ตอนที่ 2807 นภาดาราศุภโชค
ในโลกยุคสมัยนับร้อยของแหล่งสถานศุภโชค ยุคทวยเทพยอดเยี่ยมที่สุด
ยุคทวยเทพยังถูกมองเป็นยุคสมัยที่เก่าแก่ที่สุดเช่นกัน ในนั้นมีเผ่าเทพสามตระกูลใหญ่อาศัยอยู่ ยึดครองสามอันดับแรกของขุมอำนาจเผ่าเทพในแหล่งสถานศุภโชค
เผ่าเทพสามตระกูลใหญ่นี้ ได้แก่ตระกูลเจียง ตระกูลเกาหยาง ตระกูลจี้
นอกจากนี้ในยุคทวยเทพยังมีเผ่าเทพตระกูลอื่นๆ อีกมากมาย แต่ล้วนเป็นอยู่ใต้อาณัติของเผ่าเทพสามตระกูลใหญ่
เมื่อเทียบกับโลกยุคสมัยอื่นๆ ยุคทวยเทพเป็นโลกยุคสมัยที่สูงส่งและแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย สามารถมองเป็นโลกอันดับหนึ่งของแหล่งสถานศุภโชคได้
หลินสวินได้รู้เรื่องเหล่านี้แล้ว แต่จนตอนนี้ก็ยังไม่เคยสัมผัสบุคคลและเรื่องราวที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยุคทวยเทพนี้
แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อนานมาแล้วร่างต้นของซย่าจื้อเคยอยู่ในยุคทวยเทพ ยิ่งถูกยกย่องเป็นจักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์!
และพวกน่ากลัวที่ฉวยโอกาสปล้นชิง หมายจะชิงศุภโชคของนางหลังจากประสบมหาเคราะห์เมื่อตอนนั้น ล้วนมาจากยุคทวยเทพ
ผู้ก่อเหตุเหล่านั้นจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเจียง ตระกูลเกาหยาง ตระกูลจี้อย่างไม่ต้องสงสัย!
ตามที่สือซานพูด ก่อนจะเจอมหาเคราะห์ ด้วยพลังร่างต้นของซย่าจื้อย่อมสามารถสังหารพวกน่ากลัวที่ตามฆ่านางได้อย่างง่ายดาย
จากเรื่องนี้สามารถคาดการณ์ได้ว่ามรรควิถีร่างต้นของซย่าจื้อในตอนนั้น จะต้องแข็งแกร่งถึงขั้นเหลือเชื่อแล้วอย่างแน่นอน ก็ไม่แปลกที่ถูกเรียกว่าจักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์
เพียงแต่แม้รู้เรื่องพวกนี้แล้ว ในใจหลินสวินกลับยิ่งประหลาดใจ เพราะทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่อดีตส่วนหนึ่งของร่างต้นซย่าจื้อ ที่มาและชื่อของนางยังคงเป็นปริศนา
น่าเสียดาย สือซานไม่รู้เรื่องพวกนี้
นี่ทำให้หลินสวินอึ้งไประลอกหนึ่ง
จู่ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา เอ่ยว่า “จริงสิ ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสบอกว่า ที่ตอนนั้นนายหญิงของท่านมาเมืองเทพศุภโชคก็เพื่อตามหาว่าใครเป็นคนสร้างนภาดาราศุภโชคหรือ”
สือซานกล่าว “ไม่ผิด”
หลินสวินจมสู่ภวังค์ ก่อนหน้านี้สือซานบอกว่าในช่วงที่ร่างต้นของซย่าจื้ออยู่ในยุคทวยเทพ ล้วนหลบหนีมาตลอด หรือไม่ก็กำลังหาอะไรบางอย่าง
และคำตอบนี้เป็นไปได้สูงมากว่าอาจเกี่ยวข้องกับบุคคลไร้เทียมทานที่สร้างนภาดาราศุภโชค!
ก่อนหน้านี้ยามอยู่ในทะเลสาบจันทร์หม่น หลินสวินได้อ่านตำราต่างๆ แล้ว เคยรู้เรื่องมากมายที่เกี่ยวข้องกับนภาดาราศุภโชค
แต่ล้วนไม่มีบันทึกว่าบุคคลไร้เทียมทานผู้นั้นเป็นใคร ราวกับตำนานที่เลื่อนลอยเป็นมายา
แต่สามารถมั่นใจได้ว่า ตอนนั้นร่างต้นของซย่าจื้อก็กำลังตามหาบุคคลไร้เทียมทานผู้นี้!
น่าเสียดายที่ระหว่างทางมาเมืองเทพศุภโชค นางกลับประสบมหาเคราะห์ ทำให้สุดท้ายไม่สามารถสมปรารถนาได้
“เจ้า… หาวิธีทำให้นายหญิงของข้าตื่นขึ้นมาได้แล้วหรือ”
และตอนนี้เอง จู่ๆ สือซานก็ถามขึ้น
ถูกสายตารุนแรงและเย็นเยียบของเขาจับจ้อง หลินสวินเองก็นิ่งเงียบไปอย่างอดไม่ได้
สือซานเห็นเช่นนี้ดวงตาพลันเผยความเศร้าสร้อยและผิดหวัง เอ่ยว่า
“ข้าปกปิดตัวตน รอคอยอยู่ที่นี่มาไม่รู้นานเท่าไร หวังมาตลอดว่าวันที่นายหญิงของข้าตื่นขึ้นมาจะมาถึง ข้าอยากบอกนางว่าคำตอบที่นางตามหาอย่างยากลำบากมาโดยตลอด อาจจะซ่อนอยู่ในนภาดาราศุภโชค แต่ข้ามีลางสังหรณ์ว่านายหญิงนาง… เกรงว่าจะไม่อาจตื่นขึ้นมาได้อีกแล้ว…”
หลินสวินอดถามไม่ได้ “เหตุใดท่านจึงคิดเช่นนี้”
สือซานพูด “คำพูดประโยคนั้นที่นางทิ้งเอาไว้ในตำหนักเทพรัตติกาลนิรันดร์ในแดนผนึกเรืองแสง ได้บ่งบอกทุกอย่างนานแล้ว”
หลินสวินอดนึกถึงคำพูดประโยคนั้นอีกครั้งไม่ได้…
ร่างนี้โรยร่วงเนิ่นนาน ไม่อาจฝากฝัง หากมีวาสนา ตัดสิ้นอดีต ไม่ทุกข์ระทมเดียวดายในความมืดอีก
หากมีวาสนา ตัดสิ้นอดีต!
นี่ก็คือการตัดสินใจของร่างต้นของซย่าจื้อในตอนนั้น
หลินสวินถาม “ผู้อาวุโส ในเมื่อรู้ว่าคำตอบที่นายหญิงของท่านตามหาซ่อนอยู่ในนภาดาราศุภโชค เหตุใดท่านถึงไม่ไปหา”
สือซานส่ายหน้า “ข้าหยั่งรู้ที่นี่มาไม่รู้นานเท่าไรแล้ว ไม่อาจหยั่งถึงนัยเร้นลับสุดท้ายในนั้นได้”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…”
หลินสวินใคร่ครวญ
ครู่ใหญ่เขาถึงเอ่ยว่า “ข้านำกระบี่ศุภโชคและโลงนิรันดร์มาแล้ว แต่ตอนนี้ยังให้ผู้อาวุโสไม่ได้ แต่ข้ารับรองว่ายามไปจากแหล่งสถานศุภโชค ไม่เพียงจะทิ้งสมบัติไว้ ยังจะให้คำตอบที่ชัดเจนกับผู้อาวุโสด้วย”
หากไม่ได้สืบฐานะและที่มาร่างต้นของซย่าจื้อให้ชัดเจน หลินสวินไม่อาจพูดความจริงออกมาได้จริงๆ และไม่สามารถบอกความจริงให้ซย่าจื้อรู้ได้
สือซานจ้องมองหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “สมบัติสองชิ้นนั้นข้าล้วนไม่สนใจ เดิมทีก็ทิ้งไว้ให้คนที่สามารถทำให้นาง ‘ไม่ทุกข์ระทมเดียวดายในความมืดอีก’ อยู่แล้ว สิ่งที่ข้าสนใจคือนายหญิงมีความเป็นไปได้ว่าจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ก่อนที่จะรู้คำตอบนี้ ข้าจะรออยู่ที่นี่ตลอด”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งเอ่ยว่า “เป็นไปได้!”
สือซานอึ้งไป พลันเสียการควบคุม พูดอย่างตื่นเต้น “เจ้าว่าอะไรนะ”
“ข้าบอกว่านายหญิงของท่านมีความเป็นไปได้ว่าจะตื่นขึ้นมาจริงๆ”
หลินสวินพูด “ก่อนไปจากแหล่งสถานศุภโชค ข้าจะให้คำตอบที่แน่ชัดกับผู้อาวุโส”
จู่ๆ สือซานก็คว้าสาบเสื้อของหลินสวินแน่น พูดอย่างเดือดดาล “เหตุใดยังต้องรอต่อไป เหตุใดไม่บอกข้าตอนนี้ ข้า…”
เขาเสียการควบคุมเช่นนั้น ราวกับคนที่บ้าคลั่ง
หลินสวินมองเขาเงียบๆ แล้วเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสรอมานานขนาดนี้แล้ว ท่าน… เตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับคำตอบแล้วจริงๆ หรือ หากนายหญิงของท่านตัดอดีตแล้วจริงๆ ไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้อีก ท่านจะทำอย่างไรกับตัวเอง”
สือซานหายใจถี่กระชั้น ครู่ใหญ่ถึงค่อยๆ คลายสองมือที่จับสาบเสื้อของหลินสวินออกแล้วกลับไปนั่งบนเบาะรองนั่ง อารมณ์ที่เดิมทีเดือดดาลบ้าคลั่งก็สงบลงแล้ว
เพียงแต่สีหน้ากลับซับซ้อนมาก ทั้งคาดหวัง ประหม่า และมีความอึ้งงันที่พูดไม่ออก
ใช่แล้ว รอมาในกาลเวลาไร้สิ้นสุด หากคำตอบที่ได้ไม่ใช่สิ่งที่ตนอยากเห็น ควรจะเผชิญหน้าอย่างไร
“เหมือนว่าเจ้าจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะไปจากแหล่งสถานศุภโชคแล้ว”
สือซานพูดเสียงขรึม “เรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เจ้าเข้าเมืองจนถึงตอนนี้ข้ารู้หมดแล้ว เผ่าเทพเหล่านั้นไม่มีทางให้โอกาสเจ้าจากไป”
“อีกทั้งเมื่อข่าวกระจายออกไป พอเฒ่าชรายุคทวยเทพเหล่านั้นรู้ว่าโลงนิรันดร์ที่นายหญิงทิ้งเอาไว้อยู่ในมือเจ้า พวกเขาต้องมาเล่นงานเจ้าเหมือนที่เล่นงานนายหญิงตอนนั้นอย่างแน่นอน”
“ด้วยความสามารถของพวกเขา ภายหน้าต่อให้เจ้าจะอยู่ในเมืองเทพศุภโชคต่อก็ไม่ปลอดภัยแน่ ต้องพบเจอเคราะห์สังหารตลอดเวลา”
พูดจบสือซานอดถอนหายใจยาวไม่ได้ “ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เจ้าจะจากไปได้อย่างไร”
หลินสวินพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “ความสำเร็จอยู่ที่ความพยายามของคน อย่างน้อยในเมืองเทพศุภโชค ต่อให้เจออันตรายข้าก็มีวิธีรับมือ”
สือซานเงียบไปครู่หนึ่งเอ่ยว่า “ข้าจะรอคำตอบของเจ้าที่นี่”
……
กลางดึกหลินสวินย้อนกลับทะเลสาบจันทร์หม่น ครู่ใหญ่ก็ยังไม่สามารถสงบได้
การเจอสือซานครั้งนี้ ข้อมูลที่ได้รู้ทำให้เขายิ่งตระหนักได้ว่าที่มาและฐานะร่างต้นของซย่าจื้อไม่ธรรมดา
ก็เพราะเช่นนี้ในใจจึงค่อนข้างต่อต้านและลังเล
‘ไม่ว่าอย่างไร ก่อนจะจากไปก็ต้องให้คำตอบกับซย่าจื้อ!’
ครู่ใหญ่หลินสวินกดความคิดปั่นป่วนในใจ สภาวะจิตค่อยๆ สงบลง
คืนนี้หลินสวินบอกบิดามารดาว่าก่อนออกจากแหล่งสถานศุภโชค ให้พวกเขาฝึกปราณในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งอย่างสบายใจ
ทำเช่นนี้เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกศัตรูฉวยโอกาสทำร้ายพวกเขา
วันถัดมา
หลินสวินลุกจากการนั่งสมาธิ เดินทางไปยังตำแหน่งที่นภาดาราศุภโชคตั้งอยู่
ผู้ฝึกปราณที่จับตามองบริเวณทะเลสาบจันทร์หม่นมาโดยตลอด ล้วนสังเกตเห็นทิศทางที่หลินสวินเคลื่อนไหวในทันที
“วันนี้เจ้าหลินสวินนี่จะทำอะไรอีก”
“ดูจากสภาพการณ์ คงจะไปบริเวณนภาดาราศุภโชค”
“เขาดูผ่อนคลายมาก หรือไม่รู้ว่าเผ่าเทพมากมายเริ่มส่งบุตรเทพ ธิดาเทพในตระกูลมาเพื่อเล่นงานเขาแล้ว”
“คนผู้นี้มีกระบี่ศุภโชค ว่ากันว่าหากจับตัวเขาได้ก็จะได้รับโลงนิรันดร์ แหล่งสถานศุภโชคในตอนนี้ โลกยุคสมัยต่างๆ ล้วนแตกตื่นแล้ว”
“สามารถคาดการณ์ได้ว่าอีกไม่นานเมืองเทพศุภโชคจะกลายเป็นแหล่งรวมผู้โดดเด่นทั่วหล้า ถึงตอนนั้นคนแซ่หลินนี่ต้องโชคร้ายมากกว่าดีอย่างแน่นอน”
…เสียงซุบซิบมากมายดังขึ้น
หลินสวินไม่ได้สนใจ
ไม่นานเขาก็มาถึงบริเวณที่นภาดาราศุภโชคตั้งอยู่
นี่เป็นพื้นที่ราบที่กว้างใหญ่ไพศาลที่สุดแห่งนี้ ไร้พืชพรรณ พื้นดินมั่นคง ปูด้วยหินเทพที่แข็งแกร่งสีดำหนึ่งชั้น
และบนท้องฟ้า ดวงดาวที่พริบไหวส่องแสงแต่งแต้มอยู่บนนั้นแน่นขนัด ทุกดวงล้วนสำแดงกลิ่นอายมหามรรคที่แตกต่างกัน ลอยอยู่ตรงนั้นเงียบๆ เหมือนโคมสวรรค์มากมาย สาดประกายศักดิ์สิทธิ์มหามรรคที่แตกต่างโดยสมบูรณ์ อบอวลในฟ้าดินที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้
นี่ก็คือนภาดาราศุภโชค!
ดาวทุกดวงล้วนประทับระบบฝึกปราณที่สมบูรณ์แบบหนึ่งอย่าง รวมมรรคแห่งการฝึกปราณนับร้อยของอารยธรรมยุคสมัย!
ยามหลินสวินมาถึง บนพื้นดินที่ปูด้วยหินเทพสีดำนั่นมีเงาร่างมากมายนั่งขัดสมาธิอยู่ภายใน
บางคนขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหนัก บางคนคัดลอกไม่หยุด บางคนนิ่งไม่ขยับ บางคนเกาหน้าเกาศีรษะ… สีหน้าแตกต่างกันไป
บรรยากาศเคร่งขรึมและเงียบสงบ
เมื่อเห็นภาพที่เกรียงไกรเช่นนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใดหลินสวินเองก็เกิดความเลื่อมใสบุคคลไร้เทียมทานที่สร้างนภาดาราศุภโชคขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
รวบรวมระบบฝึกปราณแห่งยุคสมัยนับร้อยไว้ในฟ้าดาราแห่งนี้ ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและหยั่งรู้ได้โดยไม่เก็บงำ นี่เป็นความใจกว้างและความองอาจเพียงใด
แต่ตอนที่หลินสวินมาถึงก็ทำให้เกิดความฮือฮาในที่นั้นระลอกหนึ่ง
“เป็นเจ้าโจรชั่วแซ่หลิน!”
“สวรรค์ เหตุใดจึงเป็นเขา…”
“ยังจะหยั่งรู้มหามรรคอะไรอีก รีบไป เลี่ยงไม่ให้นำพิบัติภัยมาสู่ตน!”
ผู้ฝึกปราณไม่น้อยหน้าเปลี่ยนสีไป ลุกจากการนั่งสมาธิ ยิ่งมีผู้ฝึกปราณบางส่วนยกเท้าจากไป เหมือนกลัวว่าจะเดือดร้อนไปด้วย
จากเรื่องนี้สามารถเห็นได้ว่าแม้หลินสวินเพิ่งเข้าเมืองเทพศุภโชคสองวัน แต่ชื่อเสียงดุดันก็ฝังลึกในใจคนแล้ว
นี่ทำให้หลินสวินจนคำพูดระลอกหนึ่ง
“ข้ามาหยั่งรู้มหามรรคของที่นี่ ทุกท่านไม่ต้องตื่นตระหนก”
หลินสวินทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งไว้แล้วหาที่นั่งสมาธิลวกๆ ไม่สนใจการตอบสนองของคนอื่นๆ รอบข้างอีก
เขาสงบใจ จิตรับแผ่ขยายไปยังท้องฟ้า พลันสัมผัสถึงกลิ่นอายมหามรรคที่แตกต่างกันโดยสมบูรณ์มากกว่าร้อยชนิด ต่างมีความมหัศจรรย์ของตัวเอง
อีกทั้งในนั้นยังมีกลิ่นอายมหามรรคที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย สัมผัสเพียงคร่าวๆ ก็เข้าใจ ด้วยระบบการฝึกปราณที่ประทับบนดาวดวงหนึ่งในนั้น เป็นอารยธรรมยุคสมัยของแดนเทพต้าฉิน
‘ผู้อาวุโสสือซานบอกว่า ในนภาดาราศุภโชคนี้ซ่อนคำตอบที่ร่างต้นของซย่าจื้อในตอนนั้นตามหาอย่างยากลำบาก ข้าอยากดูนักว่าจะเป็นจริงหรือไม่…’
หลินสวินพึมพำในใจ
——