมือเขาทั้งหมด
“ฟัน!”
ในเสียงตะโกนเย็นชาเต็มไปด้วยแววเหยียดหยัน อวิ๋นมู่เจอฟันกระบี่นี้ที่อัดหลอมมรรควิถีในตัวเขาทั้งหมดออกไป
ฟ้าดินสั่นสะเทือนรุนแรงทันที คล้ายกับแบกรับอานุภาพของกระบี่เล่มนี้ไม่ไหว
มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนอื่นๆ แถวนั้นล้วนถอยหลบตามจิตใต้สำนึก
ทุกคนในโลกภายนอกก็รู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
กระบี่นี้น่าสะพรึงเหนือธรรมดาจริงๆ!
ก็เป็นเวลานี้ที่หลินสวินเริ่มขยับแล้ว ไม่หลบไม่ถอย แต่พุ่งเข้าใส่ตรงๆ
รอบตัวเขาปรากฏหุบเหวใหญ่ผลุบโผล่ คลุมเครือยากหยั่งถึง ดุจดั่งถ้ำมืดมิดโคจรเงียบๆ กลางฟ้าดารา กลืนกินวัตถุและแสงเงาทุกอย่างบนโลก
ตูมโครม!
ปราณกระบี่ไร้ทัดเทียมฟันลงไป กระแทกกับหุบเหวใหญ่รอบตัวหลินสวิน บังเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ทำเอาหนังศีรษะชาวาบ
ภายใต้สายตาสะท้านสะเทือนที่จับจ้องอยู่ของทุกคน เงาร่างของหลินสวินอานุภาพดุจผ่าลำไผ่ บดขยี้กระบี่ที่พุ่งเข้าใส่ทั้งอย่างนั้น ละอองแสงท่วมฟ้าพุ่งกระฉูด
เพียงชั่วพริบตา
ตัวเขาก็มาอยู่ตรงหน้าอวิ๋นมู่เจอแล้ว
อวิ๋นมู่เจอหน้าถอดสียกใหญ่ นัยน์ตาหดรัด จิตมรรคที่หนักแน่นดุจเหล็กกล้าเรื่อยมาก็สั่นคลอนรุนแรงในชั่วขณะนี้เช่นเดียวกัน
เขาไม่นึกว่ากระบี่ที่รวมมรรควิถีทั้งชีวิต ผนึกเจตจำนงทั้งตัว จะถึงกับถูกหลินสวินบดขยี้อย่างง่ายดายด้วยวิธีเช่นนี้
และจิตมรรคของเขาก็เสมือนถูกกดทับไปพร้อมกัน!
อารมณ์เดือดดาล ท้อแท้ ไม่อยากเชื่อที่อธิบายไม่ถูกพุ่งทะลักไปทั่วร่างราวธารพลิกสมุทรคว่ำ ทำให้เขาสติหลุดโดยสิ้นเชิง ยากจะวางตัวเยือกเย็นเช่นก่อนหน้านี้ได้อีก
นี่…
เป็นไปได้อย่างไร!?
“ตอนนี้เจ้าบอกข้าทีว่าอะไรที่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า” นัยน์ตาหลินสวินลุ่มลึกเย็นเยียบ เสียงเฉยเมยสายนั้นดุจดั่งมีดกรีดทะลวงขั้วหัวใจของอวิ๋นมู่เจออย่างแรง
“ตาย!”
หน้าผากเขาเส้นเลือดปูดโปน ออกกระบี่ด้วยความโกรธ
แต่สิ่งที่เร็วยิ่งกว่าการเคลื่อนไหวของเขาคือมือของหลินสวินที่กำกระบี่มรรคของเขาตรงๆ แล้วหันด้ามกระบี่ให้ปลายกระบี่ตบเข้าใส่ใบหน้าหล่อเหลาไร้ทัดเทียมของอวิ๋นมู่เจออย่างแรง
เพียะ!
นี่น่ากลัวยิ่งกว่าการตบด้วยมือ ตวัดใส่กระดูกใบหน้าอวิ๋นมู่เจอจนยุบ เลือดสดพุ่งกระฉูด ฟันหักร่วง ผมเผ้ากระเซิง
ไม่รอให้ร่างของเขาถูกซัดกระเด็นออกไป หลินสวินก็กำคอของเขาแน่นราวหิ้วลูกไก่แล้วยิ้มกล่าว
“ก่อนหน้านี้นานแล้วที่ข้าเฝ้ารอจะได้พบกับเจ้าอีก เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าผ่านไปนานหลายปี เจ้ากลับยังคงดักดานไม่ไปไหนเช่นนี้”
ไกลออกไปมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิของสี่ตระกูลตงหวงพวกนั้นแต่ละคนหน้าเปลี่ยนสีไปมา ตกใจสลับกังขา ภายในใจผุดไอหยาวสะท้าน
อวิ๋นมู่เจอถึงกับถูกโจมตีพ่ายแพ้เช่นนี้!
และสองกระบวนท่าก่อนหน้า หลินสวินไม่ขยับเขยื้อนสักนิดก็ปัดป้องได้ทั้งหมด
ส่วนกระบวนท่าที่สามนี้ หลินสวินโจมตีกลับตรงๆ ไม่เพียงบดขยี้การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของอวิ๋นมู่เจอ ยังจับเป็นเจ้าตัวได้ด้วย!
นี่ทำให้มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิของสี่ตระกูลตงหวงพวกนั้นล้วนตกใจ
ไม่อาจเชื่อ
ส่วนที่โลกภายนอก ทุกคนกลับเห็นเป็นเรื่องปกตินานแล้ว เพียงแต่เมื่อเห็นหลินสวินใช้วิธีนี้จับตัวอวิ๋นมู่เจอ กลับยังทำให้ในใจพวกเขาไม่อาจสงบนิ่งได้
โดยเฉพาะผู้อาวุโสตระกูลอวิ๋นที่โกรธจนหาที่ระบายไม่ได้ ใบหน้าชราไม่น่าดูถึงขีดสุด
“นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า”
จวินหวนเอ่ยปากเนิบนาบ
ประโยคเดียวทำให้หัวใจของทุกคนในที่นี้ล้วนไหวกระเพื่อมระลอกหนึ่ง นี่จะโทษใครได้
มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิมากมายขนาดนั้น แต่กลับจะสู้ตัวต่อตัวกับหลินสวินให้ได้ นี่ไม่ใช่ว่าหาเรื่องใส่ตัวหรือ
เวลานี้อวิ๋นมู่เจอดิ้นรนบ้าคลั่ง แววตาเย็นเยียบ เผยแววความแค้นกรีดกระดูก เอ่ยว่า “ที่นี่คือสมรภูมิหมื่นยอด ต่อให้เจ้าชนะก็ทำได้เพียงทำให้ข้าถูกคัดออกเท่านั้น!”
“ยังไม่รู้สถานการณ์ของตัวเองอีกหรือ เจ้าในตอนนี้ไม่มีคุณสมบัติพอให้ข้าต้องคัดออกหรอก” หลินสวินถอนใจเบาๆ
อวิ๋นมู่เจออึ้งไป ประโยคนี้ทิ่มแทงใจทุกคำชัดๆ!
ไม่มีคุณสมบัติทำให้ต้องคัดออก…
สำหรับอวิ๋นมู่เจอที่ทะนงตัวเสมอมา นี่เปรียบดั่งค้อนหนักทุบใส่สภาวะจิตอย่างจัง ก่อให้เกิดความรู้สึกอัปยศอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ไม่มีคุณสมบัติให้ต้องคัดออก…
อวิ๋นมู่เจอรู้สึกเพียงเบื้องหน้าดำมืด ถึงขั้นโกรธจนกระอักเลือด!
“เจ้าคนสมควรตายนี่ ถึงกับหมายจะทำลายจิตมรรคของมู่เจอเชียวรึ!”
โลกภายนอก ผู้อาวุโสตระกูลอวิ๋นคำรามเดือดดาล ไอสังหารพุ่งกระฉูด โทสะปะทุถึงขีดสุด
ในใจคนอื่นๆ ก็เย็นวาบระลอกหนึ่งเช่นกัน
ฆ่าคนสังหารจิต!
ก็เป็นเวลานี้ที่ทุกคนสังเกตเห็นว่ามีเงาร่างอรชรสายหนึ่งเดินมาจากบริเวณไกลๆ ของสนามรบ สวมกระโปรงยาวสีเขียวทั้งชุด งามดุจเซียน
เมื่อเห็นนางปรากฏตัว หลินสวินที่เตรียมจะบดขยี้อวิ๋นมู่เจอต่ออดอึ้งไปไม่ได้ เหตุใดจึงเป็นนาง
หญิงสาวงามเลิศล้ำเจ้าของเงาร่างอรชร แผ่กลิ่นอายงดงามมีชีวิตชีวาทั่วร่างคนนั้น ถึงกับเป็นตู๋กูโยวหรัน!
“พี่หลิน พอจะ… เห็นแก่หน้าข้าแล้วปล่อยเขาไปสักครั้งได้หรือไม่”
สีหน้าท่าทางของตู๋กูโยวหรันเต็มไปด้วยแววลังเลและพะว้าพะวง
ในที่นั้นเงียบกริบ
สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปที่ตัวหลินสวินและตู๋กูโยวหรัน
ใครก็คาดไม่ถึงว่าเวลานี้ ขณะที่มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิของสี่ตระกูลตงหวงพวกนั้นยังไม่ทันยื่นมือเข้าช่วยเหลืออวิ๋นมู่เจอ ตู๋กูโยวหรันกลับโผล่มาขอร้องหลินสวิน!
นี่อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคน
ขนาดจวินหวนยังอึ้งไป ลอบกล่าวว่ารูปโฉมของแม่นางน้อยคนนี้งามยิ่งยวด หรือว่าจะมีลับลมคมในกับศิษย์น้องเล็ก
หลังจากนั้นจวินหวนก็เผยสีหน้าประหลาดอีกครั้ง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คำขอร้องของแม่นางน้อยผู้นี้เกรงว่าจะยิ่งทำร้ายอวิ๋นมู่เจอคนนั้น…
ดังคาด พรอบตาถัดก็เห็นอวิ๋นมู่เจอดวงตาแทบถลน ร้องคำรามราวกับบ้าคลั่ง “โยวหรัน ใครให้เจ้าไปขอร้องเขา?! เพราะอะไรเจ้าถึงทำเช่นนี้ เพราะอะไร?!”
“ต่อให้ข้าตายก็ไม่มีวันซึ้งใจ!!”
ว่าจบเขาก็กระอักเลือดออกมาอีกคำ ในหัวปรากฏดาวสีทอง ทั้งตัวล้วนรู้สึกเหมือนจะพังทลาย
เขาแพ้แล้ว แต่กลับถูกสตรีที่เขาใส่ใจมากที่สุดในชีวิตเห็นสภาพยามพ่ายแพ้ เดิมนี่ก็อัปยศมากพอแล้ว
และเมื่อสตรีที่เขาใส่ใจมากที่สุดไปขอร้องบุรุษคนนี้ที่ต่อสู้ชนะเขา แรงโจมตีเช่นนั้นเปรียบเหมือนการเหยียบย่ำหัวใจของเขาจนแหลกลาญ
ตู๋กูโยวหรันสีหน้าเปลี่ยนไปน้อยๆ นางไม่นึกเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
หลินสวินถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “แม่นางโยวหรัน เจ้ารู้หรือไม่ว่ายามอยู่ที่ด่านนภาอมตะด่านที่เก้า ญาติผู้พี่คนนี้ของเจ้าเคยคิดจะยืมมือผู้อาวุโสไป๋เจี้ยนเฉินกำจัดข้า”
ตู๋กูโยวหรันอึ้งค้าง “นี่เป็นไปได้อย่างไร”
หลินสวินกล่าว “เจ้าไม่รู้ก็พอเข้าใจได้ หากไม่เพราะผู้อาวุโสไป๋เจี้ยนเฉินเอ่ยเตือน แม้แต่ข้าก็ยังไม่รู้ว่าญาติผู้พี่คนนี้ของเจ้าจะร้ายกาจต่ำช้าถึงเพียงนี้”
ตู๋กูโยวหรันเบิกตากว้าง มองดูอวิ๋นมู่เจอที่หายใจรวยริน ผมเผ้ายุ่งเหยิงแล้วเอ่ยอย่างเดือดดาล “ท่านพี่ เป็นเช่นนี้จริงหรือ”
สติครองตัวของอวิ๋นมู่เจอล้วนกระเจิดกระเจิง สภาวะจิตเสียการควบคุม เมื่อได้ยินก็กล่าวเสียงแหบพร่า “เศษเดนคีรีดวงกมลอย่างเขาไม่สมควรตายอย่างนั้นหรือ ข้าฆ่าเขา เท่ากับทำหน้าที่แทนสวรรค์!”
ตู๋กูโยวหรันขบกลีบปาก นัยน์ตาวูบไหวไปมาระลอกหนึ่ง คล้ายกับผิดหวัง ปวดใจ และโมโหเดือดดาล
ครู่ใหญ่นางสูดหายใจลึกคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “คำพูดก่อนหน้านี้คิดเสียว่าข้าไม่เคยพูด”
กล่าวจบตู๋กูโยวหรันก็หมุนตัวออกไป
ความห่อเหี่ยวและหดหู่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อนทะลักสู่กลางใจ
จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าตนโง่เกินไปหรือไม่ ญาติผู้พี่ที่ตนเชื่อใจมากที่สุดตั้งเล็กจนโต เหตุใดจึงทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้ลับหลังตน…
ที่น่าขันคือตนยังลุกออกมาขอร้องหลินสวินแทนเขาอย่างโง่งม
ใครจะรู้บ้างว่าตอนที่ตนรวบรวมความกล้าไปขอร้อง ภายในใจตนทรมานเพียงใด
——