Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2812 รับความตายพร้อมกัน

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2812 รับความตายพร้อมกัน

ตอนที่ 2812 รับความตายพร้อมกัน

กงเหยี่ยฮุยยิ้มกำเริบเสิบสานนัก

เหล่าบุตรเทพข้างกายเขาก็กำลังยิ้มเช่นกัน

พวกผูอวิ๋นแต่ละคนกลับสีหน้าไม่น่าดูยิ่ง

เดิมคิดตัดหน้าชิงลงมือ ใครจะคิดว่าสุดท้ายยังไม่อาจสมดังปรารถนา

“พูดเช่นนี้พี่กงเหยี่ยคิดแย่งกับพวกเราหรือ” ผูอวิ๋นกล่าวเย็นชา

“เหตุใดถึงไม่แย่งเล่า”

กงเหยี่ยฮุยถามกลับ

บรรยากาศกดดันและตึงเครียดขึ้นมาทันที

ที่นี่คือบริเวณนภาดาราศุภโชค ใกล้ๆ มีผู้ฝึกปราณไม่น้อยสังเกตเห็นการปรากฏตัวของกำลังพลสองกลุ่มนี้นานแล้ว นอกจากทุกคนจะอกสั่นขวัญแขวนก็มีความคิดเดียวกันผุดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้…

คลื่นลมที่สั่งสมมานานนี้ใกล้จะเปิดฉากในวันนี้!

ฮูม…

ทุกคนต่างถอยออกจากบริเวณนั้นพร้อมกันตามจิตใต้สำนึก เกรงแต่ว่าอีกเดี๋ยวยามเกิดศึกใหญ่แล้วจะโดนลูกหลง

สิ่งที่ทำให้ทุกคนจนคำพูดคือตอนนี้หลินสวินยังนั่งขัดสมาธิ ไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด!

คำนวณดูแล้วระดับบุตรเทพที่ผูอวิ๋นกับกงเหยี่ยฮุยพามา รวมกันแล้วล้วนมีมากถึงสามสิบคน ความยิ่งใหญ่ของกำลังพลทำให้ใครก็ตามในเมืองเทพศุภโชคสิ้นหวังได้จริงๆ

ต่อให้เป็นพวกบุตรเทพคนอื่นๆ เผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้เกรงว่าคงนั่งนอนไม่เป็นสุขแน่

แต่หลินสวิน…

ช่างนิ่งสงบจริงๆ!

“น่าสนใจ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่พูดถึงความกล้า เจ้าหมอนี่ต้องเป็นอันดับหนึ่งอันดับสองแน่”

กงเหยี่ยฮุยยิ้มบางๆ ขณะกล่าวเขาพาทุกคนเดินเข้าใกล้บริเวณนภาดาราศุภโชคทีละก้าวแล้ว

“เสือสองตัวกัดกัน ต้องมีฝ่ายหนึ่งสูญเสีย บางทีเขาอาจมองออกอยู่ก่อนแล้วว่าไม่ว่าใครอยากล่าเขาล้วนหลีกเลี่ยงการปะทะไม่ได้ ไม่แน่ว่าเขายังจะนั่งบนภูดูเสือกัดกัน กลายเป็นได้รับผลประโยชน์ไป”

ผูอวิ๋นพูดพลางพาทุกคนเข้าไปใกล้เช่นกัน ไม่ถอยแม้แต่น้อย

เพียงชั่วขณะระหว่างพวกเขากับพวกกงเหยี่ยฮุยก็เผชิญหน้ากันแล้ว สถานการณ์ตึงเครียด เหมือนว่าใครก็ไม่คิดสละ ‘เหยื่อ’ ไปเพียงเท่านี้

แต่เวลานี้เสียงหัวเราะผ่อนคลายหนึ่งดังก้องฟ้าดิน…

“ยังดีที่ไม่ถือว่ามาช้าเกินไป”

ขุมอำนาจสองกลุ่มอย่างพวกผูอวิ๋นและพวกกงเหยี่ยฮุยล้วนขมวดคิ้ว

มีคนมาอีกแล้ว!

เวลานี้ทุกคนที่อยู่ห่างไกลล้วนฮือฮาไม่หยุด

พลันเห็นว่าจุดที่ไกลออกไปมีแสงเคลื่อนไหวพร่างพราวหาใดเปรียบกลุ่มหนึ่งตัดทำลายเวิ้งฟ้า เพียงพริบตาก็มาถึงพื้นที่แถบนี้ ปรากฏเงาร่างแฝงกลิ่นอายน่ากลัวมากมาย

มีกันถึงยี่สิบกว่าคน

ผู้นำคือหญิงงามเจิดจรัสถึงขีดสุด นางสวมเกราะศึกสีเงิน มวยผมดำสนิทไว้ ใบหน้างามประณีต พริ้งเพราดุจภาพวาด เรือนร่างสูงโปร่งเพรียวบางทรงสง่า เสื้อคลุมแดงก่ำเบื้องหลังโบกสะบัดจนเกิดเสียงดังกลางสายลม

เหวินเหรินรั่วเสวี่ย!

ธิดาเทพตระกูลเหวินเหริน ปีศาจเย้ยฟ้าที่ได้อันดับเก้าในการถกมรรคร้อยตระกูล!

เมื่อเห็นนางนำบุตรเทพมากมายมาที่นี่ หว่างคิ้วของพวกผูอวิ๋นกับกงเหยี่ยฮุยล้วนเจือแววจริงจังอยู่รางๆ

ผู้หญิงคนนี้น่ากลัวมาก!

เวลานี้บรรยากาศในที่นั้นเยียบเย็นเป็นอย่างยิ่ง หากนับรวมพวกเหวินเหรินรั่วเสวี่ยที่มาตอนนี้ บุตรเทพในที่นั้นก็มีมากถึงห้าสิบกว่าคนแล้ว

นี่เท่ากับว่าบุตรเทพเกินครึ่งของเผ่าเทพแต่ละตระกูลในเมืองเทพศุภโชคมาอยู่ที่นี่หมดแล้ว!

ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เมืองเทพศุภโชคไหนเลยจะมีภาพเช่นนี้

“แม่นางรั่วเสวี่ย คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็มาด้วย”

กงเหยี่ยฮุยถอนใจยาวเฮือกหนึ่ง “ข้าไม่อยากเป็นศัตรูกับเจ้าจริงๆ”

“ไม่ถึงขั้นเป็นศัตรู พูดได้เพียงว่าเป็นคู่ต่อสู้ สิ่งที่ช่วงชิงเป็นแค่ศุภโชคอย่างหนึ่ง รอเมื่อตัดสินผลแพ้ชนะก็ทางใครทางมัน”

เหวินเหรินรั่วเสวี่ยเสียงผ่อนคลาย ท่วงท่าองอาจกล้าหาญ ชุดศึกสีเงินทั้งตัวยิ่งเพิ่มความองอาจขึ้นสามส่วน

“ก็ทำได้เพียงเท่านี้แล้ว”

รอยยิ้มกงเหยี่ยฮุยเปลี่ยนเป็นราบเรียบ ในฐานะบุตรเทพ สภาวะจิตย่อมไม่มีทางถูกกระทบด้วยเรื่องนี้แน่

“คนผู้นี้มีพลังต่อสู้เย้ยฟ้า พวกเหลียงชิวหูล้วนถูกเขาสังหาร ทุกท่านคิดว่าควรเข้าไปพร้อมกัน ใช้วิธีของแต่ละคนแย่งชิง หรือควรเตรียมแผนอื่น”

ผูอวิ๋นเอ่ยเสียงขรึม

ขุมอำนาจสามกลุ่มล้วนโจมตีกันไปมา แต่กลับไม่มีใครสนใจหลินสวิน ราวกับมองว่าหลินสวินต้องตกเป็นของตน ฆ่าแกงได้ตามใจ

ทุกคนเห็นดังนี้แล้วพลันใจสั่น ทั้งหมดล้วนมีแค่ความคิดเดียว

ครั้งนี้หลินสวินจบเห่แล้ว!

ระดับบุตรเทพห้าสิบกว่าคนปรากฏตัว ในนั้นไม่ขาดปีศาจที่น่าหวาดกลัวกว่าพวกเหลียงชิวหู ไม่ว่าจะใช้วิธีอะไร ถ้าอยากล่าหลินสวินคนเดียวก็ไม่น่าหวั่นวิตกแม้แต่น้อย!

“หากกรูเข้าไปพร้อมกันย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการเกิดศึกชุลมุน เกรงว่าใครก็ไม่อยากเห็นการบาดเจ็บล้มตาย จากมุมมองของข้า พวกเรามิสู้จับฉลากจัดลำดับเป็นอย่างไร”

กงเหยี่ยฮุยใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนกล่าวเสนอ

“จับฉลากอย่างไร”

เหวินเหรินรั่วเสวี่ยถาม

เห็นชัดว่านางก็ตระหนักได้ว่าหากเกิดการต่อสู้ชุลมุนภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สุดท้ายอาจจับตัวหลินสวินได้ แต่ย่อมไม่อาจเลี่ยงการจ่ายค่าตอบแทนด้วยความสูญเสียบางส่วนแน่

และนี่ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อยากเห็น

ถึงอย่างไรในฐานะบุตรเทพ พวกเขาย่อมไม่อยากนำชีวิตไปเสี่ยงกับเรื่องนี้

ดังนั้นการจับฉลากจึงเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว

แม้ว่าผูอวิ๋นจะไม่เอ่ยปาก แต่เห็นชัดว่าเห็นด้วยกับวิธีนี้

แต่เวลานี้เอง…

“ทำไมต้องจับฉลาก เข้ามาพร้อมกันก็พอ”

พร้อมกับเสียงนั้น หลินสวินที่นั่งเงียบไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้นมาตลอดหยัดร่างขึ้นแล้ว มองมาทางนี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย

เข้าไปพร้อมกัน!?

ทุกคนต่างอึ้งงัน สีหน้าแปลกประหลาด

พวกผูอวิ๋น กงเหยี่ยฮุย เหวินเหรินรั่วเสวี่ยก็อึ้งไปพักหนึ่ง คล้ายยากจะเชื่ออยู่บ้าง

พวกเขาสบตากันวูบหนึ่ง ในใจล้วนรู้สึกผิดแปลกอย่างอดไม่ได้ ความบ้าระห่ำของเจ้าหมอนี่ทะลวงการคาดเดาของพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

ภายใต้เวลาและสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้เป็นคนใจกล้าแค่ไหนเกรงว่าก็ต้องสำรวมบ้าง แต่หลินสวิน… ไม่มี!

“ข้าอยากรู้จริงว่าใครให้ความกล้ากับเจ้ากัน”

กงเหยี่ยฮุยอดกล่าวไม่ได้

หลินสวินคิดดูครู่หนึ่งแล้วกล่าวอย่างจริงจัง “พวกเจ้าไม่ได้มารับความตายหรือ ไม่ว่าจะใช้วิธีอะไร ถึงตอนท้ายก็หลีกเลี่ยงความตายไม่พ้น ทำไมต้องวุ่นวายเช่นนี้ด้วย”

กงเหยี่ยฮุยเลิกคิ้วกล่าวขบขัน “ทุกคนฟังสิ นี่คือคำพูดที่เหยื่อใกล้ตายตัวหนึ่งควรกล่าวหรือ ช่างเสียสติจริงๆ!”

“จากมุมมองของข้า เกรงว่าเขาคงรู้ว่าศึกใหญ่ครานี้ยากหลีกเลี่ยงแล้ว หากพวกเราเข้าไปพร้อมกันต้องยักแย่ยักยันจนชุลมุนแน่ สิ่งนี้กลับเอื้อประโยชน์ต่อเขานัก ถ้ามองจากมุมนี้เขาดูเหมือนอวดดี แต่ความจริงกลับไม่โง่ รู้ว่าควรคว้าโอกาสอย่างไร”

ผูอวิ๋นกล่าววิเคราะห์อย่างใจเย็น

ความคิดนี้ทำให้หลายคนเห็นด้วย

ต่อให้คนเย้ยฟ้าเช่นหลินสวินบ้าระห่ำแค่ไหนก็ไม่มีทางเป็นพวกโง่เขลา ตอนนี้เขากำลังยั่วยุ วางแผนให้พวกเขาลงมือพร้อมกัน เห็นชัดว่าตระหนักได้ว่าระหว่างพวกเขาสามขุมอำนาจใหญ่ต้องเกิดความขัดแย้งและต่อสู้เพื่อจับตัวเขาคนเดียวแน่

นี่กลับเป็นว่าจะเอื้อประโยชน์ให้เขา

“หากเจ้าคิดเล่นไม้นี้ เช่นนั้นก็ผิดมหันต์แล้ว”

เหวินเหรินรั่วเสวี่ยกล่าว “พวกเราสามารถละทิ้งความระแวงและการเผชิญหน้ากันไปก่อนได้ หลังจากจับตัวเจ้าแล้วค่อยหารือว่าใครจะพาเจ้าไป”

“วิธีการนี้ไม่เลว”

กงเหยี่ยฮุยพยักหน้า

“ก็ดี”

ผูอวิ๋นตกปากรับคำเช่นกัน

เพียงพริบตาปลายหอกล้วนจ่อใส่หลินสวินคนเดียว

นี่ทำให้ผู้ชมการต่อสู้ที่อยู่ห่างไกลวิตกกังวลแทนหลินสวิน

กลับเห็นว่าหลินสวินยิ้มพลางกล่าว “ควรทำเช่นนี้นานแล้ว”

เขาเว้นช่วงไปก่อนทอดสายตามองผู้คนที่อยู่ห่างไกล “ยังมีคนอยากร่วมด้วยไหม ข้าคนแซ่หลินจะให้โอกาสพวกเจ้าไปลงนรกพร้อมกัน”

ทั่วลานเงียบกริบ

ทุกคนล้วนอึ้งงัน นี่… ยังไม่พอหรือ!?

กงเหยี่ยฮุยที่ขัดตาหลินสวินมานานแล้วอดรนทนไม่ไหวอีก ตวาดลั่น “ลงมือ กำจัดเขา!”

ตูม!

เขาสวมเกราะเทพสีฟ้าครามเปล่งประกาย มือถือทวนสามง่ามสีเงินเล่มหนึ่งกระโจนออกไปก่อน

เมื่อเห็นว่ากงเหยี่ยฮุยเคลื่อนไหว ผูอวิ๋นกับเหวินเหรินรั่วเสวี่ยที่เตรียมพร้อมนานแล้วมีหรือจะชะล่าใจ พวกเขาก็ลงมือพร้อมกันแทบจะในทันที

ฟุ่บ!

กระสวยยาวสีดำในมือเหวินเหรินรั่วเสวี่ยบินวน เงาแสงไหลเวียน แผ่ประกายคมดุดันนับหมื่นแสนออกมากรีดผ่าห้วงอากาศ

ชิ้ง!

ผูอวิ๋นเรียกเจดีย์สมบัติที่อสนีบาตซัดโหมออกมา พุ่งไปครอบตัวหลินสวิน

นอกจากนี้เหล่าบุตรเทพที่ทั้งสามคนพามายังลงมือพร้อมกันในยามนี้ด้วย

ระดับบุตรเทพห้าสิบกว่าคน แต่ละคนล้วนเป็นตำนานของโลกยุคหนึ่ง มีพลังต่อสู้พลิกฟ้าไร้คู่ต่อกรในระดับเดียวกัน ตอนนี้เมื่อลงมือพร้อมกัน ภาพนั้นจะน่ากลัวเพียงใด

ก็เห็น…

ฟ้าดินสั่นสะเทือน กระแสพลังไร้ใดเปรียบปกฟ้าคลุมดิน แสงหลากสีเปล่งประกาย วิชามรรคและสมบัติแน่นขนัดอัดแน่นเต็มที่นั้น ทั้งหมดล้วนพุ่งไปทางหลินสวินคนเดียว

กลิ่นอายมลายล้างนั่นทำให้ผู้ฝึกปราณในบริเวณใกล้เคียงขวัญหนีดีฝ่อ ตกใจจนลุกลนถอยห่างไป

น่ากลัวเกินไปแล้ว!

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แย่งกันพุ่งเข้ามานี้ หลินสวินกลับแย้มยิ้ม ราวกับเห็นฝูงเหยื่อส่งตัวเองมาให้ถึงที่…

ฟุ่บ!

พริบตานี้ข้างหลังหลินสวินเผยรอยแยกห้วงอากาศมหึมาสายหนึ่ง กลายเป็นประตูน้ำวนสูงพันจั้ง

ประตูเนรเทศ!

มองจากไกลๆ ราวกับกลางฟ้าดินมีปากใหญ่มหึมาเปิดออกกะทันหัน

ส่วนหน้าปากใหญ่มหึมานี้ ระดับบุตรเทพพวกนั้นก็พุ่งเข้ามาเหมือนฝูงปลา

ตูม!

พลันเห็น…

กระแสพลังน่ากลัวราวกับทลายฟ้ามลายดินนั้นล้วนถูกประตูน้ำวนนั่นกลืนกิน เหล่าบุตรเทพที่แย่งกันพุ่งเข้ามาด้วยหวังจับตายหลินสวินในทันทีล้วนไม่ทันได้หลีกหลบ ถูกม้วนกลืนเข้าไปในประตูใหญ่ที่ราวกับเชื่อมต่อไปยังส่วนลึกของนรกนั่นโดยตรง

“แย่แล้ว ถอยเร็ว!”

“ระวัง!”

“ไป!”

เสียงร้องมากมายดังก้อง พวกผูอวิ๋น กงเหยี่ยฮุย เหวินเหรินรั่วเสวี่ยสังเกตเห็นอันตรายทันที กำลังจะถอยร่นตามจิตใต้สำนึก

แต่หลินสวินจะให้พวกเขาสมปรารถนาได้อย่างไร

ตูม!

ก็เห็นประตูเนรเทศแผ่ขยาย ปลดปล่อยพลังกลืนกินกาลเวลาที่น่าหวาดกลัวไร้ขอบเขตออกมา ทำให้ห้วงอากาศใกล้เคียงทรุดตัวบิดเบี้ยว ราวกับจะกลืนเวิ้งฟ้าแถบนี้ไปจนสิ้น

ผู้ชมการต่อสู้ที่อยู่ห่างไปล้วนส่งเสียงร้องแหลมอย่างตื่นตระหนก สัมผัสได้ถึงภัยคุกคามร้ายแรง ราวกับพิบัติเคราะห์วันสิ้นโลกมาเยือน กระตุ้นจนพวกเขาหนีกระเจิดกระเจิง ราวกับว่าหากหยุดพักเพียงครู่ก็จะประสบกับหายนะถึงตาย

ส่วนเหล่าบุตรเทพที่อยู่ในบริเวณนั้น เงาร่างแต่ละคนถูกลากเข้าไปในประตูเนรเทศอย่างควบคุมไม่ได้ หายไปในชั่วพริบตาเหมือนจุดดำเล็กๆ

มีแค่เสียงตะโกนโหยหวน หวาดผวา เดือดดาล ไม่ยินยอมดังก้องสะท้อนทั่ว

ในหมู่พวกเขา ส่วนใหญ่ล้วนก้าวสู่มรรคาอมตะแล้ว มีอนาคตที่ส่องประกายอย่างยิ่ง ถึงขั้นว่าภายหน้าจะได้สืบทอดอำนาจตระกูล ครอบครองอำนาจของโลกยุคสมัยหนึ่ง

พวกเขาคือบุตรเทพ เป็นเลือดหัวใจของตระกูลหนึ่ง เป็นปีศาจไร้คู่ต่อกรในระดับเดียวกัน!

แต่ตอนนี้กลับดูไม่ได้ความเกินทน แต่ละคนตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกราวกับฝูงมดปลวกที่อยู่ในมรสุมกลียุค ไม่อาจมีชีวิตเป็นของตัวเอง ถูกเนรเทศและหายไปอย่างต่อเนื่อง…

……………….

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท