Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2847 หวังเจวี๋ยฮ่วน

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2847 หวังเจวี๋ยฮ่วน

ตอนที่ 2847 หวังเจวี๋ยฮ่วน

หยวนฉางเทียนจ้องเฉาเป่ยโต้วอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสเฉา นี่เพิ่งเข้าแดนมารสิบทิศวันแรกท่านก็อดใจรอไม่ไหวเช่นนี้แล้วหรือ”

เฉาเป่ยโต้วสีหน้าแข็งทื่อ กล่าวว่า “จัดการศัตรูย่อมต้องกำจัดให้สิ้นซากโดยเร็ววัน หาไม่ด้วยรากฐานและพลังต่อสู้ของหลินสวิน หากให้เขารวบรวมพลังระเบียบได้มากพอ พลังปราณของเขาต้องเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดเป็นแน่ ภายหน้าหากคิดจะฆ่าเขาเกรงว่าจะยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ”

หยวนฉางเทียนกล่าว “ด้วยมรรควิถีของท่าน หากจะหลอมพลังระเบียบระดับปฐพีขั้นหนึ่งสักสายต้องใช้เวลานานเท่าไร”

“สามวัน”

“แล้วระดับปฐพีขั้นสองล่ะ”

“เจ็ดวัน”

“ระดับปฐพีขั้นเก้าล่ะ”

“ประมาณ… สองเดือน”

เฉาเป่ยโต้วกล่าวอย่างลังเล

หยวนฉางเทียนถาม “เช่นนั้นท่านคิดว่าหากหลินสวินรวบรวมพลังระเบียบได้มากพอ และคิดหลอมพวกมันทั้งหมด ต้องใช้เวลานานเท่าไร”

เฉาเป่ยโต้วนิ่งเงียบไปชั่วขณะ

หยวนฉางเทียนถอนใจยาวกล่าวว่า “เขาเป็นคนของลัทธิแรกกำเนิดของเรา ตอนนี้มีชีวิตอยู่ยังสามารถทำคะแนนล่าสัตว์ระเบียบมากมายให้แก่พวกเราได้ สำหรับพวกเราแล้วก็เป็นประโยชน์อย่างที่สุด ตอนนี้หากเขาตายไปจะไม่น่าเสียดายเกินไปหรือ”

เฉาเป่ยโต้วก้มหน้างุด

เขาไม่เห็นด้วยกับความคิดของหยวนฉางเทียน แต่กลับไม่สามารถคัดค้าน

“ช่างเถิด ในเมื่อท่านเคลื่อนไหวไปแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่อาจย้อนกลับได้อีก”

หยวนฉางเทียนกล่าว “บอกข้า ก่อนหน้านี้ท่านส่งข่าวไปให้ใคร”

เฉาเป่ยโต้วรีบกล่าวพัลวัน “ผู้แข็งแกร่งจากสิบยักษ์ใหญ่อมตะ”

“อาศัยพวกเขาหรือ”

หยวนฉางเทียนไตร่ตรองครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “พวกเราก็ไปเทือกเขาหมื่นห้วยสักเที่ยว”

อวิ๋นเทียนหมิงที่ไม่ได้เอ่ยปากมาโดยตลอดนัยน์ตาวาววับ “ผู้อาวุโสหยวนคิดจะลงมือด้วยตัวเองหรือ”

“ไม่ ข้าตั้งใจจะรอให้หลินสวินตกที่นั่งลำบาก แล้วช่วยชีวิตเขาสักครั้ง”

หยวนฉางเทียนกล่าวพลางเปลี่ยนเส้นทาง พุ่งทะยานไปห่างออกไป

เฉาเป่ยโต้วและอวิ๋นเทียนหมิงสบตากันปราดหนึ่ง ต่างตามไปเช่นกัน

สองวันให้หลัง

หวังเจวี๋ยฮ่วนมองเทือกเขาหมื่นห้วยจากไกลๆ นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา

เขาสวมชุดคลุมหยกทั้งตัว รูปร่างสูงโปร่งเหยียดตรงดุจหอก สะพายกระบี่โบราณลายสนเล่มหนึ่งไว้ที่หลัง ผมยาวดำดุจสีหมึกทั่วศีรษะถูกมัดรวบด้วยเชือกเขียว ท่าทางองอาจ บุคลิกโดดเด่น

เขาคือทายาทยักษ์ใหญ่อมตะตระกูลหวัง ถูกมองเป็นบุตรฟ้าประทานของตระกูล ติดตามฝึกปราณอยู่ข้างกายเฒ่าดึกดำบรรพ์คนหนึ่งตั้งแต่เล็ก

ตอนนี้เป็นขั้นดับเทพสัมบูรณ์แล้ว

ในน่านฟ้าที่แปด เขาเป็นผู้กล้าโดดเด่นที่หาตัวจับยาก ชื่อเสียงสะท้านฟ้าดิน

เพียงแต่ในใจเขากลับไม่เห็นฟ้าดินอย่างน่านฟ้าที่แปดอยู่ในสายตาสักนิด

ตั้งแต่เริ่มฝึกปราณจนตอนนั้น เป้าหมายของเขาก็คือน่านฟ้าที่เก้า!

หมายมั่นว่าจะมุ่งหน้าไปน่านฟ้าที่เก้า วัดฝีมือกับบุตรเทพ ธิดาเทพเผ่าเทพนิรันดร์เหล่านั้นให้ได้ในสักวัน!

“เอาข้อมูลของเจ้าหลินสวินนี่มาให้ข้าดูอีกรอบ”

หวังเจวี๋ยฮ่วนเอ่ยปาก

ข้างหลังเขามีผู้แข็งแกร่งตระกูลหวังยืนอยู่สี่คน ล้วนเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่แจ้งมรรคขั้นดับเทพมานานหลายปี

เมื่อได้ยินหนึ่งในนั้นก็ก้าวออกมาทันที ยื่นม้วนหยกให้ด้วยสองมือ

หวังเจวี๋ยฮ่วนถือม้วนหยก พลิกอ่านอย่างตั้งใจ

ในม้วนหยกบันทึกเรื่องน้อยใหญ่เกี่ยวกับหลินสวิน ไม่เพียงความสามารถที่เผยออกมาในลัทธิแรกกำเนิดเท่านั้น แม้แต่ทุกการเคลื่อนไหวในแดนใหญ่พันศึกยังปรากฏอยู่บนนั้นทั้งหมด

ม้วนหยกนี้หวังเจวี๋ยฮ่วนอ่านมาหลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งล้วนมีความรู้สึกไตร่ตรองไม่ออก ไม่อาจจินตนาการได้จริงๆ ว่าคนเช่นนี้กลายเป็นผู้สืบทอดที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลเฝ้ารอมาหมื่นกาลได้อย่างไร และมีพลังต่อสู้เย้ยฟ้าเช่นนี้ได้อย่างไร

“เขาเคยไปจากลัทธิแรกกำเนิดเป็นเวลาหกปีกว่า ช่วงเวลานั้นเขาไปที่ไหน”

จู่ๆ หวังเจวี๋ยฮ่วนก็ถามขึ้น

“รายงานนายน้อย ปีนั้นรองหัวหน้าหอลัทธิแรกกำเนิดเสวียนเฟยหลิงเป็นคนพาเจ้าหมอนี่ออกจากลัทธิแรกกำเนิด หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวเขาอีกเลย พวกเราเคยตามหาหลายที่แล้วแต่ล้วนคว้าน้ำเหลว แต่จากการวิเคราะห์ของผู้อาวุโสในตระกูลบางส่วน เป็นไปได้สูงว่าเจ้าหมอนี่อาจไปแหล่งสถานศุภโชค”

มีคนกล่าวเสียงเบา

“แหล่งสถานศุภโชค!”

หวังเจวี๋ยฮ่วนนัยน์ตาหดรัด นิ่งเงียบครู่หนึ่ง เขาเก็บม้วนหยกแล้วกล่าว “ผู้แข็งแกร่งห้าขุมอำนาจใหญ่อย่างตระกูลฝู ตระกูลฉี ตระกูลมู่ ตระกูลจู่ และตระกูลชือมีข่าวบ้างหรือไม่”

ที่นี่เวลานี้ไม่เพียงมีผู้เข้าร่วมตระกูลหวังของพวกเขา ยังมีคนจากสี่ยักษ์ใหญ่อมตะอย่างตระกูลจงหลี ตระกูลจ้ง ตระกูลตงหวง และตระกูลจิงมารวมตัวกันอีกด้วย

“รายงานนายน้อย พวกเขากำลังอยู่ระหว่างเร่งเดินทางมา เกรงว่าพวกเรายังต้องรออีกสักระยะ แต่อย่างมากที่สุดคงไม่เกินสองวัน”

มีคนเอ่ยเสียงเบา

เมื่อได้ยินหวังเจวี๋ยฮ่วนหมุนตัวเดินออกไปไม่ไกลนัก

ที่นั่นมีผู้เข้าร่วมจากสี่ยักษ์ใหญ่อมตะตระกูลจงหลี ตระกูลจ้ง ตระกูลตงหวง และตระกูลจิงรวมตัวอยู่

“จิงอิ่ง ตระกูลจิงของพวกเจ้าเชี่ยวชาญการตามรอยลอบสังหารที่สุด มีความเชื่อมั่นว่าจะตามหาที่อยู่ของเจ้าหลินสวินนี่ในภูเขานี้ได้หรือไม่”

หวังเจวี๋ยฮ่วนมองหญิงสาวคนหนึ่ง

หญิงสาวงดงามที่คิ้วตาคมกร้าวดุจปลายคม กลิ่นอายทั่วร่างเบาหวิวดุจมายาคนหนึ่ง

จิงอิ่ง!

ผู้สืบทอดตระกูลจิง มรรควิถีขั้นดับเทพสัมบูรณ์ และเป็นผู้นำผู้เข้าร่วมศึกตระกูลจิงในครั้งนี้

ได้ยินดังนี้จิงอิ่งก็เอ่ยว่า “ต้องการเวลาสักหน่อย”

หวังเจวี๋ยฮ่วนกล่าว “หนึ่งวันเป็นอย่างไร”

หัวคิ้วจิงอิ่งขมวดน้อยๆ แต่ยังคงพยักหน้ากล่าว “จะพยายามสุดความสามารถ”

หวังเจวี๋ยฮ่วนหันมองผู้เข้าร่วมศึกตระกูลจงหลี ตระกูลตงหวง ตระกูลจ้ง แล้วกล่าวว่า “ครั้งนี้สิบยักษ์ใหญ่อมตะเคลื่อนไหวพร้อมกัน ไม่ใช่เพื่อล่าสัตว์ระเบียบ และไม่ใช่เพื่อประชันฝีมือกับสี่หอบรรพจารย์ แต่เพื่อเจ้าหลินสวินนี่”

เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “ข้าหวังว่าการเคลื่อนไหวต่อจากนี้พวกเจ้าจะให้ความร่วมมือกับข้า เชื่อฟังคำสั่งการของข้า ทุกคนเข้าใจหรือไม่”

ผู้เข้าร่วมศึกจากยักษ์ใหญ่อมตะเหล่านี้แต่ละคนล้วนเป็นพวกปลายยอดในขั้นดับเทพ ต่างมีอานุภาพใหญ่ยิ่ง ลักษณะนิสัยก็แตกต่างกัน

แต่ตอนนี้กลับเห็นชัดว่าเชื่อฟังยิ่ง ไม่มีใครตั้งข้อสงสัย และไม่มีใครโต้แย้ง

เพราะผู้พูดคือหวังเจวี๋ยฮ่วน บุตรฟ้าประทานอันดับหนึ่งของยักษ์ใหญ่อมตะตระกูลหวัง!

“จิงอิ่ง เจ้าพาคนเคลื่อนไหวล่วงหน้าไปก่อน หากมีข่าวให้รายงานมาทันที”

หวังเจวี๋ยฮ่วนเอ่ยปากสั่งการง่ายๆ

“ได้”

จิงอิ่งพาผู้แข็งแกร่งตระกูลจิงสี่คนข้างกายพุ่งไปทางเทือกเขาหมื่นห้วยที่อยู่ไกลออกไป

“ทุกคน นับแต่นี้เป็นต้นไปเตรียมพร้อมต่อสู้ให้ดี ไม่ว่าใครก็ห้ามประมาทเลินเล่อใดๆ เด็ดขาด”

หวังเจวี๋ยฮ่วนกล่าว “ข้าทำได้เพียงบอกพวกเจ้าว่าหลินสวินต่างจากคนอื่นๆ อย่าคิดว่าเขาเป็นเพียงขั้นดับเทพขั้นต้นแล้วจะประมาทได้! ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะเตรียมไพ่ตายและไม้เด็ดในตัวให้พร้อม เตรียมต่อสู้สุดชีวิต!”

ในใจทุกคนสะท้านไหว ล้วนยากจะเชื่ออยู่บ้าง

เวลานี้แม้ว่าผู้แข็งแกร่งจากยักษ์ใหญ่อมตะห้าตระกูลที่เหลือยังมาไม่ถึง แต่บรรดาขั้นดับเทพในที่นี้ก็มียี่สิบห้าคนแล้ว

ทุกคนล้วนเป็นขั้นดับเทพสัมบูรณ์!

ทุกคนล้วนเป็นพวกร้ายกาจที่หาตัวจับยากทั่วพันลี้!

ภายใต้สถานการณ์ระดับนี้ แค่จัดการหลินสวินคนเดียวยังต้องเตรียมพร้อมต่อสู้สุดชีวิตด้วยหรือ

“บางทีพวกเจ้าอาจคิดว่าข้าพูดเกินจริง ข้าเองก็หวังว่าจะเป็นการพูดเกินจริงเช่นกัน แต่ข้อมูลทั้งหมดล้วนยืนยันแล้วว่าเจ้าหลินสวินนี่… จัดการไม่ง่าย”

หวังเจวี๋ยฮ่วนกล่าวจบก็หมุนตัวออกไป ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง เอามือไพล่หลัง ทอดมองเทือกเขาหมื่นห้วยเงียบๆ ไม่เอ่ยคำ

เงาร่างของเขาสูงโปร่งดุจหอก โดดเด่นเหนือทุกคน

“คุณหนู ที่นี่มีร่องรอยการต่อสู้”

ในเทือกเขาหมื่นห้วย เฒ่าชราตระกูลจิงที่สวมชุดเทาคนหนึ่งเอ่ยปาก

พวกเขาอยู่ในพื้นที่ที่พังทลายทรุดโทรม สีเลือดโชกพื้นดิน

“ท่านอา จากร่องรอยการต่อสู้พอจะมองอะไรออกหรือไม่”

จิงอิ่งถาม

“กลิ่นอายฟ้าดินแถบนี้เต็มไปด้วยพลังระเบียบผสมปนเป แม้จะใช้ระเบียบย้อนกลับก็ไม่สามารถย้อนเหตุการณ์การต่อสู้ของที่นี่ได้”

ชายชราชุดเทาใคร่ครวญ “แต่ดูจากร่องรอยการต่อสู้ ที่นี่น่าจะเคยเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ จำนวนสัตว์ระเบียบที่ปรากฏมีมากยิ่ง แต่คู่ต่อสู้ของสัตว์ระเบียบพวกนี้ไม่ได้รับบาดเจ็บ เป็นไปได้สูงว่าอาจฝ่าวงล้อมแน่นหนา จากไปโดยสวัสดิภาพ”

“ข่าวที่เฉาเป่ยโต้วส่งมาบอกว่าข้างกายหลินสวินมีผู้อาวุโสลัทธิแรกกำเนิดคนหนึ่งติดตามอยู่ ด้วยความสามารถของพวกเขาก็น่าจะทำเช่นนี้ได้”

จิงอิ่งกล่าวพลางนำพวกชายชราชุดเทาสี่คนพุ่งไปข้างหน้า

ระหว่างทางมักพบร่องรอยการต่อสู้บางส่วนอยู่ตลอด นี่ทำให้การค้นหาของพวกจิงอิ่งง่ายขึ้นมาก

“ทิ้งร่องรอยมากมายไว้เช่นนี้ นี่มีแต่ยืนยันว่าหลินสวินนั่นน่าจะไม่รู้สักนิด ว่าร่องรอยของเขาถูกคนของลัทธิแรกกำเนิดของพวกเขาเองเอามาขายแล้ว”

ระหว่างทางชายชราชุดเทายกยิ้ม

“แม้ว่าเฉาเป่ยโต้วจะเป็นผู้อาวุโสลัทธิแรกกำเนิด แต่กลับเป็นผู้แข็งแกร่งที่ตระกูลฝูบ่มเพาะออกมา เขาย่อมต้องยืนอยู่ข้างสิบยักษ์ใหญ่อมตะอยู่แล้ว”

จิงอิ่งเอ่ยปากง่ายๆ “ทุกคนระวังตัวไว้หน่อย เป้าหมายของพวกเรามีแค่ค้นหาร่องรอยของคู่ต่อสู้ ไม่ใช่สังหารอีกฝ่าย”

กรุ๊งกริ๊ง!

จู่ๆ เสียงกระดิ่งเบาบางสายหนึ่งดังขึ้น ชายวัยกลางคนที่สวมชุดเหลืองพลิกฝ่ามือ กระดิ่งสีเขียวพรวนหนึ่งกำลังสั่นน้อยๆ

ชายกลางคนชุดเหลืองนัยน์ตาหดรัด “คุณหนู มีกลิ่นอายของระลอกคลื่นผนึก! การปรากฏตัวของพวกเราเป็นไปได้สูงว่าอาจถูกสังเกตเห็นแล้ว!”

จิงอิ่งโบกมือทันควัน “ถอนตัว!”

เวลาเดียวกับที่นางหมุนตัวเตรียมถอย กลางฝ่ามือก็ปรากฏหยกประดับชิ้นหนึ่งแล้วบีบแตกทันใด

ฟึ่บ!

หยกประดับกลายเป็นแสงแดงเพลิงสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าไป

แต่ยามขบวนพวกจิงอิ่งเตรียมจะถอนตัว เสียงถอนใจเบาๆ สายหนึ่งก็ดังขึ้น

“นึกไม่ถึงว่าการตอบสนองจะเร็วทีเดียว นี่คือยันต์ส่งสารเรียกรวมพลหรือ”

พร้อมๆ กับเสียงที่ดังขึ้น เงาร่างของหลินสวินและหลีเจินก็ปรากฏตัวกลางอากาศ

“คุณหนู ท่านไปก่อน”

ชายชราชุดเทาเอ่ยปากเสียงขรึม ขณะเอ่ยพูดเขาโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง ฟ้าดินมืดมนลงฉับพลัน กลางห้วงอากาศปรากฏกฎเกณฑ์อสนีบาตเดือดพล่าน ดุจฝูงมังกรระบำคลั่ง แผ่ครอบไปทางหลินสวินและหลีเจิน

ชิ้ง!

หลีเจินชักดาบฟันฉับกลางห้วงอากาศ

อสนีบาตทั่วฟ้าถูกดาบเดียวตัดเป็นสองส่วน จากนั้นแตกสลายราวกับสายฝน

การโจมตีอันอหังการนั่นทำให้ชายชราชุดเทานัยน์ตาหดรัด

“ตระกูลจิงก็กล้าเข้ามามีส่วนร่วมเรื่องทำร้ายคนของลัทธิแรกกำเนิดของข้า เบื่อชีวิตแล้วจริงๆ กระมัง” หลีเจินเอ่ยปากเย็นชา

“คุณหนู ไปเร็ว!”

ชายชราชุดเทากล่าวพลางสูดหายใจลึก เรียกกระบี่บินสีขาวหิมะเล่มหนึ่งออกมา

ขณะเดียวกันอีกสามคนข้างกายเขาต่างก็สำแดงอานุภาพของตน ไอสังหารระเบิดทะลัก ล้อมกรอบโจมตีใส่หลินสวินและหลีเจิน

“พวกเจ้าแค่ต้องยันไว้อีกสักพัก กำลังเสริมก็จะมาแล้ว”

เงาร่างจิงอิ่งพริบไหว กลายเป็นแสงขมุกขมัวสายหนึ่งเตรียมจะแหวกอากาศออกไป

ก็ในตอนนี้เองหลินสวินยิ้มน้อยๆ“มาแล้วคิดหนี มีเรื่องง่ายดายเช่นนี้เสียที่ไหน”

พร้อมกับที่เสียงดังขึ้น ก็เห็นในพื้นที่สี่ทิศแปดทางมีร่างแยกมหามรรคของหลินสวินปรากฏต่อเนื่อง สำแดงอานุภาพปิดล้อม ผนึกฟ้าดินแถบนี้

กายมรรคเพลิงแดงหนึ่งในนั้นซัดฝ่ามือไปยังทิศทางหลบหนีของจิงอิ่งพอดี

ตูม!

ห้วงอากาศดุจเพลิงโหม เปลวเพลิงน่าสะพรึงเดือดระอุ

เงาร่างของจิงอิ่งหนีออกจากตรงนั้นอย่างสะบักสะบอม ใบหน้างดงามเย็นเยียบเจือแววเคร่งขรึมเสี้ยวหนึ่ง

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท