Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2869 ศรมาเยือนหุบเขา

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2869 ศรมาเยือนหุบเขา

ตอนที่ 2869 ศรมาเยือนหุบเขา

คนเมื่อครู่เป็นร่างแยกมหามรรคของหลินสวิน!

เป็นตัวล่อ!

ความคิดนี้ฉายวาบอยู่ในสมองเหวินเฉียวสุ่ย อาศัยสัญชาตญาณโบกทวนศึกเก้าแดน

หลินสวินถือเตากระบี่บุกมา กะทันหันและรวดเร็วเกินไป เร็วจนเขาไม่ทันได้หลบหนี ไม่ทันได้ใช้สมบัติอื่นสักนิด ทำได้เพียงตั้งรับตรงๆ

ถึงอย่างไรเหวินเฉียวสุ่ยก็ไม่อาจนำไปเทียบกับคนธรรมดาได้ ภายใต้อันตรายถึงขีดสุดเช่นนี้ กลับทำให้เขาระเบิดศักยภาพที่ไม่เคยมีมาก่อนออกมา

ตูม!

เงาร่างผอมของเขาก็เหมือนภูเขาไฟปะทุฉับพลัน ทวนศึกเก้าแดนในมือปรากฏแผนภาพลับมหามรรคนับไม่ถ้วน ส่งเสียงกังวานดุจกระแสธาร สั่นสะเทือนทั้งเก้าชั้นฟ้า

ทว่า…

เพียงพริบตาเดียวเหวินเฉียวสุ่ยก็หน้าเปลี่ยนสีโดยสิ้นเชิงแล้ว

เคร้ง!

ท่ามกลางเสียงปะทะบาดหู ทวนศึกเก้าแดนถูกซัดกระเด็นออกไปอย่างจัง เสียงครวญดังลั่น

มือเหวินเฉียวสุ่ยที่ถือทวนศึกเก้าแดนยังระเบิดกระจุยไปด้วย เลือดสดๆ พุ่งกระฉูด

จากนั้นเมื่อเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งกระแทกลงมา เกราะสมบัติที่คลุมร่างเหวินเฉียวสุ่ยอยู่ยังระเบิดออกดังปังๆๆ เหมือนดั่งกระจกที่แตกได้ง่ายๆ

ตูม!

ครั้นเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งกระแทกใส่ตัว เบื้องหน้าสายตาเหวินเฉียวสุ่ยมืดมิดไปหมด ร่างกายเขาเทียบได้กับดาบคมศาสตราเทพ แต่ยามนี้ผิวหนังของเขาปริแตก กระดูกเส้นเอ็นระเบิด ทั้งตัวแยกออกเป็นชิ้นๆ ภายใต้เสียงระเบิดเดียว ฝนเลือดสาดพรมพวยพุ่งออกมา

มีเพียงพลังจิตที่หนีออกไปในช่วงคับขัน แต่กลับถูกหลินสวินคว้าไว้ในมือ

การโจมตีเดียว!

ซัดกายมรรคของบุตรเทพคนหนึ่งแหลกกระจุย จับพลังจิตเขาได้ทั้งอย่างนั้น!

ภาพนองเลือดอหังการเช่นนี้ทำให้พลังจิตเหวินเฉียวสุ่ยยังตระหนกจนส่งเสียงลั่นอย่างห้ามไม่ได้

เขาในอดีตหล่อเหลาดุจหยก สุขุมเยือกเย็น ต่อให้พบเหตุไม่คาดฝันมากแค่ไหนก็จะสงบใจลงได้อย่างรวดเร็วแล้วคลี่คลายอย่างใจเย็น

แต่ตอนนี้เขาสูญเสียการควบคุมแล้ว

การโจมตีที่ไร้ทัดเทียมนี้ของหลินสวินนี้ สิ่งที่ทำลายไปไม่ได้มีแค่กายมรรคของเขา แต่ยังมีจิตต่อสู้ของเขาด้วย!

ในที่สุดเหวินเฉียวสุ่ยก็รับรู้ได้ในตอนนี้ ว่าที่ปลีกตัวหนีออกมาได้หลังจากซุ่มโจมตีหลินสวินคราวก่อนเป็นโชคดีแค่ไหน

เพราะในการต่อสู้ซึ่งหน้าอย่างแท้จริง บุตรเทพที่เชื่อมั่นหยิ่งผยองอย่างเขาก็ดูอ่อนแอยิ่งนัก!

ผ่านไปครู่หนึ่งพลังจิตของเหวินเฉียวสุ่ยถึงใจเย็นลง จ้องเขม็งที่หลินสวินแล้วเอ่ยว่า “ทำไมไม่ฆ่าข้า หรือเจ้าหลินสวินก็กลัวถูกแก้แค้นเช่นกัน”

เสียงแหบแห้ง

“เก็บเจ้าไว้ยังมีประโยชน์”

เห็นชัดว่าหลินสวินดูเยือกเย็นนัก “เช่นหลังออกจากแดนมารสิบทิศ ถ้าพบเจอเรื่องไม่คาดคิดอะไรก็สามารถเอาเจ้ามาเป็นตัวประกันได้ไม่ใช่หรือ”

เหวินเฉียวสุ่ยแววตาซับซ้อน “หนามยอกเอาหนามบ่ง สหายยุทธ์หลินฝีมือดีนัก!”

เขาสงบนิ่งลง คล้ายรับรู้ได้ว่าอย่างน้อยก็ไม่ตายไปเช่นนี้

หลินสวินเอ่ย “ช่วยไม่ได้ ล้วนเรียนรู้มาจากเจ้า คราวก่อนที่เจ้าซุ่มโจมตีข้า หมายเอาชีวิตผู้อาวุโสหลีเจินมาข่มขู่ข้า คราวนี้ข้าก็ทำได้แค่ตาต่อตาฟันต่อฟันแล้ว”

เหวินเฉียวสุ่ยหัวเราะออกมา “เจ้าไม่ต้องปิดบังแล้ว เจ้าทำเช่นนี้ก็แค่เพราะรู้ตัวดีว่าไม่อาจทะลวงขั้นได้ในสามเดือน แต่ก็กังวลว่าหลังจากคนอื่นทะลวงขั้นแล้วจะมาล้างแค้นเจ้า จึงชิงลงมือก่อนก็เท่านั้น”

หลินสวินเอ่ยชม “ฉลาด”

รอยยิ้มบนใบหน้าเหวินเฉียวสุ่ยหายไปแล้ว แววกลัดกลุ้มปรากฏขึ้น ถอนใจยาวๆ เอ่ยว่า “ฉลาดแค่ไหนก็ป่วยการ เมื่อเผชิญหน้ากับพลังเด็ดขาด แผนร้ายลูกไม้อะไรก็เป็นแค่วิถีถ่อยๆ ที่ไม่เอาไหน ข้าเข้าใจความจริงข้อนี้มานานแล้ว แต่ข้ากลับคิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้… จะถึงกับมีพลังยอดอมตะอยู่จริงๆ…”

พูดถึงตอนท้ายเสียงก็เจือความผิดหวังและขมขื่นไปแล้ว

การโจมตีของหลินสวินเมื่อครู่ทำลายจิตต่อสู้ของเขา ล้มล้างความความรู้ความเข้าใจของเขา ทั้งยังทำให้เขารู้ซึ้งว่าหลินสวินที่มีอานุภาพแห่งยอดอมตะน่ากลัวปานไหน

เหวินเฉียวสุ่ยถึงขั้นแน่ใจว่าหากไม่ใช่เพราะครั้งก่อนตนใช้ผนึกเทพกักฟ้าขังหลินสวินเอาไว้ก่อน จากนั้นก็ใช้วิชาลักฟ้าแลกตะวันหลบการปะทะซึ่งหน้ากับหลินสวินในทันที เกรงว่าตอนนั้นก็คงถูกหลินสวินกำราบไปแล้ว

เหวินเฉียวสุ่ยคล้ายยอมรับชะตาตัวเองในตอนนี้แล้ว เอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ถ้าข้าเดาไม่ผิด คนที่เจ้าจะไปจัดการเป็นรายต่อไปคงเป็นชางฝูเฟิงกระมัง”

“ไม่ผิด” หลินสวินพยักหน้า

“หลังจากข้ากับชางฝูเฟิงถูกกำราบ สำหรับเจ้าแล้วก็มีแค่หยวนฉางเทียนที่เป็นภัยคุกคาม แต่ถึงอย่างไรเขาก็มาจากลัทธิแรกกำเนิดเหมือนกับเจ้า เกรงว่าเจ้าก็คงไม่ลงมือกับเขา”

เหวินเฉียวสุ่ยเอ่ย “แต่ถ้าเขารู้เรื่องที่ข้ากับชางฝูเฟิงถูกกำราบ ย่อมไม่กล้าแตกหักสู้กับเจ้าเช่นกัน แต่ถ้าเขาอยากไปชิงศุภโชภชิ้นใหญ่ที่สุดในโลกนี้ กลับเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว”

หลินสวินพูด “ทำไม”

“มีจี้ซานไห่อยู่ เขาหยวนฉางเทียนไม่มีทางชิงมาได้เด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ได้มีแค่จี้ซานไห่คนเดียว ยังมีผู้อาวุโสหลีเจินที่อยู่ข้างกายเจ้าคนนั้น มีศิษย์พี่เจ้าจิ่งจงเยวี่ย รวมถึงผู้เข้าร่วมศึกลัทธิวิญญาณพวกนั้นด้วย”

เหวินเฉียวสุ่ยกล่าว “เว้นแต่หยวนฉางเทียนไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว มิเช่นนั้นก็ทำได้เพียงอดทนกล้ำกลืน”

หลินสวินจ้องคนผู้นี้ครู่หนึ่ง แล้วถอนใจเบาๆ เอ่ยว่า “เจ้าเป็นคนฉลาดจริงๆ”

เหวินเฉียวสุ่ยสีหน้าเศร้าสร้อย เงียบเชียบไม่พูดจา

ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าพวกหวังเจวี๋ยฮ่วนพูดถูก ตอนที่ศึกมรรคอมตะครั้งนี้เริ่มขึ้นก็ควรใช้ทุกวิถีทางฆ่าคนผู้นี้

ถึงอย่างไรหลินสวินในตอนนั้นยังอยู่แค่ขั้นดับเทพขั้นต้น ไม่ได้แข็งแกร่งอย่างตอนนี้สักนิด

น่าเสียดายที่มาพูดเรื่องพวกนี้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว

สุดท้ายหลินสวินก็กำราบเหวินเฉียวสุ่ยไว้

หลังจากเก็บทรัพย์หลังศึก หลินสวินก็อึ้งไปอย่างอดไม่ได้

ในฐานะบุตรเทพเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลเหวินแห่งน่านฟ้าที่เก้า ความร่ำรวยของเหวินเฉียวสุ่ยทำให้หลินสวินยังต้องผิวปาก

พลังระเบียบระดับปฐพีสองพันสามร้อยกว่าสาย พลังระเบียบระดับสวรรค์แปดสิบเก้าสาย!

ในนั้นยังมีระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้าที่สมบูรณ์หนึ่งสาย เศษเสี้ยวระเบียบระดับเทพห้าชิ้น รวมถึงโอสถเทพนิรันดร์ที่มีสีชาดดุจหยก กิ่งก้านแดงสดต้นหนึ่ง!

ไม่ต้องสงสัย นี่เป็นพลังระเบียบทั้งหมดที่เหวินเฉียวสุ่ยกับพุทธองค์ทั้งสี่สะสมมาในแดนมารสิบทิศในช่วงสิบปีนี้

สาเหตุที่ไม่ได้ใช้ ก็เพราะด้วยพลังปราณของเขาใช้ของพวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์

เพียงแต่ตอนนี้กลับถูกหลินสวินชิงมาโดยง่ายแล้ว

สิ่งที่ดึงดูดสายตาของหลินสวินที่สุดก็คือโอสถเทพนิรันดร์สีแดงเพลิงดุจหยกต้นนั้น รูปร่างคล้ายต้นไม้เล็กสูงครึ่งฉื่อ กิ่งก้านสาขาประทับด้วยกลิ่นอายกฎระเบียบ ราวกับสามารถดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์

นี่ยังเป็นครั้งแรกที่หลินสวินได้เห็นโอสถเทพนิรันดร์ แววตาเลื่อนลอยไปครู่หนึ่งอย่างอดไม่ได้

ประเมินอยู่พักใหญ่หลินสวินจึงเก็บโอสถนี้ไปอย่างระมัดระวัง

นอกจากของพวกนี้ สมบัติที่อยู่กับตัวเหวินเฉียวสุ่ยยังละลานตา ทวนศึกเก้าแดนเล่มนั้นก็คือศาตราเทพอันเยี่ยมยอดชิ้นหนึ่ง ในนั้นอบอวลด้วยกลิ่นอายกาลเวลา

สมบัติอื่นๆ ต่างก็เป็นของชั้นเลิศในโลก อย่างยันต์หยกที่ประทับพลังรูปจำลองเจตจำนงไว้ จานกระบวนที่สลักกลิ่นอายผนึกพร่าเลือนเป็นต้นดฮณ๊ฯดฯฌซ,

หลังจากดูสมบัติเหล่านี้ทั้งหมด หลินสวินก็ลอบยินดีกับตัวเอง

โชคดีที่การโจมตีเมื่อครู่กำราบเหวินเฉียวสุ่ยไปได้ หาไม่ถ้าเปิดโอกาสให้เจ้าหมอนี่ได้พักหายใจ อาศัยสมบัติมากมายที่อยู่กับตัวเขา เป็นไปได้สูงยิ่งว่าจะหนีไปได้อีกครั้ง!

แน่นอนว่าตอนนี้สมบัติพวกนี้เป็นของหลินสวินทั้งหมดแล้ว

เมื่อเก็บทุกอย่างนี้เสร็จ หลินสวินก็ไม่ได้ร่ำไร ออกเดินทางอีกครั้ง

นี่เป็นวันแรกที่เข้ามาในแดนมารสวรรค์ เขาต้องรีบหาชางฝูเฟิงกับหั่วเซียวให้เจอ หาไม่แล้วยิ่งเวลาผ่านไปนาน ก็ยิ่งเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะทะลวงขั้น

……

สองวันต่อมา

ศรเทพดอกหนึ่งกรีดผ่านเวิ้งฟ้า ลากแสงเจิดจ้าสะดุดตาถล่มใส่หุบเขาแห่งหนึ่งอย่างจัง

ตูม!

ท่ามกลางเสียงปะทะสะท้านฟ้าสะเทือนดิน รอบๆ หุบเขามีกลิ่นอายระเบียบผนึกนับไม่ถ้วนผุดออกมาสลายพลังของศรเทพดอกนี้

ภายในหุบเขาชางฝูเฟิงแววตาเย็นชา เอ่ยว่า “จิ่งจงเยวี่ย อาศัยฝีมือเช่นนี้ของเจ้าไม่มีทางทำลายพลังป้องกันที่นี่ได้หรอก”

เขาสงบนิ่งนัก มีความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างหนึ่ง

วันนี้เดิมทีเป็นช่วงเวลาสำคัญในการแจ้งมรรคทะลวงขั้นของเขา แต่กลับถูกผู้อื่นรบกวน ผู้มาเยือนก็คือจิ่งจงเยวี่ย หมายทำลายช่วงเวลาในการแจ้งมรรคของเขา

ไกลออกไปจากหุบเขา จิ่งจงเยวี่ยที่ร่างผอมแกร่งยืนอยู่กลางห้วงอากาศ รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่มีเครื่องหน้าชัดเจน เอ่ยว่า “วันนี้ข้าคนแซ่จิ่งจะต้องทำลายหุบเขานี้!”

ขณะพูดเขาก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กล้ามเนื้อทั้งตัวพองขยาย แสงมรรคน่ากลัวถาโถม ทำให้เงาร่างเขาเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายสะดุดตาถึงขีดสุดทันที

เขายกคันธนูใหญ่สีดำในมือขึ้น หยิบศรเทพดอกหนึ่งขึ้นมาพาดบนสายธนู เมื่อเขาออกแรง คันธนูใหญ่ก็ถูกดึงให้ตึงอย่างรวดเร็ว ชี้ไปยังหุบเขาที่อยู่ไกลๆ

วู้ม!

สายฟ้าสีเงินเป็นริ้วๆ นับไม่ถ้วนแผ่พุ่งอยู่บนคันธนูสีดำ ศรเทพยาวสองฉื่อหนาเท่านิ้วโป้งอบอวลด้วยแสงดำน่าหวาดหวั่น ส่งเสียงกังวานก้องไปทั้งเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน

ตูม!

เมื่อศรที่จิ่งจงเยวี่ยง้างไว้นานแล้วดอกนี้ยิงออกไป ชั่วพริบตานั้นเหมือนมีลำแสงสายหนึ่งฉีกแหวกรัตติกาลหมื่นกาล

ภูผาธาราหมองหม่น ฟ้าดินอับแสง

ไม่ว่าคำพูดใดล้วนไม่อาจบรรยายความอหังการของศรนี้ได้ ราวกับเป็นการโจมตีจากเทพสวรรค์ทำลายโลก!

รอบๆ หุบเขาระเบิดดังลั่น ระลอกคลื่นทำลายล้างถาโถมแผ่กระจายออกมาเหมือนลมพายุ ทิวเขาแม่น้ำ ต้นไม้ใบหญ้า และหินผาบริเวณใกล้เคียงที่ศรเทพเคลื่อนผ่านล้วนถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน หายลับไปในพริบตา

ภาพเช่นนั้นน่าตะลึงยิ่งยวด

กระนั้นเมื่อฝุ่นควันจางหาย หุบเขานั้นกลับยังคงอยู่รอดปลอดภัยเช่นเดิม มีเพียงพลังผนึกที่ปกคลุมรอบหุบเขานั้นที่อับแสงลงไปไม่น้อย

ภายในหุบเขา ชางฝูเฟิงหัวเราะหยันอย่างอดไม่ได้ว่า “ข้าล่ะอยากเห็นนักว่าวันนี้เจ้าจะทำลายที่นี่ได้อย่างไร!”

เขาสะบัดแขนเสื้อ ธงเล็กสีเหลืองอ่อนสามพันหกร้อยผืนพุ่งอกมา ร่วงลงไปยังพื้นที่ต่างๆ ของหุบเขาอย่างหนาแน่น ธงเล็กเหลืองอ่อนทุกผืนล้วนสลักกระบวนค่ายกลลึกลับคลุมเครือ วิวัฒน์เป็นปรากฏการณ์ประหลาดพิสดารต่างๆ ทั้งยังมีกลิ่นอายระเบียบโอบล้อมอยู่รางๆ

เมื่อธงเล็กเหลืองอ่อนเหล่านี้ตอบรับกันและกัน พลันก่อตัวเป็นม่านแสงสีทองชั้นหนึ่ง คล้ายชามใหญ่ทองอร่ามเข้าปกคลุมหุบเขานี้เอาไว้ภายใน

ความรู้สึกที่มอบให้ผู้อื่นมีเพียง หมื่นกาลไม่อาจเคลื่อน มั่นคงไม่อาจทำลาย!

ทำทุกอย่างนี้เสร็จเขาก็ไม่สนใจจิ่งจงเยวี่ยที่อยู่นอกหุบเขาอีก นั่งขัดสมาธิบนแท่นมรรคเก้าฉื่อแท่นหนึ่ง

แท่นมรรคดุจดอกบัว ตัวแท่นแบ่งเป็นเก้าชั้น แต่ละชั้นต่างมีแสงเทพลึกลับชนิดหนึ่ง งดงามตระการตา

แท่นมรรคเก้ายอด!艾琳小說

สมบัติประหลาดชิ้นหนึ่งของเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลชาง เมื่อนั่งสมาธิบนนั้นสามารถสลายการซุ่มโจมตีจากภายนอกได้ทั้งหมด และยังทำให้จิตใจของผู้แจ้งมรรคทะลวงขั้นเชื่อมถึงมหามรรค สามารถสัมผัสถึงจุดเปลี่ยนทะลวงขั้นได้ในเวลาอันสั้นที่สุด

ที่สำคัญที่สุดคือพลังป้องกันของแท่นมรรคเก้ายอดน่าตะลึงหาใดเทียบ สามารถขวางการโจมตีของขั้นหลุดพ้นได้!

“หั่วเซียว เจ้ามาคุ้มครองข้า” ชางฝูเฟิงเอ่ยสั่ง

หั่วเซียวรับคำสั่งอย่างยำเกรง

นอกหุบเขา

จิ่งจงเยวี่ยสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย

หุบเขานั้นถูกชางฝูเฟิงวางพลังป้องกันไว้มากเกินไป กระบวนผนึกทบเป็นชั้นๆ กระบวนผนึกแต่ละชั้นเรียกได้ว่าเป็นเลิศ อยากจะทำลายในเวลาอันสั้นเป็นเรื่องยากจริงๆ

แต่ถ้าไม่สามารถทำลายการป้องกันของที่นี่ได้ในเวลาสั้นๆ ทันทีที่ปล่อยให้ชางฝูเฟิงทะลวงขั้นได้สำเร็จ…

การเคลื่อนไหวคราวนี้ก็เท่ากับล้มเหลวอย่างไม่ต้องสงสัย!

‘ดูท่า ไม่ทุ่มสุดตัวคงไม่ได้แล้ว…’

จิ่งจงเยวี่ยคิดในใจ แววตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแน่วแน่เฉียบคมดุจปลายศร

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท