ลานมรรคเปิดสวรรค์
บรรยากาศกลางฟ้าดินอึมครึมมาก ผู้สืบทอดเก้ายอดเขาใหญ่ล้วนโกรธจนควันออกหู
บรรดาคนใหญ่คนโตเหล่านั้นหว่างคิ้วก็เจือแววมืดทะมึนเช่นกัน
บนแท่นพิธี ผู้แข็งแกร่งที่มาจากโลกภายนอกอย่างสิบยักษ์ใหญ่อมตะ ลัทธิวิญญาณ ลัทธิฌาน ล้วนกำลังกระซิบกระซาบพูดอะไรบางอย่าง
สิงจวิ้นยืนอยู่บนลานมรรคเปิดสวรรค์เพียงลำพัง เหยียดหยันหยิ่งยโส
เขารูปร่างสูงผอมแข็งแรง ผิวพรรณสีทองแดง หนวดผมยุ่งเหยิง นัยน์ตาดุจโคมทอง มีเปลวเพลิงน่าสยดสยองไหลวน
กฎเกณฑ์อมตะแดงฉานเป็นสายๆ คละคลุ้งออกมาจากตัวเขา ตัดสลับกลายเป็นสัญลักษณ์ที่เก่าแก่ดุกร้าว ทำให้กลิ่นอายของเขาดุดันน่าสะพรึง ประหนึ่งเทพเถื่อนที่เกรี้ยวกราดอาละวาด
“เหตุใดหลินสวินถึงยังไม่ปรากฏตัว หรือว่ากลัวขึ้นมา”
สิงจวิ้นหมดความอดทนอยู่บ้าง มุ่นคิ้วแค่นเสียงเย็น
ลัทธิพ่อมดทั้งบนล่างล้วนไม่ปกปิดอารมณ์ของตน ไม่นับถือเทพผี ไม่เคารพกฎเกณฑ์ เป็นผลให้ถูกโลกภายนอกเรียกขานว่าทั่วสำนักทั้งบนล่างล้วนป่าเถื่อน
เหมือนอย่างเวลานี้ นี่เป็นถึงอาณาเขตของลัทธิแรกกำเนิด แต่สิงจวิ้นกลับยังยโสเหมือนเก่า ไม่ได้เพลาลงสักนิด
หัวคิ้วของพวกเสวียนเฟยหลิง ตู๋กูยงยิ่งขมวดมุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขามีหรือจะมองไม่ออก สิงจวิ้นท้าสู้ในเวลานี้ เบื้องหลังนี้จะต้องมีเฒ่าชราของลัทธิพ่อมดพวกนั้นคอยชี้นำ
แต่นี่ไม่ใช่อุบายสกปรก หากแต่เป็นแผนการซึ่งหน้า
ท้าประลองอย่างผ่าเผยในเวลานี้ หมายจะทำให้ลัทธิแรกกำเนิดทั้งบนล่างล้วนอึดอัด!
“พี่ฝู เจ้าหลินสวินนี่ยังไม่มาหรือ”
ไกลออกไปบนแท่นพิธี ราชครูดินลัทธิพ่อมด ‘สยงถู’ เอ่ยด้วยเสียงราวฟ้าผ่า
ราชครูดินลัทธิพ่อมด เทียบเท่ากับรองหัวหน้าหอลัทธิแรกกำเนิด เงาร่างของสยงถูผู้นี้สูงกำยำเป็นที่สุด ดุจดั่งเทือกเขาลูกหนึ่ง รูปลักษณ์หยาบกร้าน กลางหน้าผากมีรอยสักอสนีบาตรอยหนึ่ง
ฝูเหวินหลีกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ถึงหลินสวินจะเป็นรองผู้ดูแลหอแรกนภา แต่จะรับคำท้าหรือไม่มีแต่ตัวเขาเป็นคนตัดสิน”
“ฮ่าๆ กล่าวเช่นนี้ ศิษย์คนเล็กของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลนี่ก็ยอมแพ้แล้วหรือ”
สยงถูแหงนหน้าระเบิดหัวเราะ
เขาเป็นระดับอมตะขั้นหลุดพ้น แต่เผยอารมณ์ทั้งหมดอย่างเด่นชัด ไม่ปกปิดแววเหยียดแคลนและตั้งตนเป็นศัตรูต่อคีรีดวงกมลสักนิด
นี่ก็คือวิธีวางตัวของลัทธิพ่อมด ทั้งบนล่างล้วนเป็นเช่นนี้
ฝูเหวินหลีไม่ได้เอ่ยทัดทาน ทำราวกับเป็นคนนอก
เสวียนเฟยหลิงกลับแค่นเสียงกล่าวว่า “เจ้าเฒ่าสยง ถ้าเจ้าอดใจรอไม่ไหว ไม่สู้เจ้ากับข้าแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันสักหน่อยเล่า”
สยงถูนัยน์ตาแข็งค้าง จากนั้นก็หัวเราะร่วน “เสวียนเฟยหลิง เจ้าอย่าคิดยั่วข้า บนอาณาเขตลัทธิแรกกำเนิดของพวกเจ้า หากข้าโค่นเจ้าจนฟุบขึ้นมา เฒ่าเหยียนจี้จะต้องร้อนใจเป็นแน่”
เสวียนเฟยหลิงร้องเหอะคราหนึ่ง “ไม่กล้าก็คือไม่กล้า พูดพล่ามอะไร หรือลืมไปแล้วว่าในอดีตที่ผ่านมาข้าเคยล่าสังหารเจ้าไปถึงหน้าประตูภูเขาลัทธิพ่อมดของพวกเจ้า ตอนนั้นใครกันที่แหกปากว่าภายหน้าจะมาสะสางความแค้นล้างอายกับข้า นี่ก็ผ่านไปหมื่นปีกว่าแล้วกระมัง ก็ไม่เห็นเฒ่าสยงอย่างเจ้ากล้ามา”
หากเสวียนจิ่วอิ้นอยู่ตรงนี้ จะต้องพบว่าท่าทางหยิ่งผยองของท่านเทียดคนนี้ของเขา เหนือกว่าเขาช่วงใหญ่อย่างแน่นอน
ประโยคเดียวทำเอาทั่วลานฮือฮา
พวกเฒ่าชราอาวุโสจำนวนหนึ่งสีหน้าล้วนเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด นึกถึงการไล่ล่าสังหารครั้งใหญ่อันดุเดือดเลือดพล่านในอดีตเมื่อนานมาแล้ว สยงถูในตอนนั้นถูกเสวียนเฟยหลิงไล่ล่าจนทุลักทุเลยิ่งจริงๆ
ถูกเสวียนเฟยหลิงเปิดโปงเรื่องน่าอับอายในปีนั้นต่อหน้าทุกคน ใบหน้าชราของสยงถูล้วนอึมครึม ไอสังหารกลางนัยน์ตาพลุ่งพล่าน
เนิ่นนานเขาแค่นเสียงเย็นกล่าว “เจ้าวางใจได้ ความอับอายครั้งนี้ ภายหน้าข้าต้องเอาคืนร้อยเท่าแน่ วันนี้ข้ามาชมงานพิธีเฉยๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไว้หน้าพวกเจ้าลัทธิแรกกำเนิดหน่อย”
ไกลออกไปบนลานมรรคเปิดสวรรค์ สิงจวิ้นกล่าวเสียงเย็น “จนป่านนี้แล้วหลินสวินยังไม่โผล่มาอีก จากที่ข้าดู เขายอมแพ้แล้วจริงๆ ทำคนผิดหวังนัก”
“ข้าจะสู้กับเจ้าสักตั้ง!”
ทันใดนั้นคนผู้หนึ่งก้าวออกมา สีหน้าเยียบเย็น
อิ้งเทียนหง!
ผู้นำรองผู้ดูแลหอแรกมายา ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์
ลือกันว่าเขามีรากฐานพลังแจ้งมรรคขั้นดับเทพนานแล้ว หลายปีนี้ปรากฏตัวน้อยครั้งมาก
“ศิษย์พี่อิ้ง ต้องเอาชนะเจ้าหมอนั่นให้ได้ จองหองเกินไปแล้ว!”
บริเวณใกล้เคียงฮือฮาระลอกหนึ่ง ผู้สืบทอดลัทธิแรกกำเนิดจำนวนมากล้วนส่งเสียงร้องออกมา
ในลานมรรคเปิดสวรรค์ สิงจวิ้นกล่าวเย็นชา “สองคนก่อนหน้านี้ล้วนถูกข้าระเบิดร่าง เจ้าก็อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยรึ เตือนเจ้าอย่าหาเรื่อใส่ตัวดีกว่า!”
บนใบหน้าอิ้งเทียนหงวาบประกายคล้ำเขียว กำลังตั้งท่าจะกระโจนขึ้นลานมรรค
“เทียนหง ถอยไป!” ตู๋กูยงเปิดปาก สีหน้าเคร่งขรึม
อิ้งเทียนหงขมวดคิ้วทันที กล่าวว่า “ถ้าหลินสวินไม่มา แล้วจะปล่อยให้เขาอวดกล้าอยู่ในลัทธิแรกกำเนิดของเราไปตลอดหรือ”
คนอื่นๆ ในที่นี้สภาพอารมณ์ล้วนซับซ้อน
แต่เดิมพวกเขาตั้งตาคอยหลินสวินลงสนามเป็นที่สุด ให้บทเรียนแก่สิงจวิ้นสักครั้ง
ทว่ารอถึงตอนนี้ก็ไม่เห็นเงาร่างหลินสวินโผล่มา นี่ทำให้พวกเขาล้วนอดสงสัยไม่ได้อยู่บ้าง หรือว่าหลินสวินไม่กล้ารับคำท้าสู้จริงๆ
เมื่อก่อนเขาไม่เคยเป็นเช่นนี้!
“ลัทธิแรกกำเนิดที่ยิ่งใหญ่ แต่ดันไม่มีคนระดับเดียวกันกล้ารับคำท้าสู้สักคน หรือจะเป็นอย่างที่โลกภายนอกลือกันจริงๆ ลัทธิแรกกำเนิดเป็นเหมือนสายน้ำไหลลงที่ต่ำ บารมีไม่เหมือนก่อนแล้ว”
สิงจวิ้นหัวเราะเย็นชา
ประโยคเดียวยั่วโทสะจนบรรดาคนใหญ่คนโตของลัทธิแรกกำเนิดเหล่านั้นล้วนเดือดดาล เจ้าหมอนี่จองหองเกินไปแล้วชัดๆ!
ไกลออกไปบนแท่นพิธี คนมากมายเพียงมองดูอยู่ข้างๆ คอยดูว่าลัทธิแรกกำเนิดจะแก้ทางการท้าทายครั้งนี้อย่างไร
ก็ในเวลานี้เอง
เสียงขอโทษสายหนึ่งดังขึ้นในที่นี้ “ขออภัย ข้ามาสายแล้ว”
เสียงไม่ดังนัก แต่กลับก้องในหูของทุกคนอย่างชัดเจน
จากนั้นเงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งแหวกอากาศมาเยือน ปรากฏในสายตาของทุกคน
หลินสวิน!
คนใหญ่คนโอย่างพวกเสวียนเฟยหลิง ตู๋กูยง ฟางเต้าผิงล้วนลอบถอนหายใจโล่งอก
ก่อนหน้านี้ในใจพวกเขาก็ไม่พอใจอยู่บ้างเหมือนกัน เวลาไหนแล้วเจ้าหลินสวินยังไม่โผล่มาอีก หรือตั้งใจจะมองดูคนเถื่อนจากลัทธิพ่อมดมารังแกถึงในสำนัก
แต่ยามเห็นหลินสวินโผล่มาในที่สุด ความไม่พอใจเสี้ยวนั้นของพวกเขาก็พลอยอันตรธานหายไปด้วย
“หลินสวิน เป็นศิษย์น้องหลินสวิน!”
“รองผู้ดูแลหลินสิถึงจะถูก!”
“ดีเหลือเกิน ในที่สุดเขาก็มาแล้ว สมกับที่ข้าเลื่อมใสเขามานาน!”
ผู้สืบทอดเก้ายอดเขาใหญ่ของลัทธิแรกกำเนิดล้วนเดือดพล่าน แต่ละคนสีหน้าฮึกเหิม
แม้แต่เหล่าคนใหญ่คนโตอย่างพวกผู้อาวุโส ผู้ดูแลสามหอเหล่านั้นก็ยังรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ความรู้สึกนี้มหัศจรรย์ยิ่ง
เสมือนขอเพียงหลินสวินมา ทุกอย่างล้วนสามารถคลี่คลายได้อย่างง่าย ส่วนพวกเขาก็สามารถสงบจิตและเบาใจได้อย่างแท้จริงแล้ว
‘เวลาสั้นๆ ไม่ถึงสองปี ความเชื่อมั่นที่เจ้าหมอนี่สร้างขึ้นในสำนักถึงกับมีมากถึงขั้นนี้แล้ว!’
และเมื่อสังเกตเห็นภาพเช่นนี้ ในใจคนใหญ่คนโตอย่างพวกฝูเหวินหลี ฉีเซียวอวิ๋นล้วนหนักอึ้ง
การตอบสนองของผู้คนทั้งบนล่างในสำนักเวลานี้ คือการยอมรับในตัวหลินสวินถึงขีดสุดอย่างหนึ่ง นี่ก็คือบารมี เป็นอิทธิพลที่น่ากลัวเป็นที่สุดอย่างหนึ่ง
บางทียามปกติอาจมองไม่เห็นอะไร
แค่เมื่อประสบเรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ บารมีและอิทธิพลนี้จึงจะสามารถสำแดงเดชออกมา
ก็เหมือนตอนนี้!
พวกผู้นำยอดเขาหรือผู้อาวุโสที่วางตัวเป็นกลางมาโดยตลอดจำนวนหนึ่ง เวลานี้ก็ยังเผยรอยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
เหมือนอย่างผู้นำยอดเขาที่หนึ่งเยวี่ยอู๋โฉว ผู้นำยอดเขาที่ห้าอวี๋เซี่ยงถิง ผู้นำยอดเขาที่หกเหวินตงเหมียน ที่ผ่านมาล้วนวางตัวเป็นกลางในเรื่องของหลินสวิน อิงตามกฎระเบียบ
แต่ตอนนี้เห็นชัดว่าล้วนเต็มไปด้วยความตั้งตาคอยและเชื่อมั่นในตัวหลินสวิน!
นี่เป็นภาพที่พวกฝูเหวินหลี ฉีเซียวอวิ๋นไม่อยากเห็นมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ไกลออกไปบนแท่นพิธี สายตาทุกคู่ต่างก็มองไปทางหลินสวินเช่นกัน
จอมวิญญาณชิงอวิ๋นจากหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณ จอมมุนีชื่อเย่จากหอบรรพจารย์ลัทธิฌาน ราชครูดินสยงถูจากหอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมด รวมถึงเหล่าคนใหญ่คนโตจากขุมอำนาจสิบยักษ์ใหญ่อมตะล้วนเผยสีหน้าต่างกันออกไป
บ้างนัยน์ตาเจือแววประหลาด ค่อนข้างสนใจ
บ้างสีหน้าเย็นชา มีไอสังหารรำไร
บ้างเยือกเย็นไร้คลื่นลม วางตัวอยู่นอกเหตุการณ์ คอยมองไฟจากชายฝั่ง
บ้างก็จมสู่ภวังค์ความคิด…
ใครๆ ล้วนรู้ดี การปรากฏตัวของสิงจวิ้น เห็นชัดว่าเป็นการจัดวางของคนใหญ่คนโตลัทธิพ่อมดพวกนั้น จงใจหันปลายหอกไปทางหลินสวิน
และตอนนี้หลินสวินปรากฏตัวแล้ว ต่อไปก็ต้องคอยดูว่าผู้สืบทอดคนนี้ที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลเฝ้ารอคอย จะแข็งแกร่งอย่างที่ลือกันจริงหรือไม่
“เหตุใดเจ้าเพิ่งมาเอาป่านนี้”
เห็นหลินสวินมัวแต่เอ้อระเหยลอยชาย อิ้งเทียนหงก็โมโหอยู่บ้าง
หลินสวินประสานหมัดกล่าวขอโทษว่า “ศิษย์พี่โปรดระงับโทสะ ต่อไปก็มอบให้ข้าแล้วกัน”
“การต่อสู้ครั้งนี้แพ้ไม่ได้ หาไม่หน้าตาลัทธิแรกกำเนิดของพวกเราก็รักษาไม่อยู่แล้ว” อิ้งเทียนหงสีหน้าเคร่งขรึม
และพร้อมกันนั้นเสียงสื่อจิตของเขาก็ลอยเข้าหูหลินสวิน ‘คนผู้นี้หลอมกายจิตถึงขั้นน่าเหลือเชื่อ เทียบกับศาสตรามรรคอมตะยังไม่ด้อยไปกว่ากัน ซ้ำยังมีพรสวรรค์ ‘เลือดเทพพ่อมดทอง’ ครอบครองอภินิหารอหังการที่แข็งแกร่ง ต่อสู้กับเขาต้องระวังให้มาก’
กล่าวจบเขาก็หมุนตัวจากไป
หลินสวินยิ้มเหมือนเข้าใจ จากนั้นก็หันสายตามองสิงจวิ้นที่อยู่บนลานมรรคเปิดสวรรค์
“ยังนิ่งอยู่ทำไม เข้ามาสู้สิ!”
สิงจวิ้นงอนิ้วกระดิกเรียก เอ่ยปากเสียงดัง ดุดันบีบคั้นผู้คน
หลินสวินท่าทีสงบนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน หากแต่ทอดสายตามองไปทางแท่นชมการต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไป กล่าวว่า “ข้าคนแซ่หลินอยากถามสักหน่อยว่ายังมีใครอยากท้าสู้อยู่อีก ลุกออกมาตอนนี้เป็นดีที่สุด หาไม่หลังจากโจมตีสิงจวิ้นนี่พ่ายแพ้ ข้าก็ไม่คิดอยู่ต่อแล้ว”
ทั่วลานล้วนตะลึงอึ้งค้างไประลอกหนึ่ง
สิงจวิ้นยังอึ้งไป ก่อนระเบิดหัวเราะกล่าวว่า “เจ้าคนอวดดีหลินสวิน โอหังอย่างที่ลือกันดังคาด! ข้ารับรองว่าอีกเดี๋ยวจะไม่ระเบิดเจ้าง่ายๆ แน่ แต่จะเล่นสนุกกับเจ้าเป็นอย่างดีเชียวล่ะ!”
เสียงเกรี้ยวกราดดุดัน
หลินสวินไม่ได้สนใจเขา สายตามองที่แท่นชมการต่อสู้ตลอดเวลา “ไม่มีหรือ ก็ดี เช่นนั้นข้าคนแซ่หลินก็จะตั้งใจเล่นสนุกเป็นเพื่อนสหายจากลัทธิพ่อมดคนนี้ให้ดี”
กล่าวพลางตั้งท่าจะเข้าสู่ลานมรรคเปิดสวรรค์
เสียงเย็นชาสายหนึ่งเอ่ยขึ้นมากะทันหัน “ถ้าเจ้าคว้าชัยชนะไปได้ ข้าก็ไม่รังเกียจจะชี้แนะเจ้าสักหน”
ในลานฮือฮา มองออกว่าคนที่ส่งเสียงขึ้นมาผู้นั้นมาจากสิบยักษ์ใหญ่อมตะตระกูลจิง นามว่าจิงฉิงเจี่ย เป็นบุคคลแห่งยุคที่มีบารมีมากยิ่งคนหนึ่งในตระกูลจิง มีมรรควิถีขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์
เขาสวมชุดเกราะสีดำ คลุมเสื้อคลุมขนนกกระเรียนแดงฉาน ใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาเป็นประกาย มาดโดดเด่นเป็นที่สุด
“ไม่กลับคำแน่หรือ” หลินสวินกล่าว
จิงฉิงเจี่ยหัวเราะชอบใจ “ภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน ข้าคนแซ่จิงทำเรื่องขายหน้าคนเช่นนั้นไม่ลงหรอก กลับเป็นเจ้านั่นแหละ อย่าถูกสหายยุทธ์สิงจวิ้นระเบิดเอาเป็นดีที่สุด”
หลินสวินหยิบเอาสารหนังสือหยกไหมที่เตรียมพร้อมแต่แรกชิ้นหนึ่งออกมา กล่าวว่า “มา ประทับรอยนิ้วมือ เช่นนี้ข้าถึงจะเชื่อว่าเจ้าจะไม่กลับคำภายหลัง”
ทุกคนทั่วลานล้วนอดมองไปไม่ได้ ก็เห็นบนสารหนังสือหยกไหมนั่นเขียนอักษรตัวใหญ่แถวหนึ่งอย่างอวดดีว่า
‘ใครกลับคำ คนนั้นเป็นหลานของทุกคนในที่นี้’
ทุกคนล้วนอดปากอ้าตาค้างไม่ได้ แบบนี้ก็ได้หรือ!?
“เหลวไหล!”
ฝูเหวินหลีขมวดคิ้วแค่นเสียง “เวลาเช่นนี้ยังทำเรื่องเหมือนเด็กเล่นแบบนี้อยู่อีก หากลือออกไปจะไม่ทำให้พวกเราลัทธิแรกกำเนิดกลายเป็นตัวตลกของผู้อื่นไปทั่วหรือ”
พวกฉีเซียวอวิ๋น ชือเวินก็ไม่ชอบใจเช่นกัน หลินสวินนี่จะเหลวไหลเกินไปแล้ว!
แต่คนส่วนใหญ่ล้วนตื่นเต้นและฮึกเหิม นึกถึงภาพเหตุการณ์ในวันที่หลินสวินแจ้งมรรคอมตะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ตอนนั้นก็เป็นเขาที่ทำให้ฉีหลิงเจิ้น จงหลีหรัน กู้เซ่าอิ้น ฟู่เจาเซิงสี่คนเข้าสู่สนามรบพิพาทสวรรค์พร้อมกัน หมายจะสู้หนึ่งต่อสี่…
ตอนนั้นทุกคนล้วนคิดว่าเขาบ้าไปแล้ว
ทว่าความจริงพิสูจน์แล้ว หลินสวินทำเช่นนี้ แค่เพราะไม่อยากให้คู่ต่อสู้คนใดกลับคำและเผ่นหนีไป!
………………..