Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2762 ผู้บงการอื่นอีก

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2762 ผู้บงการอื่นอีก

ตอนที่ 2762 ผู้บงการอื่นอีก

เถาเหลิ่งเพิ่งสอบสวนจินจงเยวี่ยไม่ถึงหนึ่งเค่อ

ภายในโถงใหญ่อาญาก็มีคนพุ่งตัวเข้ามา

ผู้อาวุโสเฉาเป่ยโต้ว

สิ่งแรกที่เขาเห็นคือหลินสวินที่นั่งหลับตาทำสมาธิกลางโถงใหญ่ เขาอดกล่าวอย่างเย็นชาไม่ได้ “เพิ่งขึ้นเป็นรองผู้ดูแลได้ไม่นานก็กล้าใช้อำนาจในมือมาปรักปรำและโจมตีศิษย์ในสำนักแล้ว เหิมเกริม!”

หลินสวินลืมตาขึ้นกล่าวว่า “จริงเท็จถูกผิดยังไม่มีข้อสรุป ผู้อาวุโสเฉาก็กล่าวหากันเช่นนี้แล้ว หากกลายเป็นเรื่องน่าขบขันอะไรขึ้นมาจะกู้หน้ายากเอาได้”

เฉาเป่ยโต้วแค่นเสียงเย็น กวาดสายตาทั่วโถงใหญ่ กล่าวตะโกนเสียงต่ำ “เถาเหลิ่งอยู่ที่ใด ยังไม่ออกมาพบข้าอีก”

เสียงสะเทือนโถงใหญ่ อานุภาพเดือดพล่าน

เถาเหลิ่งผลักประตูเดินออกมาจากโถงด้านข้าง ประสานหมัดกล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็น “ผู้อาวุโสเฉาหาข้าด้วยธุระอันใด”

“รีบปล่อยจินจงเยวี่ยเดี๋ยวนี้ อย่าทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก!”

เฉาเป่ยโต้วสีหน้าเย็นชา

เถาเหลิ่งกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “การสอบสวนเพิ่งเริ่มต้น หากปล่อยจินจงเยวี่ยในเวลานี้เกรงว่าจะไม่สามารถล้างมลทินให้เขาได้ หากหลังการสอบสวนสามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ใช่คนทรยศของสำนัก ผลลัพธ์เช่นนี้จะไม่ยิ่งดีกว่าหรือ”

“เป็นไปได้หรือ ใครบ้างไม่รู้ว่าเจ้าเถาเหลิ่งหน้าตายใจดำ ลงมือทารุณ ขอเพียงเป็นคนที่ถูกเจ้าสอบสวน ต่อให้ถูกปรักปรำเกรงว่าคงรับสารภาพเพราะทนการทรมานไม่ไหว!”

เฉาเป่ยโต้วสีหน้าอึมครึม “ข้าถามเจ้าอีกครั้ง จะปล่อยคนหรือไม่”

“ไม่ปล่อย”

หลินสวินหยัดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ ทอดสายตามองเฉาเป่ยโต้ว “ผู้อาวุโสเฉาโมโหเช่นนี้ หรือเป็นเพราะกังวลว่าจินจงเยวี่ยจะพูดเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับผู้อาวุโสเฉาหรือ”

“เจ้าถึงกับกล้าสงสัยและใส่ความข้าเชียวหรือ”

เฉาเป่ยโต้วเดือดดาล กล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “แค่รองผู้ดูแลคนหนึ่งเท่านั้น กลับกล้าไม่เห็นผู้อาวุโสในสายตา ปีนเกลียวข้ามขั้น เถาเหลิ่ง ข้าขอถามเจ้า จากบทลงโทษของสำนักควรลงทัณฑ์อย่างไร”

ไม่รอให้เถาเหลิ่งเอ่ยปาก นอกโถงใหญ่ก็มีเสียงสายหนึ่งดังขึ้น “ลงทัณฑ์ด้วยการหักเบี้ยประจำเดือนหนึ่งปี โบยสามสิบครั้ง”

บุรุษรูปร่างอ้วนเตี้ย สวมชุดคลุมหยกแพรไหมคนหนึ่งเดินเยื้องย่างเข้ามาพร้อมเสียง ไว้หนวดยาวสองข้างเหนือริมฝีปาก จมูกบวมแดง ดวงตาเล็กแคบ

หนึ่งในเก้าผู้อาวุโสหอแรกนภา ฉู่เจียน!

“พี่ฉู่มาได้เวลาพอดี”

เฉาเป่ยโต้วฮึกเหิม “วันนี้ผู้ดูแลเถาเหลิ่งและรองผู้ดูแลหลินสวินรวมหัวกันพยายามทรมานให้จินจงเยวี่ยรับผิด ควรลงโทษอย่างไรดี”

ฉู่เจียนลูบหนวดยาว กล่าวด้วยใบหน้าแสร้างยิ้ม “นี่ร้ายแรงอยู่บ้าง โทษสถานเบาคือปลดตำแหน่ง โทษสถานหนักคือลดขั้นเป็นนักโทษ”

เถาเหลิ่งหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ

และเป็นยามนี้ที่นอกโถงใหญ่มีคนเข้ามาอีก

“คำพูดไม่กี่คำก็คาดโทษเถาเหลิ่งและหลินสวินแล้ว มีหลักฐานยืนยันหรือไม่ หรือจะบอกว่าพวกเจ้าในฐานะผู้อาวุโสหอแรกนภาจะใช้อำนาจในมือระรานได้”

ผู้มาคือคนหลุ่มหนึ่ง ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตของหอแรกนภา มีทั้งผู้อาวุโสและผู้ดูแล

หลินสวินเห็นภาพนี้ก็ตระหนักได้ทันทีว่าเรื่องกระจายออกไปแล้ว

และนี่ก็เป็นสิ่งที่เขาอยากเห็นพอดี

ดังคาด หลังจากนั้นคนใหญ่คนโตจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ต่างมาเยือนเพราะได้ยินข่าว ผู้อาวุโสและผู้ดูแลบางส่วนของหอแรกมายาและหอแรกพิสุทธิ์ล้วนเร่งมากันหมด

และผู้นำยอดเขาบางส่วนของเก้ายอดเขาใหญ่ก็ปรากฏตัวอย่างต่อเนื่อง

ชั่วขณะเดียวในโถงใหญ่อาญาคึกคักสุดขีด คนออเนืองแน่น

ส่วนด้านนอกโถงใหญ่อาญา ผู้สืบทอดและศิษย์มากมายรวมตัวกัน พวกเขาไม่มีคุณสมบัติเข้าไปในโถงใหญ่อาญา แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคให้พวกเขามุ่งหน้ามาดูความคึกคัก

หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดในปัจจุบันนี้ เดิมหลินสวินก็เป็นจุดสนใจของทุกคนอยู่แล้ว ทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนถูกคนใหญ่คนโตมากมายจับจ้อง

และครั้งนี้เขาจับตัวจินจงเยวี่ยในทันทีหลังกลับมาจากการออกไปนอกสำนัก สงสัยว่าจินจงเยวี่ยเป็นคนทรยศ ความรู้สึกที่ให้แก่ผู้คนก็คือ…

หลินสวินก่อเรื่องอีกแล้ว!

ดังนั้นจึงแห่มาหลังรู้ข่าว

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าไม่อาจดึงดูดการเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้ได้สักนิด

ไม่นานแม้แต่รองหัวหน้าหอสามคนของหอแรกนภาต่างก็ปรากฏตัวด้วย

โถงใหญ่อาญาที่แต่เดิมอลหม่านเซ็งแซ่ เปลี่ยนเป็นเงียบเชียบลงมาเช่นกัน สายตาทุกคู่ล้วนมองทางคนใหญ่คนโตสามคนอย่างเสวียนเฟยหลิง ฝูเหวินหลี และฉีเซียวอวิ๋น

ใครๆ ล้วนรู้ดีว่าข้อถกเถียงครั้งนี้ ว่ากันถึงที่สุดแล้วยังต้องขึ้นอยู่กับว่ารองหัวหน้าหอทั้งสามคนนี้จะตัดสินอย่างไร

“หลินสวิน นี่มันเรื่องอะไรกัน เจ้าเล่าที่มาที่ไปของเรื่องให้ชัดเจน”

เสวียนเฟยหลิงกล่าวเสียงขรึม

ภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน หลินสวินกลับเยือกเย็นยิ่งอย่างเห็นได้ชัด กล่าวว่า “หนึ่งเดือนก่อน ข้าออกเดินทางไปนอกสำนัก แต่ไม่นึกว่าเพิ่งออกจากทะเลหมื่นดาราไม่นานก็พบเจอกับการลอบสังหารจากแดนเร้นนภา”

ประโยคเดียวทำเอาคนใหญ่คนโตทั้งกลุ่มในโถงใหญ่ประหลาดใจ

“แดนเร้นนภาช่างบังอาจนัก ถึงกับกล้าลงมือกับคนของลัทธิแรกกำเนิดของข้าเชียวหรือ”

“บ้าคลั่งเสียสติไปแล้วชัดๆ พวกเขาไม่กลัวว่าจะยั่วโทสะพวกเราแล้ว พวกเราจะเหยียบแดนเร้นนภาของพวกเขาให้ราบหรือ”

“แปลกจริงๆ แดนเร้นนภากล้าท้าทายลัทธิแรกกำเนิดของพวกเราอย่างไม่กลัวตายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร”

ในคำพูดเผยแววเดือดดาล และมีแววดูแคลนอย่างไม่ปกปิดใดๆ

ที่โลกภายนอก แดนเร้นนภาอาจทำให้คนหน้าถอดสีเมื่อเอ่ยถึง แค่ได้ยินชื่อก็ใจฝ่อ

แต่ในสายตาของคนใหญ่คนโตลัทธิแรกกำเนิดเหล่านี้ แดนเร้นนภาก็เป็นเพียงขุมอำนาจมือสังหารเก่าแก่แห่งหนึ่งเท่านั้น

ไม่ควรค่าให้ชายตาแล

แต่ตอนนี้แดนเร้นนภากลับเหิมเกริมถึงขั้นกล้าลอบสังหารคนของลัทธิแรกกำเนิดของพวกเขา นี่ผิดวิสัยยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

“ออกเดินทางนอกสำนักย่อมไม่อาจเลี่ยงอันตรายและคลื่นลมบางส่วนได้ เจ้าพบเจอการซุ่มโจมตีของมือสังหารแดนเร้นนภาครั้งนี้ จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับที่มีคนทรยศในสำนักของเรา”

ฝูเหวินหลีเอ่ยปากเย็นชา

“หากเป็นเหตุสุดวิสัยและอันตรายทั่วไปก็ช่างเถิด แต่เรื่องนี้เห็นชัดว่ามีการวางแผนล่วงหน้า ยามข้าออกจากสำนัก ร่องรอยก็ถูกเปิดเผยแล้ว หาไม่เกรงว่าแดนเร้นนภาไม่มีทางหาข้าเจอในเวลาสั้นๆ เช่นนี้แน่”

หลินสวินกล่าวราบเรียบ

“ดังนั้นเพราะสาเหตุนี้ เจ้าจึงมั่นใจว่าเป็นฝีมือจินจงเยวี่ยหรือ”

ฉีเซียวอวิ๋นแค่นเสียงเย็น

หลินสวินกล่าว “ข้าบอกแล้วว่ามีเพียงจินจงเยวี่ยน่าสงสัยที่สุด เพราะเขาเป็นศิษย์ที่เฝ้าค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ และมีเพียงเขาที่รู้ทิศทางและเวลาที่ข้าออกจากสำนักดีที่สุด”

“มีหลักฐานหรือไม่” ฝูเหวินหลีกล่าวตรงๆ

“ไม่มี” หลินสวินสงบนิ่งอย่างเห็นได้ชัด

โถงใหญ่เกิดเสียงฮือฮาทันที

ไม่มีหลักฐาน อาศัยเพียงข้อสงสัยจับตัวจินจงเยวี่ย ไม่กลัวถูกคนสงสัยว่าจงใจเล่นงานแก้แค้นจินจงเยวี่ยหรือ

ดังคาด ก็เห็นฝูเหวินหลีกล่าวเย็นชา “รองผู้ดูแลอย่างเจ้ากลับจับตัวจินจงเยวี่ยมาดำเนินการสอบสวนโดยพลการเพียงเพราะว่าสงสัย ไม่รู้สึกว่าทำเกินเหตุหรือ”

“นี่ไม่ใช่ทำเกินเหตุ นี่เป็นไม่เห็นกฎอยู่ในสายตา กำเริบเสิบสาน!”

ฉีเซียวอวิ๋นกล่าวเสียงเข้ม

ในที่นั้นเงียบกริบกดดัน ใครล้วนมองออกว่าสถานการณ์เริ่มไม่เป็นผลดีต่อหลินสวินอย่างยิ่ง เว้นแต่เขาจะเอาหลักฐานออกมาได้ หาไม่วันนี้เกรงว่าเขาต้องจ่ายค่าตอบแทนเพราะเรื่องที่จับตัวจินจงเยวี่ยเป็นแน่

เสวียนเฟยหลิงขมวดคิ้วน้อยๆ กล่าวว่า “หลินสวิน เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”

“มี”

หลินสวินว่าพลางหยิบม้วนหยกม้วนหนึ่งออกมา “แดนเร้นนภาส่งสี่มารภูตผีพรายสางมาลอบสังหารข้า ในม้วนหยกนี้บันทึกเรื่องน่าสนใจบางอย่างเอาไว้ เชื่อว่าหลังจากทุกท่านดูแล้วจะเข้าใจว่าเหตุใดข้าจึงกระทำเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ และเหตุใดจึงต้องจับตัวผู้ต้องสงสัยอย่างจินจงเยวี่ย”

ม้วนหยก!

พวกฝูเหวินหลี ฉีเซียวอวิ๋นนัยน์ตาหดรัด

ส่วนเหล่าคนใหญ่คนโตคนอื่นๆ ในที่นี้ล้วนเผยแววกระจ่างขึ้นมา คล้ายเข้าใจในที่สุดว่าเหตุใดหลินสวินจึงกล้าจับตัวจินจงเยวี่ยอย่างมั่นใจเช่นนี้

วู้ม!

พร้อมกับคลื่นระลอกหนึ่ง ในม้วนหยกปรากฏภาพเหตุการณ์ต่างๆ ล้วนเป็นภาพที่เกิดขึ้นกลางภูเขาลึกนอกเมืองธารดารา

ทว่ากลับไม่ใช่ภาพการต่อสู้ หากแต่เป็นบทสนทนาบางส่วนยามที่สี่มารปรากฏตัว ก่อนการต่อสู้กับหลินสวินและเฟยอวิ๋น

เมื่อเห็นภาพต่างๆ เหล่านี้ นัยน์ตาเหล่าคนใหญ่คนโตในที่นี้ล้วนวาบไหวไม่หยุด สีหน้าแปลกไป

“เฟยอวิ๋นนี่เป็นใคร”

มีคนอดเอ่ยถามไม่ได้

“เฒ่าชราคนหนึ่งที่ถอนตัวออกจากแดนเร้นนภา เดิมข้าตั้งใจจะยืมพลังของเขาไปตามหามารภูตเพื่อล้างแค้นแทนศิษย์พี่เย่ฉุนจวิน นึกไม่ถึงว่ามารภูตและสามมารที่เหลือกลับเป็นฝ่ายมาหาถึงที่”

หลินสวินกล่าวอธิบายง่ายๆ

ขณะพูดในภาพที่ปรากฏก็มีเสียงมารพรายดังออกมา

‘ถึงอย่างไรก็เป็นผู้สืบทอดหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด การที่มีความมั่นใจเช่นนี้ก็เป็นเรื่องปกติ ในข้อมูลก็บอกไว้ว่าแม้เจ้านี่เพิ่งทะลวงระดับได้ไม่นาน แต่พลังต่อสู้เย้ยฟ้า ศาสตรามรรคน่าตกตะลึง ไม่อาจดูเบา หาไม่มีหรือจะให้พวกเราสี่คนลงมือด้วยกัน’

สิ้นเสียง หลินสวินก็เก็บม้วนหยก

เมื่อมองเหล่าคนใหญ่คนโตในที่นี้อีกที สีหน้าล้วนเผยแปลกใจทันที

“ดูท่าทุกท่านคงเห็นชัดและได้ยินชัดแล้ว สี่มารได้รับข่าว จึงมุ่งหน้ามาจัดการข้าในทันที”

หลินสวินกล่าวราบเรียบ “เหตุใดพวกเขาจึงลงมือด้วยกัน เพราะมีคนปล่อยข่าวบอกพวกเขา ว่าแม้ข้าเพิ่งทะลวงระดับอมตะ แต่พลังต่อสู้เย้ยฟ้า ศาสตรามรรคน่าตกตะลึง!”

“ทุกท่าน ก่อนข้าหลินสวินจะออกเดินทางครานี้ ล้วนฝึกปราณในสำนักมาโดยตลอด แล้วใครเป็นคนบอกแดนเร้นนภาว่าข้าหลินสวินแจ้งมรรคอมตะแล้วกันเล่า”

“ทั้งเป็นใครที่บอกมือสังหารพวกนั้นว่าพลังต่อสู้ของข้าเย้ยฟ้า ให้ส่งมือสังหารระดับปลายยอดในขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสี่คนอย่างภูตผีพรายสางมาจัดการข้า”

เสียงดังก้องโถงใหญ่ โจมตีจิตใจผู้คนตรงๆ

“คำพูดประโยคเดียวยังไม่อาจพิสูจน์ได้ว่ามีคนทรยศในสำนักพวกเรา”

เฉาเป่ยโต้วอดกล่าวแทรกไม่ได้

หลินสวินถามกลับ “ข้าถามท่านเพียงว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในลัทธิแรกกำเนิดของพวกเราถูกแดนเร้นนภารู้เช่นนี้ได้อย่างไร”

“ทุกท่านในที่นี้น่าจะรู้ชัด ว่าศาสตรามรรคอมตะของข้าเคยใช้ในสำนักของพวกเราครั้งเดียวเท่านั้น และครั้งเดียวนี้ก็คือตอนเอาชนะจินจงเยวี่ย”

“แต่มือสังหารแดนเร้นนภาพวกนั้นยังไม่ทันลงมือก็รู้ว่า ‘ศาสตรามรรค’ ของข้าน่าตกตะลึง!”

หลินสวินกล่าวถึงตรงนี้ก็ทอดสายตามองเฉาเป่ยโต้ว “ผู้อาวุโสเฉา ท่านว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ข้ามีเหตุผลให้สงสัยว่าจินจงเยวี่ยแค้นฝังใจ จึงเปิดเผยข่าวและที่อยู่ของข้าให้แดนเร้นนภาได้หรือไม่”

เฉาเป่ยโต้วเบื้อใบ้จนคำพูดไปชั่วขณะ

ในม้วนหยกที่หลินสวินหยิบออกมาเมื่อครู่เผยภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นอย่างชัดเจน กระทั่งสีหน้าท่าทางและคำพูดยังเปิดเผยแจ่มแจ้ง

นี่ทำให้เฉาเป่ยโต้วไม่อาจโต้แย้งเช่นกัน

“มิน่าเจ้าถึงเดือดดาลเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นข้าถูกหนอนบ่อนไส้ทรยศ ก็ต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นกัน”

เสวียนเฟยหลิงทอดถอนใจ

ประโยคเดียวเรียกการเห็นด้วยจากคนใหญ่คนโตมากมาย

แดนเร้นนภาไม่นับเป็นอะไร แต่หากในสำนักมีหนอนบ่อนไส้เปิดเผยและปล่อยข้อมูลของหลินสวิน นั่นเป็นความผิดยิ่งยวด!

“แต่นี่ไม่อาจพิสูจน์ว่าจินจงเยวี่ยเป็นคนทรยศ หรือทุกท่านคิดว่าด้วยฐานะของจินจงเยวี่ย จะยังสามารถบงการให้แดนเร้นนภาส่งสี่มารออกมาลงมือได้หรือ”

เฉาเป่ยโต้วอัดอั้นอยู่นาน กว่าจะเค้นประโยคเช่นนี้ออกมาได้

กลับเห็นหลินสวินพยักหน้ากล่าวอย่างจริงจัง “ผู้อาวุโสเฉากล่าวไม่ผิด จินจงเยวี่ยไม่มีปัญญาบงการแดนเร้นนภาสักนิด และเพราะเหตุนี้ข้าจึงจับตัวจินจงเยวี่ยในทันที ด้วยสงสัยว่าเบื้องหลังจินจงเยวี่ยยังมีผู้บงการอื่นอีก!”

ประโยคเดียวสะเทือนฟ้าดิน

บรรยากาศในโถงใหญ่พลันเงียบกริบ กดดันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท