Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2887 ยกพลมากล่าวโทษ!

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2887 ยกพลมากล่าวโทษ!

ตอนที่ 2887 ยกพลมากล่าวโทษ!

ลัทธิแรกกำเนิด

หลังก้าวออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้าย คงเจวี๋ยจากไปเพียงลำพัง

ผู้สืบทอดลัทธิแรกกำเนิดที่เฝ้าค่ายกลเคลื่อนย้ายไม่สังเกตเห็นตัวตนของคงเจวี๋ยโดยสิ้นเชิง

การกลับมาของหลินสวิน ฟางเต้าผิง และหลีเจิน ก่อให้เกิดความพลุ่งพล่านในลัทธิแรกกำเนิดทั้งบนล่าง

หน้าเรือนมรรคกลาง

รองหัวหน้าหออย่างเสวียนเฟยหลิง ตู๋กูยง อวี๋สิ่ง ผู้นำเก้ายอดเขาอย่างฉินอู๋อวี้ เยวี่ยอู๋โฉว ชางฉงเสวี่ย รวมถึงใบหน้าคุ้นเคยอย่างเถาเหลิ่ง เฟิงซีซี หลิวอวิ๋นเฟิงล้วนมารวมตัวกัน

เมื่อเห็นเงาร่างของพวกหลินสวินปรากฏในครรลองสายตา ทุกคนล้วนเผยรอยยิ้มจากก้นบึ้งหัวใจ

“ทุกท่าน ตลอดทางลำบากแล้ว!”

เสวียนเฟยหลิงหัวเราะร่าพลางเดินเข้าไปต้อนรับก่อน พาพวกหลินสวินเข้าไปในเรือนมรรคกลาง

เมื่อแต่ละคนนั่งประจำที่ โต๊ะสำรับตรงหน้าทุกคนล้วนเต็มไปด้วยอาหารเลิศรสแล้ว

นี่คืองานเลี้ยงต้อนรับ

ส่วนพวกหยวนฉางเทียน อวิ๋นเทียนหมิง เฉาเป่ยโต้วที่เคยเข้าร่วมศึกมรรคอมตะพร้อมกับพวกหลินสวินตอนแรก ล้วนถูกมองข้ามอย่างรู้กันอยู่ในที

“มา พวกเราดื่มให้หมดจอก”

เสวียนเฟยหลิงยกจอกเหล้าขึ้น รอยยิ้มองอาจผ่าเผย

ทุกคนรับคำเสียงกึกก้อง ยกดื่มหมดจอกเช่นกัน

ร่ำสุราไปหลายยก เสวียนเฟยหลิงจึงถามเรื่องศึกมรรคอมตะครั้งนี้

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแดนมารสิบทิศมีเพียงหลินสวินกับหลีเจินรู้ชัดที่สุด หลีเจินเงียบขรึมเรื่อยมา ก็ได้แต่ให้หลินสวินเล่าแล้ว

หลินสวินเรียบเรียงความคิดในหัว เล่าเรื่องราวบางส่วนซึ่งเกิดในช่วงสิบปีหลังจากเข้าสู่แดนมารสิบทิศออกมา

เมื่อรู้ว่าพวกอวิ๋นเทียนหมิงกับเฉาเป่ยโต้วบอกร่องรอยของหลินสวิน จนชักนำการปิดล้อมจากผู้ร่วมศึกสิบยักษ์ใหญ่อมตะอย่างพวกหวังเจวี๋ยฮ่วนมา ทุกคนในที่นั้นล้วนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ สีหน้าอึมครึม

หลังรู้ว่าหลินสวินกำจัดอวิ๋นเทียนหมิงกับเฉาเป่ยโต้วแล้ว ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นโห่ร้องยินดีทันที กล่าวว่าคนทรยศเช่นนี้สมควรฆ่าไม่ละเว้น!

และเมื่อได้ยินวีรกรรมนองเลือดที่หลินสวินทยอยกำจัดผู้ร่วมศึกสิบยักษ์ใหญ่อมตะ ผู้ร่วมศึกลัทธิพ่อมด ผู้ร่วมศึกลัทธิฌานตามลำดับในช่วงหลายปีต่อจากนั้น

ทุกคนที่อยู่ในงานพลันอึ้งงัน ในใจสั่นสะท้านไม่หยุด สายตาที่มองหลินสวินล้วนเจือสีสันประหลาด

กระทั่งหลินสวินพูดถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในแดนมารสวรรค์ ทุกคนในที่นั้นทั้งแปลกใจทั้งขบขัน

ใครก็คิดไม่ถึงว่าธิดาเทพผู้โดดเด่นเหนือใครอย่างจี้ซานไห่ ถึงกับยอมสละระเบียบระดับเทพนั่น!

ยิ่งคิดไม่ถึงว่าในสถานการณ์ที่ถูกหยามเหยียดมากเช่นนี้ ตอนนั้นหยวนฉางเทียนก็ยังอดกลั้นได้!

กระทั่งฟังเรื่องทุกอย่างที่หลินสวินเล่าออกมาจบ บรรยากาศในเรือนใหญ่พลุ่งพล่านขึ้นมาแล้ว

“ศึกมรรคอมตะครั้งนี้ ลัทธิแรกกำเนิดของพวกเราถือว่าได้ชัยชนะครั้งใหญ่!”

“ตั้งกี่ปีมาแล้ว ในที่สุดก็ถึงคราวพวกเราลัทธิแรกกำเนิดลืมตาอ้าปากสักครั้ง”

“หึๆ จากมุมมองนี้ลัทธิพ่อมด ลัทธิฌาน สิบยักษ์ใหญ่อมตะ… คงเสียหายหนักเป็นแน่!”

สัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างเสวียนเฟยหลิงกับตู๋กูยงหัวเราะขบขัน คนอื่นในที่นั้นก็ไม่วายยินดี

ศึกมรรคอมตะครั้งนี้ ความสามารถของหลินสวินเชิดหน้าชูตาให้ลัทธิแรกกำเนิดจริงๆ!

กระทั่งผ่านไปนานบรรยากาศครึกครื้นนี้จึงสงบลง

“ระหว่างทางกลับมาเกิดเรื่องใดขึ้นอีก”

สายตาเสวียนเฟยหลิงมองไปทางฟางเต้าผิง

ก่อนหน้านี้พวกเขาแค่ได้สารขอความช่วยเหลือจากฟางเต้าผิง ไม่รู้เรื่องที่พวกเขาเจอระหว่างทางอย่างแน่ชัด

คนอื่นก็เคลื่อนสายตามองฟางเต้าผิง

ฟางเต้าผิงดื่มสุราจนหมดจอก แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทางออกมาจนหมดเปลือก

ตั้งแต่เผชิญหน้ากับการตามล่าจากสัตว์ประหลาดเฒ่าแห่งสิบยักษ์ใหญ่อมตะ ถึงเปิดศึกกับชื่อเย่และจู่เหวินเหิง กระทั่งเรื่องที่เจอหยวนซวีคุนกับเจียหนานขัดขวาง ล้วนเล่าออกมาทั้งหมด

ระหว่างนี้บรรยากาศในเรือนใหญ่กดดันจนเงียบลงทีละน้อย สีหน้าของทุกคนเผยแววขุ่นเคือง เดือดดาล จริงจัง ยากจะเชื่อ

บางครั้งในแววตาที่พวกเขามองไปทางหลินสวินก็เจือการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

คราวนี้เหมือนตระหนักได้ว่าหลินสวินที่เพิ่งทะลวงปราณแจ้งมรรคขั้นหลุดพ้น ที่แท้พลังต่อสู้ก็พลิกฟ้าถึงขั้นนี้แล้ว เพียงคนเดียวสังหารสัตว์ประหลาดเฒ่าขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์มากมายอย่างเดือดดาล!

ถึงขั้นเคยใช้อภินิหารต้องห้ามขังรูปจำลองเจตจำนงของหยวนซวีคุนด้วย!

สำหรับพวกเขาเรื่องนี้ช่างสะเทือนใต้หล้าจริงๆ น่าเหลือเชื่อเป็นอย่างยิ่ง อยู่เหนือความคาดหมายทั้งหมดของพวกเขาโดยสิ้นเชิง หากทุกอย่างนี้ไม่ได้ออกมาจากปากของฟางเต้าผิง พวกเขาคงไม่กล้าเชื่อ

กระทั่งฟางเต้าผิงพูดว่ารูปจำลองเจตจำนงของไท่เสวียนสลายไป คนใหญ่คนโตในที่นั้นล้วนเก็บกลั้นไอสังหารในใจไว้ไม่อยู่ สีหน้าอึมครึมเป็นพิเศษ

แม้ต่อมาจะรู้ว่าอาจารย์อาของหลินสวินลงมือทันเวลา กอบกู้สถานการณ์อันตราย สลายเคราะห์สังหารครั้งใหญ่นี้ได้ แต่สีหน้าทุกคนในที่นั้นกลับยังไม่น่าดู

“นี่พวกเขารังแกลัทธิแรกกำเนิดของข้าด้วยเห็นว่าไร้ผู้คนหรือ!!”

ตู๋กูยงเดือดดาล เสียงราวอสนีบาต

เรื่องทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขาต่างไม่พอใจ นี่ไม่เพียงเกี่ยวเนื่องกับความปลอดภัยของพวกหลินสวิน ยังเกี่ยวโยงกับหน้าตาของลัทธิแรกกำเนิดด้วย!

“เพื่อระเบียบระดับเทพ ใครต่างก็ไปช่วงชิงโดยไม่สนใจสิ่งใด”

เสวียนเฟยหลิงสูดหายใจเข้าลึกๆ นัยน์ตาเยียบเย็น “ลัทธิพ่อมดหรือลัทธิฌานก็ดี เผ่าเทพตระกูลหยวนหรือสิบยักษ์ใหญ่อมตะก็ช่าง ภายหน้าความแค้นนี้ต้องสะสางกับพวกเขา!”

“ศึกภายในต้องสงบก่อนค่อยรับมือศึกภายนอก เรื่องนี้ไม่อาจรีบร้อน อย่างน้อยตอนนี้พวกเราก็ได้แต่อดกลั้น”

ตู๋กูยงที่อยู่ด้านข้างกล่าวเตือน

ประโยคเดียวทำให้บรรยากาศในโถงใหญ่หนักหน่วงขึ้นมา

หากพวกเขาลัทธิแรกกำเนิดยังรุ่งเรืองเหมือนแต่ก่อน มีหรือจะถูกปฏิบัติเช่นนี้

ไหนเลยจะต้องทนหลังจากถูกกดข่มเช่นนี้

“การอดกลั้นใช่ว่าทำไม่ได้ แต่ต้องทำเรื่องบางอย่างแล้ว มิฉะนั้นอย่าว่าแต่ไปแก้แค้น ภายในสำนักคงวุ่นวายก่อน”

แววตาเสวียนเฟยหลิงไหววูบ เขาพูดถึงตรงนี้แล้วมองหลินสวิน “หลินสวิน ครั้งนี้เจ้าสร้างผลงานโดดเด่นให้สำนัก ทั้งยังแจ้งมรรคขั้นหลุดพ้นแล้ว สามารถดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสสามหอในสำนักได้ พรุ่งนี้ยามประชุมกับคนในสำนัก ข้าจะเลื่อนตำแหน่งให้เจ้า”

เขาเว้นช่วงไปก่อนกล่าวเย็นชา “เรื่องนี้ต่อให้พวกฝูเหวินหลีคิดคัดค้านก็ไม่เป็นผล!”

ทุกคนต่างพยักหน้าอย่างอดไม่ได้

ด้วยผลงานที่หลินสวินสร้างในศึกมรรคอมตะครั้งนี้ อย่าว่าแต่รับตำแหน่งผู้อาวุโส ต่อให้ทำลายกฎไปคว้าตำแหน่งรองหัวหน้าหอก็ไม่มีปัญหา

เมื่อพูดถึงตรงนี้คลื่นพลังผนึกที่ปกคลุมนอกเรือนมรรคกลางพลันม้วนซัด

เสวียนเฟยหลิงโบกมือเก็บพลังผนึก

ก็เห็นร่างของพวกฝูเหวินหลี ฉีเซียวอวิ๋น ชือเวิน ทังชิวยืนอยู่นอกเรือนใหญ่แล้ว

“พวกเราได้ยินว่าพี่ฟางพาหลีเจินกับหลินสวินกลับมายังสำนักแล้ว ดังนั้นจึงตั้งใจมาแสดงความยินดีเป็นพิเศษ”

ฝูเหวินหลีเอ่ยปาก บอกว่ามาแสดงความยินดี แต่สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความเฉยชา

เมื่อมองสีหน้าของคนอื่น ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นเช่นนี้

บรรยากาศทั้งภายในและภายนอกเรือนใหญ่เปลี่ยนเป็นเงียบสงัดกดดันขึ้นมาทันที

ฟางเต้าผิงหยัดร่างขึ้นกล่าวราบเรียบ “ไม่ต้องแสดงความยินดีหรอก ตอนนี้พวกเรากำลังจัดงานเลี้ยง หากไม่มีเรื่องอื่นขอเชิญทุกท่านกลับไปเถอะ”

บอกปัดทันควัน ไม่เกรงใจแม้แต่น้อย

ฝูเหวินหลีสีหน้าขรึมลง กล่าวว่า “ไม่ถูกจังหวะยิ่งนัก นอกจากมาแสดงความยินดีแล้ว ข้าคนแซ่ฝูยังมีเรื่องหนึ่งอยากถามหลินสวิน”

เขาพูดพลางพาพวกฉีเซียวอวิ๋นเดินตรงเข้ามาในเรือนใหญ่ นี่ทำให้สีหน้าของเสวียนเฟยหลิง ตู๋กูยงและทุกคนในงานต่างอึมครึมไม่น้อย

ฝูเหวินหลีไม่สนใจเรื่องพวกนี้โดยสิ้นเชิง ก้าวเท้ามาถึงหน้าโต๊ะหลินสวิน ก้มมองเขาด้วยสายตาเจือความเย็นชาแล้วเอ่ยว่า

“หลินสวิน เจ้ารู้ความผิดหรือไม่”

ประโยคเดียวกลิ่นอายพิพากษาเต็มเปี่ยม

หลินสวินดื่มเหล้าในจอกจนหมด วางจอกสุราบนโต๊ะ ครั้นแล้วจึงหยัดร่างขึ้นอย่างแช่มช้ากล่าวว่า “ข้าคนแซ่หลินมีโทษอันใด”

ฝูเหวินหลีแค่นเสียงเย็นชา “คิดว่าคนอื่นไม่รู้จริงหรือ ผู้นำยอดเขาอวิ๋นเทียนหมิงและผู้อาวุโสเฉาเป่ยโต้วถูกเจ้าฆ่าอย่างโหดเหี้ยมใช่หรือไม่”

พวกเสวียนเฟยหลิงกับฟางเต้าผิงกระจ่างแล้ว พวกฝูเหวินหลีมาครานี้ เห็นชัดว่าคิดมากล่าวโทษ!

หลินสวินยิ้มทันที “ไม่ผิด”

ฝูเหวินหลีกล่าวเย็นชา “เจ้ายังยิ้มอีก เป็นถึงผู้ดูแลหอแรกนภา แต่เจ้ากลับปีนเกลียว ใช้วิธีต่ำช้าทำร้ายผู้อาวุโสสองคนของสำนัก สมควรตายนัก! ข้ามาครานี้ก็เพื่อพาผู้ร้ายอย่างเจ้าไปลงโทษตามกฎสำนัก ปลอบโยนวิญญาณบนสวรรค์ของเพื่อนร่วมสำนักทั้งสอง!”

“ฝูเหวินหลี ด้วยฐานะของเจ้าถึงกับพูดจามั่วซั่ว ใส่ร้ายป้ายสีเช่นนี้ ไม่คิดว่าน่าอายหรือ”

เสวียนเฟยหลิงไม่อาจวางเฉยแล้ว เขาหยัดร่างขึ้น แววตาเยียบเย็น “คนทรยศสองคนอย่างเฉาเป่ยโต้วกับอวิ๋นเทียนหมิงสมคบคิดกับศัตรูภายนอก ทำให้หลินสวินตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ทำไมเจ้าถึงบอกว่าพวกต่ำทรามไร้ยางอายเช่นนี้เป็นคนดีที่ถูกฆ่าอย่างไม่เป็นธรรมเล่า”

เมื่อเสวียนเฟยหลิงยืนขึ้น ตู๋กูยงและคนอื่นในเรือนใหญ่ก็พากันลุกขึ้น ถลึงตามองพวกฝูเหวินหลี

บรรยากาศเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมา!

“คนทรยศ? เสวียนเฟยหลิง เจ้าเคยเข้าร่วมศึกมรรคอมตะไหม เห็นทุกอย่างนี้กับตาตัวเองหรือ”

ฝูเหวินหลีกล่าวเรียบๆ “นอกจากหลินสวินกับหลีเจิน ทุกคนในที่นี้ล้วนไม่รู้ความเป็นมาของเรื่องนี้ แต่สิ่งที่แน่ใจได้คือเฉาเป่ยโต้วกับอวิ๋นเทียนหมิงถูกหลินสวินฆ่า ทั้งเมื่อครู่หลินสวินยังยอมรับด้วยตัวเอง ตามกฎของสำนัก การสังหารศิษย์ร่วมสำนักตามอำเภอใจโดยไม่ผ่านการไต่สวนของหอแรกนภา นี่ก็คือโทษมหันต์เกินกว่าจะไถ่ถอน!”

“เรื่องนี้หยวนฉางเทียนเป็นคนบอกท่านหรือ”

หลินสวินพลันกล่าว

ฝูเหวินหลีหรี่ตาเล็กน้อยแล้วกล่าว “เป็นใครไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเจ้าละเมิดกฎสำนักแล้ว แน่นอนว่าต้องถูกลงโทษ”

หลินสวินยิ้มขึ้นมา “คิดอยู่แล้วว่ารองหัวหน้าหอฝูคงไม่ยอมพลาดโอกาสโจมตีข้าหลินสวินเช่นนี้ เช่นนั้นก็เชิญรองหัวหน้าหอฝูลองดูว่าคนพวกนี้เป็นใคร”

เขาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง

พลังจิตที่ถูกกักขังหมดสติสายแล้วสายเล่าปรากฏอยู่ในสายตาของทุกคน

เมื่อเห็นรูปร่างของพลังจิตเหล่านี้อย่างชัดเจน สีหน้าฝูเหวินหลีเปลี่ยนไปมากทันที ยกมือจะเก็บพลังจิตเหล่านี้ไป แต่กลับถูกหลินสวินหลบเลี่ยงไปก่อนหนึ่งก้าว

ขณะเดียวกันฟางเต้าผิงยืนอยู่ข้างกายหลินสวิน กล่าวอย่างเย็นชา “ฝูเหวินหลี เจ้าจะทำอะไร”

“คนพวกนี้คือคนตระกูลฝูของข้า!!”

ฝูเหวินหลีกล่าวเดือดดาล “แต่ตอนนี้กลับถูกเจ้าหลินสวินนี่ทำลายร่าง พลังจิตก็ถูกกักขัง ไม่อาจอภัยได้จริงๆ!”

หลินสวินเอ่ย “รองหัวหน้าหอฝูพูดถูก พวกนี้ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งตระกูลฝูที่เข้าร่วมศึกมรรคอมตะ พวกเขาเคยร่วมมือกับผู้ร่วมศึกอื่นมากำจัดข้า โชคไม่ดีที่พวกเขากลับประสบเคราะห์ เรื่องนี้หยวนฉางเทียนไม่ได้บอกท่านหรือ”

ทรวงอกของฝูเหวินหลีกระเพื่อมไหว พยายามทำให้ตนใจเย็นลง แววตาไหววูบกล่าว “หลินสวิน ปล่อยคนตระกูลฝูของข้าไป ข้าจะให้โอกาสเจ้าล้างมลทิน”

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือใช้สิ่งนี้เป็นการแลกเปลี่ยน

กลับเห็นหลินสวินยิ้มพลางส่ายหัว “รองหัวหน้าหอฝู ท่านผิดแล้ว ข้านำพลังจิตของคนตระกูลฝูพวกนี้ออกมา ใช่ว่าเพื่อข่มขู่ท่าน ข้าคนแซ่หลินเป็นถึงผู้ดูแลหอแรกนภา ไม่กล้าปีนเกลียวไปข่มขู่รองหัวหน้าหอคนหนึ่งเช่นกัน”

เขาเว้นช่วงไปก่อนกวาดสายตามองทุกคนในเรือนใหญ่ “ข้าคนแซ่หลินแค่อยากบอกทุกท่านในที่นี้ว่า พวกเฉาเป่ยโต้วกับอวิ๋นเทียนหมิงเป็นคนทรยศหรือไม่ ขอแค่สืบค้นพลังจิตคนพวกนี้ก็จะรู้ดำรู้แดง!”

เสียงชัดกระจ่างดังก้องในเรือนใหญ่

เพียงชั่วขณะพวกฝูเหวินหลี ฉีเซียวอวิ๋น ชือเวินพลันหน้าเปลี่ยนสี

………………….

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท