ตอนที่ 2852 ปราชัย
และก็เป็นเพียงเวลาสั้นๆ
อภินิหารประตูเนรเทศของหลินสวินอันตรธานหายไปเช่นกัน
หากสำแดงอภินิหารพรสวรรค์นี้ด้วยขนาดเล็กที่สุดตลอด ย่อมสามารถยืดเวลาได้มากกว่านี้
แต่สำหรับหลินสวินกลับเพียงพอแล้ว
ขั้นดับเทพสัมบูรณ์จากสิบยักษ์ใหญ่อมตะสามสิบเจ็ดคน เพียงครู่เดียวก็ถูกสังหารไปแล้วสิบสองคน
และสิ่งที่เขาเสียไปเป็นพลังเพียงราวสี่ส่วนเท่านั้น ซึ่งจริงๆ ก็คุ้มค่ามากแล้ว
ภาพต่างๆ ที่พวกพ้องข้างกายร่วงหล่นอย่างต่อเนื่องทำเอาหวังเจวี๋ยฮ่วนสีหน้าเขียวคล้ำ ภายในใจเต็มไปด้วยความอัดอั้นและเดือดดาล
ในฐานะบุตรฟ้าประทานตระกูลหวัง ปีศาจแห่งยุคที่จับจ้องที่ตัวเหล่าบุตรเทพน่านฟ้าที่เก้า ตั้งแต่ฝึกปราณจนบัดนี้ หวังเจวี๋ยฮ่วนยังไม่เคยเสียเปรียบครั้งใหญ่เช่นนี้มาก่อน
ลองถามใจตนดู การเตรียมการเคลื่อนไหวของพวกเขาครั้งนี้ไม่อาจเรียกได้ว่าไม่เพียงพอ และไม่เคยประมาทดูเบาใดๆ ต่อศัตรู
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้กลับยังคงเสียหายอย่างหนักเช่นนี้ นี่จะให้หวังเจวี๋ยฮ่วนเยือกเย็นได้อย่างไร
“ฆ่า!”
หวังเจวี๋ยฮ่วนไม่ได้เดือดดาลจนขาดสติ ยามสัมผัสได้อย่างฉับไวว่าอภินิหารประตูเนรเทศของหลินสวินหายไปเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวในทันที
ตูม!
กลางฝ่ามือเขา มุกอสนีกาลเวลาปลดปล่อยประกายแสงอสนีสีน้ำเงินเข้มออกมา กลิ่นอายทำลายล้างน่าตกใจ
ผู้เข้าร่วมศึกคนอื่นๆ ล้วนสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของกลิ่นอายของหลินสวินเช่นกัน เผยประกายคมพุ่งเข้าใส่พร้อมกับหวังเจวี๋ยฮ่วนโดยไม่ลังเลใดๆ ทันที
ขั้นดับเทพสัมบูรณ์เหล่านั้นแต่ละคนผ่านประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่ให้โอกาสหลินสวินสำแดงประตูเนรเทศอีก
ขณะลงมือแต่ละคนเรียกไพ่ตายออกมา!
ตูมโครม!
เพียงพริบตา งาร่างของหลินสวินก็ถูกซัดจนซวนเซ แม้แต่อภินิหารประตูเนรเทศที่เขาหมายจะใช้ก็ยังสำแดงไม่ทัน
เมื่อเห็นดังนี้หวังเจวี๋ยฮ่วนกระปรี้กระเปร่า พลังโจมตียิ่งยิ่งบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ ราวกับทุ่มสุดแรงเกิด
“เร็ว กดดันเขา ห้ามให้โอกาสใดๆ แก่เขาเด็ดขาด!”
หวังเจวี๋ยฮ่วนตะโกนลั่น
“ฆ่า!”
ผู้เข้าร่วมศึกคนอื่นๆ ก็ฮึกเหิมขึ้นมาเข่นกัน ไอสังหารเดือดพลุ่งพล่าน ล้อมกรอบเข้ามาทางหลินสวิน
กลับเห็นหลินสวินยิ้มน้อยๆ “วันนี้พอแค่นี้ก่อน พักสักหน่อยค่อยสู้ต่อ”
เสียงยังคงดังล่องลอย เงาร่างเขาก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว พุ่งเข้าไปบนยอดเขาลูกนั้นที่ปกคลุมด้วยพลังประทับผนึกเวลาท่ามกลางวงล้อมของคนทั้งกลุ่ม
ตูม โครม!
พลังโจมตีปกคลุมฟ้าดินซัดลงบนประทับผนึกเวลา บังเกิดระลอกคลื่นสั่นสะเทือนรุนแรง และต่างถูกสลายไปทั้งหมด ไม่อาจทลายพลังผนึกที่เร้นลับสุดหยั่งนี้ได้
เมื่อเห็นภาพนี้พวกหวังเจวี๋ยฮ่วนโกรธจนเกือบอาเจียนเป็นเลือด จวนเจียนจะบ้าคลั่ง
ไม่ง่ายเลยกว่าจะสบโอกาสกำราบหลินสวิน แต่เขาดันหนีเข้าไปในผนึกกาลเวลานั่นอีก เช่นนั้นค่าตอบแทนที่ต้องเสียไปก่อนหน้านี้จะไม่ใช่สูญเปล่าหรือ
“สมควรตาย!”
“บัดซบ!!”
ผู้เข้าร่วมศึกบางส่วนโกรธจนโพล่งผรุสวาท “หลินสวิน กล้าออกมาสู้หรือไม่”
“อับอายขายหน้า สู้ไม่ไหวก็หนี ต่ำช้าปานใด!”
“เป็นถึงผู้สืบทอดคีรีดวงกมล ดันหน้าไม่อายเช่นนี้หรือ”
กลางฟ้าดินล้วนเต็มไปด้วยเสียงตะโกนด่าทอ
หลีเจินที่มองเห็นภาพนี้อยู่ในผนึกยังอดสะใจไม่ได้ ท่าทีขุ่นเคืองแทบคลั่งของเจ้าพวกนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ
หลินสวินไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ เขานั่งขัดสมาธิฝึกปราณอย่างงสงบ คว้าโอสถอมตะสุริยันจันทราขึ้นมากำหนึ่งแล้วเริ่มฟื้นฟูพลังกาย
หลีเจินก็หยัดตัวขึ้นมา สีหน้าเยียบเย็น “ต่ำช้า? หน้าไม่อาย? อับอายขายขี้หน้าหรือ ผู้แข็งแกร่งขั้นดับเทพสัมบูรณ์จากสิบยักษ์ใหญ่อมตะรวมตัวกันห้าสิบคนล้อมโจมตีหลินสวินเพียงคนเดียว ข้าขอถามหน่อยว่าใครกันแน่ที่ต่ำช้า หน้าไม่อาย อับอายขายขี้หน้า”
แต่ละคำราวฟ้าคำราม ดังก้องฟ้าดิน
นี่ทำให้สีหน้าพวกหวังเจวี๋ยฮ่วนยิ่งไม่น่าดูขึ้นเรื่อยๆ ภายในใจอัดแน่นด้วยความอัดอั้น
“ที่น่าขันคือผู้เข้าร่วมศึกห้าสิบคนจนบัดนี้ กลับถูกหลินสวินคนเดียวฆ่าเหมือนดอกไม้โรยไหลตามสายน้ำ ร่วงหล่นต่อเนื่อง นี่หากแพร่ออกไปคนที่อับอายขายหน้าจะเป็นใครกัน”
หลีเจินนิ่งเงียบสงบคำมาโดยตลอด สงวนวาจาดั่งทองคำ แต่เวลานี้แต่ละคำดุจดั่งคมมีด กดบีบผู้คน ทำเอาหลินสวินยังแปลกใจระลอกหนึ่ง
“ดูเอาเถิด พวกเจ้าในตอนนี้เหลือเพียงยี่สิบห้าคนแล้ว หรือก็คือจำนวนคนครึ่งหนึ่งล้วนจบชีวิตด้วยน้ำมือของหลินสวิน พวกเจ้ายังมีหน้ามาร้องปาวๆ อะไรอีก”
หลีเจินสีหน้าไร้ความรู้สึก “หากให้ข้าเป็นพวกเจ้า ป่านนี้คงปาดคอฆ่าตัวตายนานแล้ว จะได้ไม่ต้องลำบากผู้อื่นส่งพวกเจ้าไปภพหน้าทีละคนอีก”
ในที่นี้เงียบสงัด
มีเพียงเสียงของหลีเจินดังสะท้อนไปมากลางฟ้าดิน
พวกหวังเจวี๋ยฮ่วนถูกด่าจนหมดรูป สีหน้าปั้นยาก โกรธกรุ่นขุ่นเคืองแต่ทำอะไรไม่ได้
หากสามารถบุกเข้าไปในผนึกนั่นได้ เกรงว่าป่านนี้พวกเขาคงพุ่งเข้าไปสังหารหลีเจินในทันทีนานแล้ว
“หากพวกเจ้ายังคิดจะรอความตายต่อไป เช่นนั้นก็รออยู่ข้างนอกอย่างว่าง่ายไปเถอะ”
หลีเจินกล่าวจบก็กลับไปนั่งที่เดิมอีกครั้ง เริ่มนั่งขัดสมาธิฝึกปราณ
นอกผนึกพวกหวังเจวี๋ยฮ่วนมองหน้ากันไปมา สีหน้าไม่น่ามองมากขึ้นเรื่อยๆ
ต่อสู้จนถึงตอนนี้พวกเขาบาดเจ็บล้มตายกว่าครึ่ง ส่วนหลินสวินได้ทั้งรุกทั้งถอย ตอนนี้ไม่ได้บาดเจ็บใดๆ สักนิด!
นี่ทำให้แม้ว่าพวกเขาจะเคียดแค้นแทบบ้า แต่กลับไม่อาจไม่สงบใจไตร่ตรองว่าต่อไปควรทำอย่างไร
สายตามากมายล้วนหันมองหวังเจวี๋ยฮ่วน
การเคลื่อนไหวของพวกเขาสิบยักษ์ใหญ่อมตะในครั้งนี้ยกให้หวังเจวี๋ยฮ่วนเป็นผู้นำ
หวังเจวี๋ยฮ่วนนิ่งเงียบเนิ่นนาน
เวลาผันผ่านทีละน้อย บรรยากาศในที่นั้นก็เริ่มกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ
ใครต่างก็มองออกว่าหวังเจวี๋ยฮ่วนกำลังขัดแย้งในใจ เผชิญกับภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ถอย!”
สุดท้ายหวังเจวี๋ยฮ่วนกัดฟันเอ่ยคำหนึ่งออกมา
หากยังอยู่ต่ออีก ดูจากสถานกาณ์เช่นนี้พวกเขาไม่มีโอกาสโจมตีสังหารหลินสวินมากเท่าไรนัก ตรงข้ามอาจถูกเขาใช้อุบายเดิม สร้างความเสียหายที่ยากจะคาดเดาให้แก่พวกเขา
เพียงแต่แม้จะตัดสินใจล่าถอย แต่ในใจหวังเจวี๋ยฮ่วนกลับเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม
ต่อสู้จนบัดนี้ เสียค่าตอบแทนด้วยชีวิตมากมายขนาดนั้นแต่ต้องล่าถอยอย่างหมดสภาพเช่นนี้ นี่เป็นความอัปยศครั้งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย หากแพร่ออกไปต้องกลายเป็นตัวตลกแน่แท้
และเมื่อรู้การตัดสินใจของหวังเจวี๋ยฮ่วน ทุกคนรอบตัวเขาล้วนลอบถอนหายใจโล่งอกอย่างน่าประหลาด
หลังจากสงบอารมณ์พวกเขาถึงตระหนักได้ว่าการต่อสู้กับหลินสวินเมื่อครู่อันตรายมากเพียงใด ยามนึกถึงภาพที่พวกพ้องข้างกายร่วงหล่นคนแล้วคนเล่า ทำเอาพวกเขายังรู้สึกเสียวสันหลังราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง
ลองถามใจตนดู หากให้พวกเขาไปโจมตีสุดชีวิตโดยไม่สนสิ่งใดอย่างก่อนหน้านี้อีกครั้ง ในใจใครก็ตามล้วนต้องชั่งน้ำหนักถึงผลที่ตามมาสักหน่อย
“แดนมารสิบทิศแห่งนี้ยังมีกองกำลังของลัทธิพ่อมด ลัทธิฌาน และบุตรเทพอย่างพวกเหวินเฉียวสุ่ย ชางฝูเฟิง ข้าอยากดูนักว่าเจ้าหลินสวินจะรอดชีวิตไปถึงเมื่อไร!”
หวังเจวี๋ยฮ่วนทิ้งประโยคเจ็บแสบที่เต็มไปด้วยความขุ่นข้องก่อนหมุนตัวจากไป
คนอื่นต่างก็รีบตามขึ้นไป
“คนพวกนี้เริ่มฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว”
หลีเจินกล่าวเย็นชา
“ไม่รีบ ต่อจากนี้ยังมีเวลาอีกหลายปี ยังมีโอกาสกำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก”
หลินสวินกล่าวง่ายๆ
อย่าไล่ตามจนศัตรูจนมุม ยิ่งกว่านั้นด้วยมรรควิถีในปัจจุบันของเขา หากไล่ตามไปอาจจะฆ่าศัตรูได้มากกว่านี้ก็จริงอยู่ แต่เกรงว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนอยู่บ้าง
สิ่งสำคัญที่สุดคือหลินสวินไม่กล้าฟันธงว่าบริเวณใกล้เคียงมีศัตรูอื่นซ่อนตัวอยู่อีกหรือไม่ อย่างเช่นพวกพุทธองค์สี่คนจากลัทธิฌาน
“ก็จริง เก้าปีให้หลังผู้เข้าร่วมศึกที่รอดชีวิตทั้งหมดล้วนจะมุ่งหน้าไปยังแดนมารปฐพี ถึงตอนนั้นย่อมมีโอกาสสังหารศัตรู”
หลีเจินกล่าว
การต่อสู้กับสิบยักษ์ใหญ่อมตะครั้งนี้ หลินสวินชนะอย่างเรียกได้ว่างดงามถึงที่สุด โจมตีขั้นดับเทพสัมบูรณ์ยี่สิบห้าคนของอีกฝ่ายตายอนาถต่อเนื่อง ผลงานการต่อสู้ระดับนี้เรียกได้ว่าน่าทึ่ง
ควรรู้ว่าหากอยู่ในน่านฟ้าที่แปด ขั้นดับเทพสัมบูรณ์ล้วนเรียกได้ว่าเป็นพวกระดับปลายยอดแล้ว เป็นรองเพียงเฒ่าดึกดำบรรพ์ขั้นหลุดพ้นเท่านั้น
ในสิบยักษ์ใหญ่อมตะ ผู้แข็งแกร่งในระดับขั้นนี้ก็มีจำนวนจำกัด!
ตอนนี้เกิดความเสียหายร้ายแรงเช่นนี้ สำหรับสิบยักษ์ใหญ่อมตะล้วนเป็นการโจมตีที่หนักหนาสาหัสอย่างหนึ่ง!
คิดถึงตรงนี้สีหน้าหลีเจินก็อดแปลกไปจากเดิมอยู่บ้างไม่ได้
เกรงว่าแม้แต่ในลัทธิแรกกำเนิดก็คงไม่มีใครคาดคิด ว่าหลินสวินจะใช้กำลังเพียงคนเดียวสร้างผลงานการต่อสู้โดดเด่นเช่นนี้ได้กระมัง
เจ้าหมอนี่เป็นพวกวิปริตจริงๆ!
“ผู้อาวุโส ตอนนี้ข้าสนใจเพียงแค่ใครกันแน่ที่เปิดเผยที่อยู่ของพวกเรา”
หลินสวินกล่าวง่ายๆ เขาไม่รู้ความคิดในใจของหลีเจินสักนิด
“ผู้เข้าร่วมศึกลัทธิแรกกำเนิดของพวกเราเข้าสู่แดนมารสิบทิศเป็นกลุ่มแรก อิงจากประสบการณ์ที่ผ่านมาก็น่าจะมีเพียงพวกเราเท่านั้นที่ถูกเคลื่อนย้ายมาที่แดนมารบูรพาแห่งนี้”
หลีเจินนัยน์ตาวาบกะพริบ “แต่ในวันที่สามหลังจากพวกเรามาถึง กองกำลังของสิบยักษ์ใหญ่อมตะก็หาเทือกเขาหมื่นห้วยแห่งนี้พบแล้ว นี่มีความเป็นไปได้เพียงข้อเดียว”
หลินสวินถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “ไม่กลัวว่าศัตรูจะแข็งแกร่งแค่ไหน กลัวก็แต่ถูกไส้ศึกเอาไปขาย ปัญหาเรื้อรังและภัยแฝงในลัทธิแรกกำเนิดของพวกเราถึงคราวต้องกำจัดให้สิ้นซากสักเที่ยวแล้วจริงๆ หาไม่เกรงว่าลัทธิแรกกำเนิดในภายหน้าจะกลายเป็นสวนดอกไม้หลังเรือนของสิบยักษ์ใหญ่อมตะแล้ว”
หว่างคิ้วหลีเจินก็เผยแววอึมครึมเสี้ยวหนึ่งเช่นกัน กล่าวว่า “เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเฉาเป่ยโต้ว อวิ๋นเทียนหมิงแน่! ฝ่ายแรกมีรองหัวหน้าหอฝูเหวินหลีหนุนหลังอยู่ ส่วนตระกูลของฝ่ายหลังก็เป็นบริวารใต้บัญชาตระกูลตงหวงมาโดยตลอด ล้วนมีความสัมพันธ์แบบแยกจากกันไม่ออกกับสิบยักษ์ใหญ่อมตะ”
เขาชะงักไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “หยวนฉางเทียนก็เกรงว่าจะต้องเกี่ยวข้องด้วยเป็นแน่”
หลินสวินกล่าว “ผู้อาวุโส ก่อนจะสู้ศึกภายนอกศึกภายในต้องสงบก่อน ในเมื่อพวกเขากล้าเป็นหนอนบ่อนไส้ของสำนัก เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
หลีเจินสูดหายใจลึกคราหนึ่งกล่าวว่า “ข้าจะช่วยเจ้า”
เพียงไม่กี่คำสั้นๆ ก็เปิดเผยจุดยืนของเขาอย่างหมดจด
จากนั้นเขาขมวดคิ้วกล่าวว่า “เฉาเป่ยโต้ว อวิ๋นเทียนหมิงนั้นจัดการง่าย เพียงแต่เจ้าตั้งใจจะแตกหักกับหยวนฉางเทียนในแดนมารสิบทิศแห่งนี้จริงหรือ”
นัยน์ตาหลินสวินลุ่มลึก กล่าวว่า “นั่นก็ต้องดูท่าทีของเขาแล้ว”
รอบทิศล้วนเงียบงัน ภูผาธาราเงียบสงัด
สองสามวันถัดจากนี้หลินสวินเอาแต่เก็บตัวนั่งสมาธิในประทับผนึกเวลา และหลอมต้นกำเนิดระเบียบระดับสวรรค์ที่รวบรวมมาได้ ตอนนี้พลังปราณในตัวขาดอีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นก็สามารถทะลวงสู่ขั้นดับเทพขั้นกลางได้แล้ว!
ควรรู้ว่าก่อนจะเข้าสู่แดนมารสิบทิศ พลังปราณของหลินสวินหยุดนิ่งอยู่ที่ขั้นดับเทพขั้นต้นตลอด แทบไม่มีความก้าวหน้าสักเท่าไร
แต่ตอนนี้เพิ่งมาแดนมารสิบทิศไม่ถึงครึ่งเดือน พลังปราณก็รุดหน้าถึงขั้นนี้แล้ว ความคืบหน้าระดับนี้เรียกได้ว่าน่าทึ่งอย่างแน่นอน!
ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นผลมาจากการหลอมพลังระเบียบอย่างไม่อาจแยก
ระเบียบระดับปฐพีหนึ่งร้อยยี่สิบเก้าสาย ระเบียบระดับสวรรค์สามสาย หลอมพลังระเบียบมากขนาดนี้ย่อมสามารถทำให้ผู้แข็งแกร่งขั้นดับเทพคนอื่นๆ ทะลวงขั้นได้หลายต่อหลายครั้ง
ที่หลินสวินไม่สามารถทะลวงขั้นได้ ว่ากันถึงที่สุดก็เป็นเพราะรากฐานของเขาแน่นหนาเกินไป ความสามารถแฝงของมรรคยอดอมตะนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่คนระดับเดียวกันคนอื่นๆ จะเทียบได้
ส่งผลให้พลังระเบียบที่เขาต้องใช้หลอมเพื่อทะลวงขั้นขึ้นไปก็สูงกว่าปกติเช่นกัน
ในวันนี้พลังประทับผนึกเวลาหายไปอย่างหมดจด
หลินสวินและหลีเจินหยัดตัวลุกขึ้น
“ผู้อาวุโส ข้าตั้งใจว่าหลังจากทะลวงขั้นพลังปราณแล้วจะไปคิดบัญชีกับพวกหนอนบ่อนไส้ในสำนักพวกนั้น”
หลินสวินตัดสินใจ
หลีเจินพยักหน้าน้อยๆ
เขาเคยบอกแล้วว่าการเคลื่อนไหวทั้งหมดยกให้หลินสวินเป็นผู้ตัดสินใจ
——