ตอนที่ 2770 ยอมแพ้
เหมาชิวจากไปอย่างเดือดดาล
ภายใต้สายตาของทุกคน ถูกหลินสวินเย้ยหยันแล้วมองข้าม นี่ทำให้เขาไม่สามารถใจเย็นได้
และผู้ท้าสู้ที่ถูกหลินสวินจ้องคนนั้น ตอนนี้หนังหัวตึงขึ้นมาระลอกหนึ่ง สีหน้าแข็งทื่อ
เขานามว่าจู่เทียนโย่ว มาจากตระกูลจู่หนึ่งในสิบยักษ์ใหญ่อมตะแห่งน่านฟ้าที่แปด มรรควิถีขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์ อีกทั้งอยู่ในขั้นนี้มาสองสามพันปี รากฐานพลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
พูดถึงพลังต่อสู้ที่แท้จริงยังเหนือกว่าจิงฉิงเจี่ยอยู่บ้าง
“หลินสวิน เจ้ากล้าตัดสินแพ้ชนะในกระบวนท่าเดียวกับข้าหรือไม่”
จู่เทียนโย่วสูดหายใจลึกคราหนึ่ง เอ่ยเสียงขรึม
หนึ่งกระบวนท่า!
นี่เป็นเรื่องยากมาก ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ที่สุดคือแบ่งสูงต่ำไม่ได้ ฝีมือไล่เลี่ย
“เจ้าหมอนี่คงไม่ได้คิดจะใช้วิธีเช่นนี้มาชิงผลลัพธ์ว่าเสมอกันหรอกนะ เจ้าเล่ห์นัก!”
เสียงมากมายดังขึ้น เดาความคิดของจู่เทียนโย่วออก สีหน้าของคนไม่น้อยแฝงความดูถูกรางๆ
หนึ่งกระบวนท่า
หากจู่เทียนโย่วป้องกันเต็มกำลัง ย่อมไม่อาจตัดสินแพ้ชนะได้
สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือหลินสวินกลับตอบรับแล้ว
“ได้”
เขาพูดง่ายๆ
จู่เทียนโย่วดีใจยิ่ง ทั้งร่างล้วนผ่อนคลายลงไม่น้อย เขาไม่เชื่อว่าแค่กระบวนท่าเดียวตนจะต้านไม่ไหว
“ดี เจ้าอย่าได้คืนคำเชียว!”
ว่าพลางจู่เทียนโย่วก็พุ่งขึ้นลานมรรคเปิดสวรรค์ แววตาดุดัน เต็มไปด้วยความมั่นใจและดูถูกทั่วร่าง
เหมาชิวที่จากไปเพราะความอับอายก่อนหน้านี้เห็นภาพเช่นนี้ในใจก็นึกเสียใจขึ้นมา เหตุใดตนจึงคิดไม่ได้ว่าสามารถใช้วิธีเช่นนี้มาสร้างผลลัพธ์ที่เสมอกันได้
จู่เทียนโย่วนี่เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว!
“ฆ่า!”
จู่เทียนโย่วออกโจมตีในทันที
การโจมตีคือการป้องกันที่ดีที่สุด!
ก็เห็นร่างที่ผอมซูบราวกับตอฟางของเขาพุ่งปราดเข้ามา บนผิวปรากฏแผ่นเกราะสีดำที่คมราวกับดาบ ล้วนแปลงมาจากกฎเกณฑ์อมตะระดับสวรรค์ขั้นเก้า ทั้งสามารถป้องกันและโจมตี มหัศจรรย์ไม่อาจคาดเดา
ชั่วพริบตาทั้งตัวเขาราวกับปกคลุมด้วยเกราะสีดำชั้นหนึ่ง หมอกดำอบอวลทั่วตัว
เกราะเทพคุ้มครอง!
อภินิหารชั้นยอดที่หลอมรวมพรสวรรค์ มรรควิถี และกฎเกณฑ์ทั้งหมดของเขาอย่างหนึ่ง
และมือขวาของเขาถือโล่สำริดกลมมนชิ้นหนึ่ง สลักลายมรรคอมตะแน่นขนัด มือขวากำดาบศึกเรียวยาวขาวเจิดจ้าราวกับหิมะ
โล่มัจฉาหยินหยาง!
ดาบทลายแดน!
ศาสตรามรรคอมตะที่ทั้งรุกและรับคู่หนึ่ง หนึ่งดาบหนึ่งโล่ ราวกับวัฏจักรเอกอุ สามารถสลายการโจมตีทั้งหมด เกิดผลลัพธ์อันมหัศจรรย์ที่ใช้สี่ตำลึงปาดพันชั่ง[1]
การโจมตีกลับประหนึ่งดาบพาดขวางเก้าแดน รุนแรงไร้ขอบเขต
ชั่วขณะเดียวจู่เทียนโย่วก็เหมือนสวมชุดออกศึกเต็มยศ โคจรไพ่ตายทั้งหมดของตนถึงขีดสุด ทำให้คนใหญ่คนโตไม่น้อยล้วนตกใจ
แทบจะในเวลาเดียวกัน หลินสวินเองก็เคลื่อนไหวแล้ว
วู้ม!
เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งปรากฏ ตัวเตาที่เรียบง่ายเป็นธรรมชาติแผ่แสงมรรคไพศาล พาดผ่านห้วงอากาศมาพร้อมกับร่างของหลินสวิน
เปรี๊ยะ!
ชั่วขณะที่เตากระบี่กับโล่มัจฉาหยินหยางปะทะกัน ฝ่ายหลังถูกโจมตีจนพื้นผิวแยกแตกในทันที ระเบิดออกเสียงก้องบาดหู
ศาสตรามรรคอมตะที่มหัศจรรย์ชิ้นนี้ ถึงกับดูไม่ได้ความประหนึ่งกระดาษเปื่อย!
และในเวลาเดียวกันกระบี่มรรคเล่มหนึ่งพุ่งออกจากปากเตา พริบไหวเบาๆ
ปัง!
ดาบศึกที่ฟันออกมาอย่างเดือดดาลของจู่เทียนโย่วระเบิดในมือเขาโดยตรง กลายเป็นเศษชิ้นส่วนกระเซ็นกระสาย
โล่และดาบถูกทำลายแทบจะในเวลาเดียวกัน พลังโจมตีปานทำลายล้างนั่นกระแทกจู่เทียนโย่วจนกระเด็นออกไปไกล จมูกปากหลั่งเลือด ราวกับถูกมังกรดึกดำบรรพ์ชน เอ็นกระดูกทั่วร่างส่งเสียงหนักหน่วง
ในใจเขาตกใจ กระตุ้นเกราะเทพคุ้มครองถึงขั้นที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตามสัญชาตญาณ
และหมัดหนึ่งของหลินสวินพุ่งโจมตีมาแล้ว
หมัดนี้ราวกับภูเขาเทพฟ้าประทาน หอบม้วนอานุภาพทรงพลังที่กำราบทั่วหล้า เงาร่างของจู่เทียนโย่วยังไม่ทันทรงตัวได้ ก็ถูกหมัดนี้กระแทกลงพื้นแล้ว
ปัง!!!
ลานมรรคเปิดสวรรค์สั่นรุนแรงทันใด ในใจทุกคนนอกลานมรรคล้วนสะท้านไหว แค่เห็นก็รู้สึกเจ็บแล้ว
ในฝุ่นควันที่จางไป
เงาร่างผอมตอบของจู่เทียนโย่วฟุบนอนบนพื้น เกร็งกระตุกรุนแรงไม่หยุด อภินิหารเกราะเทพคุ้มครองที่ปกคลุมอยู่บนผิวของเขาถูกระเบิดทั้งหมด ร่างกายถูกกระแทกแตก เลือดสดซึมพื้น บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ในปากส่งเสียงครวญครางไร้สติ…
ทั่วลานเงียบกริบ
การต่อสู้ครั้งนี้เกิดขึ้นรวดเร็ว และสิ้นสุดเร็วยิ่งกว่า
ตั้งแต่จู่เทียนโย่วออกโจมตี เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งทำลายดาบและโล่ของเขา จนถึงหมัดของหลินสวินโจมตีบใส่ร่างของจู่เทียนโย่ว ทั้งหมดเพียงแค่ไม่กี่พริบตาเท่านั้น
หมัดที่อหังการไร้เทียมทานนั่นเหมือนกระแทกใส่ใจทุกคน ทำให้สีหน้าของแต่ละคนล้วนเปลี่ยนไป
คนมากมายเผยสีหน้าทนมองไม่ได้
และมีหลายคนสะท้านสะเทือนจนอึ้งค้างอยู่ตรงนั้น
“นี่เรียกว่าคนฉลาดตกเป็นเหยื่อของความฉลาด บีบให้หลินสวินใช้ศาสตรามรรคอมตะต่อสู้ หากไม่ใช่เพราะออมมือ การโจมตีนี้ถึงขั้นสามารถเอาชีวิตเขาได้”
เสวียนเฟยหลิงแสดงความเห็นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“อนาถ อนาถจริงๆ ยังคิดจะใช้หนึ่งกระบวนท่าตัดสินแพ้ชนะ คิดว่าจะสามารถเสมอกันได้ แต่ตอนนี้… เขายังตัวเกร็งลุกไม่ขึ้นอยู่เลย”
คนใหญ่คนโตลัทธิแรกกำเนิดอย่างพวกตู๋กูยง ฟางเต้าผิงต่างยิ้มออกมา
พวกเขาเองก็รู้สึกสะใจมาก
บนแท่นพิธี สีหน้าของคนใหญ่คนโตเหล่านั้นต่างเคร่งขรึมไม่น้อย
ส่วนบรรดาเฒ่าดึกดำบรรพ์ตระกูลจู่ รู้สึกเพียงว่าใบหน้าร้อนผ่าวหม่นแสง
หนึ่งกระบวนท่าก็ถูกกำราบแล้ว!
นี่ยิ่งน่าอาย ยิ่งน่าคับแค้น และยิ่งน่าขันกว่าพวกสิงจุน จิงฉิงเจี่ย จ้งอิ่งที่พ่ายแพ้ไปก่อนหน้านี้เสียอีก!
‘โชคดีที่ข้าไม่ได้เจ้าเล่ห์ขนาดนี้…’
เหมาชิวที่ก่อนหน้านี้ยังนึกเสียใจที่ไม่ได้เลือกทำเช่นนี้ ตอนนี้รู้สึกถึงความโชคดีอย่างที่สุด ช่วยไม่ได้ จู่เทียนโย่วถูกกระทำน่าอนาถเกินไป ทำให้เขาเองยังทนดูไม่ได้
ทั้งบนล่างลัทธิแรกกำเนิดล้วนหัวเราะเกรียวกราว รู้สึกว่าภาพนี้… แจ่มชัดเกินไปแล้วจริงๆ!
“หยุดกระตุกได้แล้ว รีบไปรักษาแผลเถอะ”
หลินสวินเก็บเตากระบี่ ถอนหายใจเบาๆ อย่างเวทนา
บนพื้น ครู่ใหญ่จู่เทียนโย่วถึงลุกขึ้นมาได้ ก่อนเดินออกไปอย่างเศร้าซึม
“คนต่อไป”
สายตาของหลินสวินมองไปยังผู้ท้าสู้คนต่อไป
ตั้งแต่การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นจนตอนนี้ สิงจวิ้น จิงฉิงเจี่ย จ้งอิ่ง จู่เทียนโย่วถูกโจมตีจนพ่ายแพ้ต่อเนื่อง ส่วนเหมาชิวก็ยอมแพ้แล้ว
ผู้ท้าสู้นอกลานมรรคเปิดสวรรค์ก็เหลือเพียงแค่พวกอวี่เฟิงจื่อสี่คน
เพียงแต่ชั่วขณะนี้นอกจากอวี่เฟิงจื่อ คนอื่นๆ อีกสามคนไม่มีความมั่นใจเท่าไหร่แล้ว
“ข้ายอมแพ้”
หญิงคนหนึ่งพูดอย่างขมขื่น นางมาจากตระกูลฝูแห่งน่านฟ้าที่แปด
ยามเห็นภาพนี้ ฝูเหวินหลีสีหน้าไม่น่าดูแล้ว หญิงผู้นั้นคือคนรุ่นหลังคนหนึ่งในตระกูลเขา เรียกได้ว่าเป็นเลิศในขั้นอายุขัยเทียมฟ้าแล้ว
แต่ตอนนี้กลับยอมแพ้ต่อหน้าทุกคนในที่นี้ นี่ทำให้ฝูเหวินหลีเองยังรู้สึกเสียหน้า
แต่เขาก็รู้ว่าแม้จะเสียหน้าไปบ้าง แต่นี่เป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุดแล้ว
“ข้ายอมแพ้”
“ข้าเองก็ยอมแพ้”
อีกสองคนทยอยยอมแพ้ แต่ละคนสีหน้ามืดมน เผยความไม่จำยอมและความอับอายที่ยากจะปกปิด
หลินสวินไม่ได้สร้างความลำบากใจให้พวกเขามากนัก เพียงแค่ใช้ม้วนหยกบันทึกภาพที่พวกเขายอมแพ้ไว้
เมื่อเห็นดังนี้ นอกลานมรรคก็ฮือฮาระลอกหนึ่ง
ทั้งบนล่างลัทธิแรกกำเนิดล้วนรู้สึกได้หน้า เป็นเกียรติไปด้วย สีหน้าเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดี
บรรยากาศบนแท่นพิธีกลับกดดันและเคร่งขรึมมาก
ไม่ว่าจะเป็นคนที่ถูกหลินสวินโจมตีจนพ่ายแพ้ก่อนหน้านี้ หรือคนที่ยอมแพ้ตอนนี้ ล้วนมาจากขุมอำนาจใหญ่ชั้นปลายยอดของโลก อย่างเช่นลัทธิพ่อมด สิบยักษ์ใหญ่อมตะเป็นต้น
สามารถพูดได้ว่า นอกจากหอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณและขุมอำนาจน่านฟ้าที่เจ็ดบางส่วน ในบรรดาขุมอำนาจที่มาชมงาน ผู้ฝึกปราณที่ท้าสู้เหล่านี้ล้วนถูกหลินสวินคนเดียวกำราบทั้งหมด!
“นี่ก็คือพลังของมรรคายอดอมตะหรือ…”
มีเฒ่าดึกดำบรรพ์พูดเสียงเบา
หากบอกว่ามรรคายอดอมตะเป็นตำนาน เช่นนั้นตำนานนี้ก็คล้ายจะกลายเป็นจริงบนร่างผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนนี้แล้ว
เขาในตอนนี้มีพลังปราณเพียงขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นกลางเท่านั้น แต่ยามเผชิญกับคู่ต่อสู้ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์ กลับยังคงมีพลังบดขยี้เด็ดขาด นี่เหลือเชื่อมากอย่างไม่ต้องสงสัย!
“ศาสตรามรรคของเขาก็อัศจรรย์มาก”
มีคนถอนหายใจยาว
ก่อนหน้านี้ในที่สุดหลินสวินก็ใช้เตากระบี่แล้ว โจมตีโล่มัจฉาหยินหยางจนพัง ทำลายดาบทลายแดน เผยอานุภาพสะเทือนฟ้าดิน
นี่ดึงดูดความสนใจของคนใหญ่คนโตมากมาย ต่างรู้สึกตกใจ
“เจ้าหมอนี่… เฮอะ… ภายหน้าเกรงว่าคงพิบัติเคราะห์รุมเร้า”
มีคนหัวเราะเบาๆ ความหมายในแววตายากเข้าใจ
ประโยคเดียวแทงใจดำคนใหญ่คนโตมากมาย
ขุมอำนาจที่มาร่วมชมงานเหล่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นศัตรูกับคีรีดวงกมล มาครั้งนี้ก็เพื่อหยั่งเชิงและทำความเข้าใจกับรากฐานพลังของหลินสวิน
ตอนนี้พลังต่อสู้ที่หลินสวินเผยออกมา ทำให้ส่วนลึกในใจพวกเขาเกิดไอสังหาร!
“นี่ยังไม่ใช่ขีดจำกัดของเขา”
“เช่นนั้นก็ต้องดูสักหน่อยว่าอวี่เฟิงจื่อศิษย์พุทธฟ้าประทานของหอบรรพจารย์ลัทธิฌาน จะสามารถสร้างความประหลาดใจให้พวกเราได้หรือไม่ หากอวี่เฟิงจื่อชนะ มรรคายอดอมตะที่ว่าก็เป็นเรื่องเหลวไหล หากแพ้… เช่นนั้นก็ต้องมองเป็นเรื่องใหญ่แล้ว”
ยามคนใหญ่คนโตเหล่านั้นคุยกัน ต่างทยอยเคลื่อนสายตามองไปยังนอกลานมรรคเปิดสวรรค์ และหยุดที่อวี่เฟิงจื่อซึ่งเหลืออยู่เพียงคนเดียว
ในเวลาเดียวกันสายตาในที่นี้ก็ค่อยๆ เคลื่อนไปยังอวี่เฟิงจื่อเช่นกัน
เขาสวมจีวรขาว ว่างเปล่าละโลกีย์ โดดเด่นหล่อเหลา รออยู่ตรงนั้นมาตลอดระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้ สีหน้าสงบนิ่งไร้คลื่น
“ตาเจ้าแล้ว”
หลินสวินพูดง่ายๆ
เขาเองก็มองความไม่ธรรมดาของอวี่เฟิงจื่อออก อย่างน้อยสภาวะจิตและกลิ่นอายของอีกฝ่ายล้วนไม่ใช่สิ่งที่พวกคนก่อนหน้านี้จะเทียบได้
อวี่เฟิงจื่อพนมมือก้มหน้า จากนั้นเคลื่อนตัวขึ้นลานมรรค
“สหายยุทธ์หลิน หากอาตมาชนะ เจ้าไปหอบรรพจารย์ลัทธิฌานกับข้าได้หรือไม่”
อวี่เฟิงจื่อพูดเบาๆ เสียงดุจระฆังยามเช้ากลองยามค่ำ
ประโยคเดียวทำให้ทั่วลานต่างหันมามอง
ผู้คนทั้งบนล่างลัทธิแรกกำเนิดล้วนไม่พอใจและต่อต้าน ภิกษุนี่หมายความว่าอย่างไร จะขโมยคนในอาณาเขตของลัทธิแรกกำเนิดของพวกเขาหรือ
มีเหตุผลเช่นนี้ที่ไหน!
พวกเสวียนเฟยหลิง ตู๋กูยงต่างอดขมวดคิ้วไม่ได้
กลับเห็นหลินสวินยิ้มกล่าวว่า “หากให้ข้าเป็นเจ้าลัทธิฌาน เจ้าไม่ต้องชนะ ข้าก็จะตอบรับตอนนี้เลย ไม่เช่นนั้นเจ้าก็อย่าคิดเลยดีกว่า มาสู้กันในศึกนี้เถอะ”
ว่าพลางสายตาของเขาเหลือบมองจอมมุนีชื่อเย่ที่อยู่ไกลๆ ราวกับไม่ได้ตั้งใจแวบหนึ่ง
เขาสงสัยว่าอวี่เฟิงจื่อยื่นคำขอเช่นนี้ เป็นการชี้นำจากลาเฒ่าหัวโล้นคนนี้
“คำขอนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
กลับเห็นชื่อเย่ยิ้มน้อยๆ “ด้วยรากฐานพลังและมรรควิถีของเจ้า ถ้าเข้าลัทธิฌานของข้า ภายหน้าย่อมมีความหวังควบคุมทั้งบนล่างของลัทธิฌาน”
ทุกคนต่างประหลาดใจไม่สามารถสงบได้
“เฮอะ! ชื่อเย่ หลินสวินเป็นรองผู้ดูแลหอแรกนภาลัทธิแรกกำเนิดของข้า จะเข้าลัทธิฌานของพวกเจ้าได้อย่างไร คำพูดเหลวไหลเช่นนี้อย่าได้เอ่ยถึงอีก”
ฟางเต้าผิงแค่นเสียงขึ้นจมูกเย็นชา เขาที่สงบนิ่งมาโดยตลอด ตอนนี้ก็ขุ่นเคืองขึ้นบ้างแล้ว
“สหายยุทธ์โปรดระงับโทสะ” ชื่อเย่เสียงราบเรียบผ่อนคลาย
ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกจริงๆ
“ล่วงเกินแล้ว”
บนลานมรรคเปิดสวรรค์ อวี่เฟิงจื่อพนมมือ ท่าทางเคร่งขรึม ไม่ดีใจหรือเสียใจ
——
[1] สี่ตำลึงปาดพันชั่ง หมายถึงการใช้กำลังเพียงน้อยนิดเอาชนะหรือป้องกันแรงมหาศาลที่พุ่งโจมตีเข้ามาได้