Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2907 ศิษย์พี่มาเยี่ยม

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2907 ศิษย์พี่มาเยี่ยม

ตอนที่ 2907 ศิษย์พี่มาเยี่ยม

หลินสวินเก็บมือทันที

ความจริงเขาไม่คิดจะฆ่าชางเจิ้นคุน

ไม่มีความจำเป็น

ไกลออกไปชางเจิ้นคุนโซเซลุกขึ้น เผ้าผมยุ่งเหยิง หายใจหอบ สีหน้าขาวซีดโปร่งแสง

เขามองหลินสวินอย่างยากจะเชื่อ สีหน้าอึมครึมไม่สามารถสงบได้

“สหายยุทธ์ เจ้าแพ้แล้ว อย่าลืมสิ่งที่เจ้ารับรอง แน่นอนว่ายังมีคำสาบานของเจ้าก่อนหน้านี้” เสวียนเฟยหลิงยิ้มตาหยีพูด

“วางใจเถอะ ข้าไม่ใช่คนที่จะกลืนน้ำลายตัวเอง”

ชางเจิ้นคุนแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นเยียบ สายตามองไปยังหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “เจ้าอาจจะคิดว่าคำพูดเมื่อครู่ของข้าเป็นการข่มขู่ แต่ถ้าเจ้าไม่กลัวตาย ย่อมสามารถลองไปจากลัทธิแรกกำเนิดได้”

เขาทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งไว้แล้วหมุนตัวจากไป

ขืนยังไม่ไปก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว

มองดูเขาจากไป เสวียนเฟยหลิงเอ่ยว่า “ดูท่าเป็นไปได้สูงมากว่ามีเฒ่าชราน่านฟ้าที่เก้าจำนวนไม่น้อยจับจ้องเจ้า”

สายตาของเสวียนเฟยหลิงมองหลินสวินอย่างแปลกประหลาดแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “หากไม่ใช่เพราะฐานะ ข้าก็อยากลองดูสักหน่อยว่าเจ้าแข็งแกร่งเพียงใดกันแน่”

“แลกเปลี่ยนมหามรรค เหตุใดจึงต้องสนใจฐานะ ผู้อาวุโส เช่นนั้นฉวยโอกาสนี้ลองดูดีหรือไม่”

หลินสวินเชิญชวนพร้อมรอยยิ้ม

เสวียนเฟยหลิงส่ายหน้ารัว “หากชนะก็กลายเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก ชนะอย่างไม่โปร่งใส หากแพ้ก็ยิ่งน่าอนาถ ชาตินี้อย่าคิดจะสู้หน้าเจ้าได้อีก”

หลินสวินเชื้อเชิญต่อเนื่อง “ผู้อาวุโสวางใจได้ ข้ารับรองว่าจะไม่บอกคนอื่น”

เสวียนเฟยหลิงหมุนตัวจากไป “เจ้ามันเจตนาไม่ดี ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอก”

หลินสวินตามไปพร้อมรอยยิ้ม

……

ทันทีที่กลับเข้าสำนัก หลินสวินก็ไปหาฟางเต้าผิง

ฟางเต้าผิงและชิงอวิ๋นแห่งลัทธิวิญญาณความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนม หลินสวินคิดจะให้ฟางเต้าผิงช่วยส่งจดหมายไปที่ลัทธิวิญญาณ สืบข่าวจากศิษย์พี่สามรั่วซู่

ฟางเต้าผิงรู้จุดประสงค์การมาของหลินสวินก็ตอบรับอย่างยินดี

วันนั้นข่าวหนึ่งถูกส่งออกมาจากลัทธิแรกกำเนิด

ทำทั้งหมดนี้เสร็จ หลินสวินก็กลับเขาแรกนภาโดยตรง ไปดื่มเหล้ากับเสวียนจิ่วอิ้นและจินเทียนเสวียนเยวี่ยก่อน ถึงคค่อยกลับถ้ำสถิตของตนอย่างราบรื่น

เพียงแต่ตอนที่เตรียมจะนั่งสมาธิ หลินสวินกลับจิตใจไม่สงบนัก

เหม่อลอยอึ้งงันอยู่ครู่หนึ่ง เขาอดถอนหายใจไม่ได้

ยามดื่มเหล้าพูดคุยกับเสวียนจิ่วอิ้นและจินเทียนเสวียนเยวี่ยก่อนหน้านี้ แม้จินเทียนเสวียนเยวี่ยสีหน้าปกติ แต่หลินสวินก็สังเกตเห็นอย่างฉับไวว่าน้ำใจที่จินเทียนเสวียนเยวี่ยมีต่อตนไม่เคยลดน้อยลง กลับมั่นคงกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก

หรือพูดอีกอย่างว่านางเคยชินไปแล้ว

เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งเคยชินกับการคิดถึงใครคนหนึ่งเงียบๆ แค่คิดก็รู้ว่าไมตรีนั้นจะมั่นคงและแน่นแฟ้นแค่ไหน

หลินสวินไม่ใช่คนโง่ เขาย่อมรู้ชัดว่าเมื่อนานมาแล้วจินเทียนเสวียนเยวี่ยก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่งกับเขา

แต่นางไม่เคยพูดออกมา มักจะซ่อนความรู้สึกนี้ไว้ในใจอย่างระมัดระวัง

บางทีสำหรับนาง แม้ไม่ได้ครอบครอง แต่ขอเพียงแค่ระลึกถึงในใจก็เพียงพอแล้ว

แต่สำหรับหลินสวิน ความรู้สึกเช่นนี้กลับทำให้เขารู้สึกละอายอยู่บ้าง

หวนคิดถึงตอนนั้น จินเทียนเสวียนเยวี่ยเป็นเทพธิดาอันดับหนึ่งของเขตแดนดาราจักรพรรดิขาว อุปนิสัยเย็นชา โดดเด่นไร้ที่เปรียบ กลับติดตามข้างกายเขาราวกับสาวใช้มาโดยตลอด

นางเป็นคนจิตใจดี ประพฤติชอบ กับเขายิ่งเชื่อฟังคำสั่ง

พวกเขาเคียงบ่าเคียงไหล่ผ่านลมฝนและความยากลำบากมามาก แม้แยกกันเป็นเวลานานมาก ทว่าทุกครั้งที่เจอกัน ยังคงรู้สึกได้ว่าความรู้สึกในใจนางมั่นคงเหมือนในอดีตมาโดยตลอด

ความลุ่มหลงเช่นนี้ไม่หวือหวา ไม่เปิดเผย เก็บงำและระมัดระวัง มั่นคงเด็ดเดี่ยว

ราวกับว่าแม้หลินสวินทำผิดต่อนางทั้งชีวิต นางก็จะไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยอย่างไรอย่างนั้น

และถึงตอนนี้ หลินสวินทำเหมือนไม่เห็นเรื่องเหล่านี้มาโดยตลอด ไม่เคยให้การตอบสนองใดๆ ซึ่งหน้า

นี่จะไม่ให้เขาละอายใจได้อย่างไร

เดิมทีหลินสวินคิดว่าเวลาสามารถทำให้ทุกอย่างจืดจางลงได้ ขอเพียงแค่เจอกันน้อยลง จินเทียนเสวียนเยวี่ยก็จะเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง

แต่ตอนนี้เขาถึงตระหนักได้ว่าจินเทียนเสวียนเยวี่ยไม่มีทางปล่อยวาง นางมองความรู้สึกนี้เป็นส่วนหนึ่งในความเคยชินของตนไปแล้ว!

“เคยขาดสติก่อเรื่องไว้มาก กลัวว่าจะทำให้คนงามลำบาก…”

หลินสวินพึมพำ “เรื่องนี้ในอนาคตอย่างไรก็ต้องมีคำอธิบายให้นาง จะยื้อเช่นนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว”

……

ในเวลาเดียวกัน

เสวียนจิ่วอิ้นจ้องจินเทียนเสวียนเยวี่ยอย่างไม่ได้ดั่งใจ พูดอย่างขื่นขม “ก่อนหน้านี้ตอนดื่มเหล้าเป็นโอกาสที่ดีแค่ไหน เหตุใดแม่นางเสวียนเยวี่ยจึงกลายเป็นน้ำเต้าที่ไม่มีปาก ไม่พูดจาแล้ว”

จินเทียนเสวียนเยวี่ยยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าไม่ทำให้คุณชายผิดหวังหรอก หากเขาลำบากใจ ต่อไปไม่ยอมมาเจอข้าอีกจะทำอย่างไร”

เสวียนจิ่วอิ้นพูดพลางทอดถอนใจคร่ำครวญ “แต่ก็จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้กระมัง ไม่เช่นนั้นข้าช่วยเจ้าพูดเป็นอย่างไร”

จินเทียนเสวียนเยวี่ยกล่าว “หากเจ้ากล้าพูด ข้ารับรองว่าจะจากไปแล้วจะหายไปจากโลกนี้”

นางสีหน้าหนักแน่น

เสวียนจิ่วอิ้นจนคำพูดไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “แปลกจริงๆ หลินสวินมีอะไรดี เหตุใดเจ้าจึงทำให้ตนอดสูเช่นนี้ แต่เจ้าก็จริงๆ เลย คิดแต่ว่าจะไม่ให้หลินสวินลำบาก เป็นเช่นนี้ต่อไปเขาจะรู้ความดีของเจ้าได้อย่างไร ช่าง… ไม่เข้าใจจริงๆ!”

จินเทียนเสวียนเยวี่ยแย้มยิ้ม ใบหน้างามราวกับภาพวาดเหมือนกลีบบุปผาหลังฝน เอ่ยว่า “เจ้าไม่เข้าใจ ดังนั้นก็อย่ายุ่งเลย ขอเพียงแค่ต่อไปได้เจอคุณชายบ่อยๆ ข้าก็พอใจมากแล้ว”

พูดถึงสุดท้ายนางเผยรอยยิ้มจากใจจริง

“ไม่เข้าใจจริงๆ!”

เสวียนจิ่วอิ้นหมุนตัวจะจากไปอย่างเดือดดาล

“เจ้าจะไปไหน”

จินเทียนเสวียนเยวี่ยถาม

“แน่นอนว่าฝึกปราณ เร่งแจ้งมรรคอมตะ จะได้ไม่ถูกขังในที่แห้งแล้งเช่นนี้”

เสวียนจิ่วอิ้นพูดโดยไม่หันกลับมาด้วยซ้ำ

ยามที่เหลือเพียงแค่ตนเอง จินเทียนเสวียนเยวี่ยถึงเผยสีหน้าผิดหวังเสี้ยวหนึ่ง

ความทุกข์ใจของนาง มีเพียงแค่นางที่รู้ ไม่อยากให้คนอื่นรู้

เพียงเท่านี้ ไม่มีอย่างอื่น

……

ช่วงเวลาหลังจากนั้นชีวิตของหลินสวินผ่อนคลายมาก

นอกจากทำสมาธิฝึกปราณ ก็พูดคุย กินข้าว เดินเล่นกับซย่าจื้อ

ลัทธิแรกกำเนิดในตอนนี้ล้วนรู้ว่าซย่าจื้อเป็นศิษย์ของหลินสวิน อีกทั้งรูปลักษณ์ของซย่าจื้อก็ปกปิดมาตลอด จึงไม่ได้สร้างความฮือฮามากนัก

เวลาที่อยู่กับซย่าจื้อ ในใจหลินสวินนิ่งสงบและราบเรียบเป็นพิเศษ ราวกับเรื่องราวบนโลกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตนอย่างไรอย่างนั้น

เวลาครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วันนี้ฟางเต้าผิงมาเยี่ยม

“หลินสวิน บอกข่าวดีข่าวหนึ่งกับเจ้า”

ทันทีที่ฟางเต้าผิงเห็นหลินสวินก็เอ่ยปาก “ศิษย์พี่สามของเจ้ามาแล้ว”

หลินสวินอึ้งไปก่อน จากนั้นพูดอย่างดีใจ “อยู่ที่ไหน”

ฟางเต้าผิงกล่า “เพิ่งมาถึงเรือนมรรคกลาง”

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่บอกกล่าว”

หลินสวินประสานมือ

“เจ้ารีบไปเถอะ”

ฟางเต้าผิงพูดพร้อมรอยยิ้ม เขาดูออกว่าในใจหลินสวินตื่นเต้นมาก

เรือนมรรคกลาง

เงาร่างอรชรงามสง่าสายหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น เสื้อผ้าสะอาดสะอ้านราบเรียบ เกล้าผมขึ้นสูง บุคลิกงดงาม ผิวขาวกระจ่าง อ่อนโยนและนิ่งสงบ

พอเห็นหลินสวินปรากฏตัวหน้าประตูเรือนมรรค ร่างอรชรนั้นก็หันมาเงียบๆ ยิ้มพูด “ศิษย์น้องเล็ก ไม่เจอกันนาน”

เสียงนุ่มนวลราวกับสายน้ำ คิ้วตาเปี่ยมด้วยไอแห่งความอ่อนโยนและเป็นมิตร เป็นศิษย์พี่สามรั่วซู่นั่นเอง

ความตื่นเต้นในใจหลินสวินกดไม่อยู่ เอ่ยว่า “ศิษย์พี่เหตุใดถึงมาด้วยตัวเอง”

ก่อนหน้านี้เขาเคยยืมพลังของฟางเต้าผิงส่งข่าวให้ศิษย์พี่สามที่อยู่ลัทธิวิญญาณ ใครจะคิดว่าวันนี้นางกลับปรากฏตัวในลัทธิแรกกำเนิด จะไม่ให้หลินสวินประหลาดใจได้อย่างไร

มุมปากของรั่วซู่เผยรอยยิ้ม เอ่ยว่า “คุยกันผ่านจดหมายถึงอย่างไรก็ไม่สะดวก ไม่สู้มาด้วยตัวเองสักรอบ”

“ศิษย์พี่รีบนั่งก่อน”

หลินสวินเข้าไปรินน้ำชาต้อนรับรั่วซู่ด้วยตัวเอง

หวนคิดถึงตอนนั้น ครั้งแรกที่เจอหลินสวินคือตอนที่อยู่ในเรือนมรรคโลกาสวรรค์ หนึ่งในหกเรือนมรรคใหญ่แห่งทางเดินโบราณฟ้าดารา ตอนนั้นเขากำลังถูกจักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงทำให้ลำบาก เป็นเพราะคำว่าไสหัวไปของศิษย์พี่สามรั่วซู่ที่มาทันเวลา ทำให้จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงกลิ้งร่วงจากชั้นเมฆ สะบักสะบอมไม่เหลือสภาพ อับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี!

และในคีรีดวงกมลทั้งหมด มนุษยสัมพันธ์ของศิษย์พี่สามดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

กระทั่งคนหัวแข็งอย่างศิษย์พี่สี่ คำพูดยังแฝงความเคารพต่อศิษย์พี่สาม

ยามศิษย์พี่คนอื่นๆ พูดถึงศิษย์พี่สามก็ล้วนเผยความเป็นมิตร

แน่นอนว่าหลินสวินเองก็ไม่เว้น

หลังจากหลินสวินนั่งลง รั่วซู่ถึงเอ่ยแฝงรอยยิ้ม “เรื่องของเจ้าในลัทธิแรกกำเนิดข้าได้ยินมามากแล้ว แม้แต่ข้าก็คิดไม่ถึงว่าความก้าวหน้าของศิษย์น้องจะมากขนาดนี้”

หลินสวินยิ้มกล่าว “ความก้าวหน้าของศิษย์พี่ก็ไม่น้อยเช่นกัน”

แวบเดียวเขาก็มองกลิ่นอายขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์ที่พลุ่งพล่านบนร่างของรั่วซู่ออก สมบูรณ์แบบราวกับจันทรานภาคราม คงอยู่เหมือนเป็นไปตามธรรมชาติ

รั่วซู่ยิ้มเอ่ยว่า “ที่มาหาศิษย์น้องด้วยตัวเองคราวนี้ ก็มีเรื่องจะหารือกับศิษย์น้องด้วย”

หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ สีหน้าจริงจังขึ้นมา

“ก่อนหน้านี้เจ้าส่งจดหมายมาถามข้าว่าตอนนี้สถานการณ์ของผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเป็นอย่างไร ข้าสามารถบอกเจ้าได้อย่างชัดเจน ว่าไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องที่อยู่ลัทธิวิญญาณเหมือนข้า หรือบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ถูกขังในแดนยอดจักรวาล ตอนนี้ล้วนไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวล”

เสียงของรั่วซู่อ่อนโยน แฝงพลังที่ทำให้จิตใจสงบ “แต่ไม่กี่ปีมานี้สถานการณ์ทั่วหล้าเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป เกิดเรื่องที่ข้าเองยังคาดไม่ถึงมากมาย กลับทำให้เกิดการคุกคามที่คาดไม่ถึงบางอย่างกับผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างพวกเรา”

หลินสวินหรี่ตา

รั่วซู่กล่าว “จะว่าไปตัวแปรเหล่านี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าศิษย์น้องเล็ก”

หลินสวินอึ้งไป ก่อนจะพูดว่า “ศิษย์พี่โปรดชี้แนะ”

รั่วซู่เอ่ยว่า “ยามศึกมรรคอมตะที่เกิดขึ้นในแดนมารสิบทิศจบลง ไม่เพียงน่านฟ้าที่แปดที่ปั่นป่วน ในน่านฟ้าที่เก้า เผ่าเทพนิรันดร์แต่ละตระกูลก็เกิดความโกลาหล”

“เหตุผลก็อยู่ที่พลังระเบียบระดับเทพที่ถูกเผ่าเทพนิรันดร์สี่ตระกูลอย่างตระกูลชาง ตระกูลจี้ ตระกูลเหวิน ตระกูลหยวนหมายตา สุดท้ายกลับตกอยู่ในมือของเจ้าศิษย์น้อง”

“การครอบครองระเบียบระดับเทพสายหนึ่ง ก็เท่ากับครอบครองโอกาสตั้งเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลหนึ่ง ในน่านฟ้าที่เก้ามีเผ่าเทพมากมาย แต่ที่เรียกได้ว่าเป็น ‘เผ่าเทพนิรันดร์’ กลับมีเพียงสิบสองตระกูล หากมีเผ่าเทพนิรันดร์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งใครจะยินยอมเล่า”

ฟังถึงตรงนี้หลินสวินพอจะเข้าใจขึ้นบ้าง “คนไม่ผิด ผิดเพราะมีสมบัติกับตัว ข้าได้ระเบียบระดับเทพมาแล้ว ก็เท่ากับทำให้เผ่าเทพนิรันดร์เหล่านั้นเคียดแค้นข้า”

รั่วซู่เอ่ยว่า “คงใช่ หากระเบียบระดับเทพตกอยู่ในมือคนอื่น ด้วยพลังของเผ่าเทพนิรันดร์เหล่านั้น ย่อมไม่ห่วงว่าจะชิงกลับมาไม่ได้”

“แต่ระเบียบระดับเทพกลับตกอยู่ในมือของผู้สืบทอดคีรีดวงกมล และศิษย์น้องยังครอบครองพลังแห่งยอดอมตะที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน”

“ทั้งหมดนี้ทำให้เผ่าเทพนิรันดร์เหล่านั้นจำต้องให้ความสำคัญ ตอนนี้พวกเขาต่างนั่งไม่ติดอยู่บ้างแล้ว!”

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท