Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2770 ยอมแพ้

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2770 ยอมแพ้

ตอนที่ 2770 ยอมแพ้

เหมาชิวจากไปอย่างเดือดดาล

ภายใต้สายตาของทุกคน ถูกหลินสวินเย้ยหยันแล้วมองข้าม นี่ทำให้เขาไม่สามารถใจเย็นได้

และผู้ท้าสู้ที่ถูกหลินสวินจ้องคนนั้น ตอนนี้หนังหัวตึงขึ้นมาระลอกหนึ่ง สีหน้าแข็งทื่อ

เขานามว่าจู่เทียนโย่ว มาจากตระกูลจู่หนึ่งในสิบยักษ์ใหญ่อมตะแห่งน่านฟ้าที่แปด มรรควิถีขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์ อีกทั้งอยู่ในขั้นนี้มาสองสามพันปี รากฐานพลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง

พูดถึงพลังต่อสู้ที่แท้จริงยังเหนือกว่าจิงฉิงเจี่ยอยู่บ้าง

“หลินสวิน เจ้ากล้าตัดสินแพ้ชนะในกระบวนท่าเดียวกับข้าหรือไม่”

จู่เทียนโย่วสูดหายใจลึกคราหนึ่ง เอ่ยเสียงขรึม

หนึ่งกระบวนท่า!

นี่เป็นเรื่องยากมาก ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ที่สุดคือแบ่งสูงต่ำไม่ได้ ฝีมือไล่เลี่ย

“เจ้าหมอนี่คงไม่ได้คิดจะใช้วิธีเช่นนี้มาชิงผลลัพธ์ว่าเสมอกันหรอกนะ เจ้าเล่ห์นัก!”

เสียงมากมายดังขึ้น เดาความคิดของจู่เทียนโย่วออก สีหน้าของคนไม่น้อยแฝงความดูถูกรางๆ

หนึ่งกระบวนท่า

หากจู่เทียนโย่วป้องกันเต็มกำลัง ย่อมไม่อาจตัดสินแพ้ชนะได้

สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือหลินสวินกลับตอบรับแล้ว

“ได้”

เขาพูดง่ายๆ

จู่เทียนโย่วดีใจยิ่ง ทั้งร่างล้วนผ่อนคลายลงไม่น้อย เขาไม่เชื่อว่าแค่กระบวนท่าเดียวตนจะต้านไม่ไหว

“ดี เจ้าอย่าได้คืนคำเชียว!”

ว่าพลางจู่เทียนโย่วก็พุ่งขึ้นลานมรรคเปิดสวรรค์ แววตาดุดัน เต็มไปด้วยความมั่นใจและดูถูกทั่วร่าง

เหมาชิวที่จากไปเพราะความอับอายก่อนหน้านี้เห็นภาพเช่นนี้ในใจก็นึกเสียใจขึ้นมา เหตุใดตนจึงคิดไม่ได้ว่าสามารถใช้วิธีเช่นนี้มาสร้างผลลัพธ์ที่เสมอกันได้

จู่เทียนโย่วนี่เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว!

“ฆ่า!”

จู่เทียนโย่วออกโจมตีในทันที

การโจมตีคือการป้องกันที่ดีที่สุด!

ก็เห็นร่างที่ผอมซูบราวกับตอฟางของเขาพุ่งปราดเข้ามา บนผิวปรากฏแผ่นเกราะสีดำที่คมราวกับดาบ ล้วนแปลงมาจากกฎเกณฑ์อมตะระดับสวรรค์ขั้นเก้า ทั้งสามารถป้องกันและโจมตี มหัศจรรย์ไม่อาจคาดเดา

ชั่วพริบตาทั้งตัวเขาราวกับปกคลุมด้วยเกราะสีดำชั้นหนึ่ง หมอกดำอบอวลทั่วตัว

เกราะเทพคุ้มครอง!

อภินิหารชั้นยอดที่หลอมรวมพรสวรรค์ มรรควิถี และกฎเกณฑ์ทั้งหมดของเขาอย่างหนึ่ง

และมือขวาของเขาถือโล่สำริดกลมมนชิ้นหนึ่ง สลักลายมรรคอมตะแน่นขนัด มือขวากำดาบศึกเรียวยาวขาวเจิดจ้าราวกับหิมะ

โล่มัจฉาหยินหยาง!

ดาบทลายแดน!

ศาสตรามรรคอมตะที่ทั้งรุกและรับคู่หนึ่ง หนึ่งดาบหนึ่งโล่ ราวกับวัฏจักรเอกอุ สามารถสลายการโจมตีทั้งหมด เกิดผลลัพธ์อันมหัศจรรย์ที่ใช้สี่ตำลึงปาดพันชั่ง[1]

การโจมตีกลับประหนึ่งดาบพาดขวางเก้าแดน รุนแรงไร้ขอบเขต

ชั่วขณะเดียวจู่เทียนโย่วก็เหมือนสวมชุดออกศึกเต็มยศ โคจรไพ่ตายทั้งหมดของตนถึงขีดสุด ทำให้คนใหญ่คนโตไม่น้อยล้วนตกใจ

แทบจะในเวลาเดียวกัน หลินสวินเองก็เคลื่อนไหวแล้ว

วู้ม!

เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งปรากฏ ตัวเตาที่เรียบง่ายเป็นธรรมชาติแผ่แสงมรรคไพศาล พาดผ่านห้วงอากาศมาพร้อมกับร่างของหลินสวิน

เปรี๊ยะ!

ชั่วขณะที่เตากระบี่กับโล่มัจฉาหยินหยางปะทะกัน ฝ่ายหลังถูกโจมตีจนพื้นผิวแยกแตกในทันที ระเบิดออกเสียงก้องบาดหู

ศาสตรามรรคอมตะที่มหัศจรรย์ชิ้นนี้ ถึงกับดูไม่ได้ความประหนึ่งกระดาษเปื่อย!

และในเวลาเดียวกันกระบี่มรรคเล่มหนึ่งพุ่งออกจากปากเตา พริบไหวเบาๆ

ปัง!

ดาบศึกที่ฟันออกมาอย่างเดือดดาลของจู่เทียนโย่วระเบิดในมือเขาโดยตรง กลายเป็นเศษชิ้นส่วนกระเซ็นกระสาย

โล่และดาบถูกทำลายแทบจะในเวลาเดียวกัน พลังโจมตีปานทำลายล้างนั่นกระแทกจู่เทียนโย่วจนกระเด็นออกไปไกล จมูกปากหลั่งเลือด ราวกับถูกมังกรดึกดำบรรพ์ชน เอ็นกระดูกทั่วร่างส่งเสียงหนักหน่วง

ในใจเขาตกใจ กระตุ้นเกราะเทพคุ้มครองถึงขั้นที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตามสัญชาตญาณ

และหมัดหนึ่งของหลินสวินพุ่งโจมตีมาแล้ว

หมัดนี้ราวกับภูเขาเทพฟ้าประทาน หอบม้วนอานุภาพทรงพลังที่กำราบทั่วหล้า เงาร่างของจู่เทียนโย่วยังไม่ทันทรงตัวได้ ก็ถูกหมัดนี้กระแทกลงพื้นแล้ว

ปัง!!!

ลานมรรคเปิดสวรรค์สั่นรุนแรงทันใด ในใจทุกคนนอกลานมรรคล้วนสะท้านไหว แค่เห็นก็รู้สึกเจ็บแล้ว

ในฝุ่นควันที่จางไป

เงาร่างผอมตอบของจู่เทียนโย่วฟุบนอนบนพื้น เกร็งกระตุกรุนแรงไม่หยุด อภินิหารเกราะเทพคุ้มครองที่ปกคลุมอยู่บนผิวของเขาถูกระเบิดทั้งหมด ร่างกายถูกกระแทกแตก เลือดสดซึมพื้น บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ในปากส่งเสียงครวญครางไร้สติ…

ทั่วลานเงียบกริบ

การต่อสู้ครั้งนี้เกิดขึ้นรวดเร็ว และสิ้นสุดเร็วยิ่งกว่า

ตั้งแต่จู่เทียนโย่วออกโจมตี เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งทำลายดาบและโล่ของเขา จนถึงหมัดของหลินสวินโจมตีบใส่ร่างของจู่เทียนโย่ว ทั้งหมดเพียงแค่ไม่กี่พริบตาเท่านั้น

หมัดที่อหังการไร้เทียมทานนั่นเหมือนกระแทกใส่ใจทุกคน ทำให้สีหน้าของแต่ละคนล้วนเปลี่ยนไป

คนมากมายเผยสีหน้าทนมองไม่ได้

และมีหลายคนสะท้านสะเทือนจนอึ้งค้างอยู่ตรงนั้น

“นี่เรียกว่าคนฉลาดตกเป็นเหยื่อของความฉลาด บีบให้หลินสวินใช้ศาสตรามรรคอมตะต่อสู้ หากไม่ใช่เพราะออมมือ การโจมตีนี้ถึงขั้นสามารถเอาชีวิตเขาได้”

เสวียนเฟยหลิงแสดงความเห็นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“อนาถ อนาถจริงๆ ยังคิดจะใช้หนึ่งกระบวนท่าตัดสินแพ้ชนะ คิดว่าจะสามารถเสมอกันได้ แต่ตอนนี้… เขายังตัวเกร็งลุกไม่ขึ้นอยู่เลย”

คนใหญ่คนโตลัทธิแรกกำเนิดอย่างพวกตู๋กูยง ฟางเต้าผิงต่างยิ้มออกมา

พวกเขาเองก็รู้สึกสะใจมาก

บนแท่นพิธี สีหน้าของคนใหญ่คนโตเหล่านั้นต่างเคร่งขรึมไม่น้อย

ส่วนบรรดาเฒ่าดึกดำบรรพ์ตระกูลจู่ รู้สึกเพียงว่าใบหน้าร้อนผ่าวหม่นแสง

หนึ่งกระบวนท่าก็ถูกกำราบแล้ว!

นี่ยิ่งน่าอาย ยิ่งน่าคับแค้น และยิ่งน่าขันกว่าพวกสิงจุน จิงฉิงเจี่ย จ้งอิ่งที่พ่ายแพ้ไปก่อนหน้านี้เสียอีก!

‘โชคดีที่ข้าไม่ได้เจ้าเล่ห์ขนาดนี้…’

เหมาชิวที่ก่อนหน้านี้ยังนึกเสียใจที่ไม่ได้เลือกทำเช่นนี้ ตอนนี้รู้สึกถึงความโชคดีอย่างที่สุด ช่วยไม่ได้ จู่เทียนโย่วถูกกระทำน่าอนาถเกินไป ทำให้เขาเองยังทนดูไม่ได้

ทั้งบนล่างลัทธิแรกกำเนิดล้วนหัวเราะเกรียวกราว รู้สึกว่าภาพนี้… แจ่มชัดเกินไปแล้วจริงๆ!

“หยุดกระตุกได้แล้ว รีบไปรักษาแผลเถอะ”

หลินสวินเก็บเตากระบี่ ถอนหายใจเบาๆ อย่างเวทนา

บนพื้น ครู่ใหญ่จู่เทียนโย่วถึงลุกขึ้นมาได้ ก่อนเดินออกไปอย่างเศร้าซึม

“คนต่อไป”

สายตาของหลินสวินมองไปยังผู้ท้าสู้คนต่อไป

ตั้งแต่การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นจนตอนนี้ สิงจวิ้น จิงฉิงเจี่ย จ้งอิ่ง จู่เทียนโย่วถูกโจมตีจนพ่ายแพ้ต่อเนื่อง ส่วนเหมาชิวก็ยอมแพ้แล้ว

ผู้ท้าสู้นอกลานมรรคเปิดสวรรค์ก็เหลือเพียงแค่พวกอวี่เฟิงจื่อสี่คน

เพียงแต่ชั่วขณะนี้นอกจากอวี่เฟิงจื่อ คนอื่นๆ อีกสามคนไม่มีความมั่นใจเท่าไหร่แล้ว

“ข้ายอมแพ้”

หญิงคนหนึ่งพูดอย่างขมขื่น นางมาจากตระกูลฝูแห่งน่านฟ้าที่แปด

ยามเห็นภาพนี้ ฝูเหวินหลีสีหน้าไม่น่าดูแล้ว หญิงผู้นั้นคือคนรุ่นหลังคนหนึ่งในตระกูลเขา เรียกได้ว่าเป็นเลิศในขั้นอายุขัยเทียมฟ้าแล้ว

แต่ตอนนี้กลับยอมแพ้ต่อหน้าทุกคนในที่นี้ นี่ทำให้ฝูเหวินหลีเองยังรู้สึกเสียหน้า

แต่เขาก็รู้ว่าแม้จะเสียหน้าไปบ้าง แต่นี่เป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุดแล้ว

“ข้ายอมแพ้”

“ข้าเองก็ยอมแพ้”

อีกสองคนทยอยยอมแพ้ แต่ละคนสีหน้ามืดมน เผยความไม่จำยอมและความอับอายที่ยากจะปกปิด

หลินสวินไม่ได้สร้างความลำบากใจให้พวกเขามากนัก เพียงแค่ใช้ม้วนหยกบันทึกภาพที่พวกเขายอมแพ้ไว้

เมื่อเห็นดังนี้ นอกลานมรรคก็ฮือฮาระลอกหนึ่ง

ทั้งบนล่างลัทธิแรกกำเนิดล้วนรู้สึกได้หน้า เป็นเกียรติไปด้วย สีหน้าเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดี

บรรยากาศบนแท่นพิธีกลับกดดันและเคร่งขรึมมาก

ไม่ว่าจะเป็นคนที่ถูกหลินสวินโจมตีจนพ่ายแพ้ก่อนหน้านี้ หรือคนที่ยอมแพ้ตอนนี้ ล้วนมาจากขุมอำนาจใหญ่ชั้นปลายยอดของโลก อย่างเช่นลัทธิพ่อมด สิบยักษ์ใหญ่อมตะเป็นต้น

สามารถพูดได้ว่า นอกจากหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณและขุมอำนาจน่านฟ้าที่เจ็ดบางส่วน ในบรรดาขุมอำนาจที่มาชมงาน ผู้ฝึกปราณที่ท้าสู้เหล่านี้ล้วนถูกหลินสวินคนเดียวกำราบทั้งหมด!

“นี่ก็คือพลังของมรรคายอดอมตะหรือ…”

มีเฒ่าดึกดำบรรพ์พูดเสียงเบา

หากบอกว่ามรรคายอดอมตะเป็นตำนาน เช่นนั้นตำนานนี้ก็คล้ายจะกลายเป็นจริงบนร่างผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนนี้แล้ว

เขาในตอนนี้มีพลังปราณเพียงขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นกลางเท่านั้น แต่ยามเผชิญกับคู่ต่อสู้ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์ กลับยังคงมีพลังบดขยี้เด็ดขาด นี่เหลือเชื่อมากอย่างไม่ต้องสงสัย!

“ศาสตรามรรคของเขาก็อัศจรรย์มาก”

มีคนถอนหายใจยาว

ก่อนหน้านี้ในที่สุดหลินสวินก็ใช้เตากระบี่แล้ว โจมตีโล่มัจฉาหยินหยางจนพัง ทำลายดาบทลายแดน เผยอานุภาพสะเทือนฟ้าดิน

นี่ดึงดูดความสนใจของคนใหญ่คนโตมากมาย ต่างรู้สึกตกใจ

“เจ้าหมอนี่… เฮอะ… ภายหน้าเกรงว่าคงพิบัติเคราะห์รุมเร้า”

มีคนหัวเราะเบาๆ ความหมายในแววตายากเข้าใจ

ประโยคเดียวแทงใจดำคนใหญ่คนโตมากมาย

ขุมอำนาจที่มาร่วมชมงานเหล่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นศัตรูกับคีรีดวงกมล มาครั้งนี้ก็เพื่อหยั่งเชิงและทำความเข้าใจกับรากฐานพลังของหลินสวิน

ตอนนี้พลังต่อสู้ที่หลินสวินเผยออกมา ทำให้ส่วนลึกในใจพวกเขาเกิดไอสังหาร!

“นี่ยังไม่ใช่ขีดจำกัดของเขา”

“เช่นนั้นก็ต้องดูสักหน่อยว่าอวี่เฟิงจื่อศิษย์พุทธฟ้าประทานของหอบรรพจารย์ลัทธิฌาน จะสามารถสร้างความประหลาดใจให้พวกเราได้หรือไม่ หากอวี่เฟิงจื่อชนะ มรรคายอดอมตะที่ว่าก็เป็นเรื่องเหลวไหล หากแพ้… เช่นนั้นก็ต้องมองเป็นเรื่องใหญ่แล้ว”

ยามคนใหญ่คนโตเหล่านั้นคุยกัน ต่างทยอยเคลื่อนสายตามองไปยังนอกลานมรรคเปิดสวรรค์ และหยุดที่อวี่เฟิงจื่อซึ่งเหลืออยู่เพียงคนเดียว

ในเวลาเดียวกันสายตาในที่นี้ก็ค่อยๆ เคลื่อนไปยังอวี่เฟิงจื่อเช่นกัน

เขาสวมจีวรขาว ว่างเปล่าละโลกีย์ โดดเด่นหล่อเหลา รออยู่ตรงนั้นมาตลอดระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้ สีหน้าสงบนิ่งไร้คลื่น

“ตาเจ้าแล้ว”

หลินสวินพูดง่ายๆ

เขาเองก็มองความไม่ธรรมดาของอวี่เฟิงจื่อออก อย่างน้อยสภาวะจิตและกลิ่นอายของอีกฝ่ายล้วนไม่ใช่สิ่งที่พวกคนก่อนหน้านี้จะเทียบได้

อวี่เฟิงจื่อพนมมือก้มหน้า จากนั้นเคลื่อนตัวขึ้นลานมรรค

“สหายยุทธ์หลิน หากอาตมาชนะ เจ้าไปหอบรรพจารย์ลัทธิฌานกับข้าได้หรือไม่”

อวี่เฟิงจื่อพูดเบาๆ เสียงดุจระฆังยามเช้ากลองยามค่ำ

ประโยคเดียวทำให้ทั่วลานต่างหันมามอง

ผู้คนทั้งบนล่างลัทธิแรกกำเนิดล้วนไม่พอใจและต่อต้าน ภิกษุนี่หมายความว่าอย่างไร จะขโมยคนในอาณาเขตของลัทธิแรกกำเนิดของพวกเขาหรือ

มีเหตุผลเช่นนี้ที่ไหน!

พวกเสวียนเฟยหลิง ตู๋กูยงต่างอดขมวดคิ้วไม่ได้

กลับเห็นหลินสวินยิ้มกล่าวว่า “หากให้ข้าเป็นเจ้าลัทธิฌาน เจ้าไม่ต้องชนะ ข้าก็จะตอบรับตอนนี้เลย ไม่เช่นนั้นเจ้าก็อย่าคิดเลยดีกว่า มาสู้กันในศึกนี้เถอะ”

ว่าพลางสายตาของเขาเหลือบมองจอมมุนีชื่อเย่ที่อยู่ไกลๆ ราวกับไม่ได้ตั้งใจแวบหนึ่ง

เขาสงสัยว่าอวี่เฟิงจื่อยื่นคำขอเช่นนี้ เป็นการชี้นำจากลาเฒ่าหัวโล้นคนนี้

“คำขอนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

กลับเห็นชื่อเย่ยิ้มน้อยๆ “ด้วยรากฐานพลังและมรรควิถีของเจ้า ถ้าเข้าลัทธิฌานของข้า ภายหน้าย่อมมีความหวังควบคุมทั้งบนล่างของลัทธิฌาน”

ทุกคนต่างประหลาดใจไม่สามารถสงบได้

“เฮอะ! ชื่อเย่ หลินสวินเป็นรองผู้ดูแลหอแรกนภาลัทธิแรกกำเนิดของข้า จะเข้าลัทธิฌานของพวกเจ้าได้อย่างไร คำพูดเหลวไหลเช่นนี้อย่าได้เอ่ยถึงอีก”

ฟางเต้าผิงแค่นเสียงขึ้นจมูกเย็นชา เขาที่สงบนิ่งมาโดยตลอด ตอนนี้ก็ขุ่นเคืองขึ้นบ้างแล้ว

“สหายยุทธ์โปรดระงับโทสะ” ชื่อเย่เสียงราบเรียบผ่อนคลาย

ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกจริงๆ

“ล่วงเกินแล้ว”

บนลานมรรคเปิดสวรรค์ อวี่เฟิงจื่อพนมมือ ท่าทางเคร่งขรึม ไม่ดีใจหรือเสียใจ

——

[1] สี่ตำลึงปาดพันชั่ง หมายถึงการใช้กำลังเพียงน้อยนิดเอาชนะหรือป้องกันแรงมหาศาลที่พุ่งโจมตีเข้ามาได้

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท