Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 2912 บ้าคลั่งเกินไปแล้ว

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2912 บ้าคลั่งเกินไปแล้ว

ตอนที่ 2912 บ้าคลั่งเกินไปแล้ว

ลานมรรคใจกลาง

หลินสวินและตู๋กูยงเผชิญหน้ากันจากไกลๆ

เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าทั้งกลุ่มที่ก่อนหน้านี้ยังหัวเราะเย้าแหย่ตู๋กูยง เวลานี้ต่างยืนอยู่นอกลานประลอง สีหน้าล้วนเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา

เย้าก็ส่วนเย้า พวกเขาก็เหมือนกับตู๋กูยง ในใจใคร่รู้ว่าพลังต่อสู้ในปัจจุบันของหลินสวินจะกร้าวแกร่งถึงขั้นไหนกันแน่

ตู๋กูยงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กลิ่นอายพลันเปลี่ยนไป เงาร่างแกร่งสูงเพรียวเสมือนเปลี่ยนเป็นสูงใหญ่ไร้ขอบเขตในพริบตาเดียว ไพศาลดั่งภูเขา มโหฬารดุจเทพ

วงแหวนเทพอมตะกลมมนสีม่วงสายหนึ่งควบรวมอยู่ด้านหลังเขา กฎเกณฑ์อสนีนับไม่ถ้วนวิวัฒน์เป็นลักษณ์ประหลาดน่าเหลือเชื่อมากมายลอยผลุบโผล่อยู่ในนั้น ส่องสะท้อนจนเขาดุจดั่งนายเหนือหัวมรรคอสนีผู้หนึ่ง!

“เจ้าน้องชาย เฒ่าตู๋กูฝึกปราณจนบัดนี้ก็หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นปีเศษ ดูเหมือนอายุแก่มากแล้ว แต่ปีนั้นตอนที่เขาแจ้งมรรคาอมตะอายุเพียงพันกว่าปีเท่านั้น ในตอนนั้นเรียกได้ว่าเป็นยอดอัจฉริยะสะท้านโลกแล้ว ระยะเวลาที่เจ้าเฒ่านี่อยู่ในระดับขั้นนี้ยาวนานมากพอ พลังที่ครอบครองก็หาใช่พวกธรรมดาจะเทียบชั้นได้ เจ้าต้องระวังด้วย”

ไกลออกไปฟางเต้าผิงเอ่ยปากเสียงดัง

หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ

“โอม!”

ทันใดนั้นตู๋กูยงชูมือขวาขึ้น

ตูม!

อสนีสีม่วงที่หยาบหนาราวงูเหลือมนับไม่ถ้วนร่วงลงมาจากฟ้า เบียดเสียดแน่นขนัด สว่างไสวพร่างพราว พันเกี่ยวเป็นยันต์อสนีมหึมาที่กินพื้นที่พันจั้งเต็มกดกำราบลงมา

ภายในยันต์สายฟ้าราวน้ำตก กลิ่นอายทำลายล้างแผ่ครอบฟ้าดิน อานุภาพระดับนั้นอหังการถึงขีดสุด

เงาร่างหลินสวินยืนนิ่งไม่ไหวติง นิ้วมือตวัดวาดกลางห้วงอากาศคราหนึ่ง

ฟุ่บ!

ปราณกระบี่สายหนึ่งพาดขวางฟันฉับออกไป ยันต์อสนีพันจั้งนั่นขาดเป็นสองท่อนด้วยอานุภาพไม่อาจขวางกั้น ง่ายดายประหนึ่งกรีดผืนภาพวาด

นัยน์ตาของพวกเสวียนเฟยหลิงต่างหดรัดลงเล็กน้อย

การโจมตีนี้ของตู๋กูยงนามว่า ‘ยันต์อสนีใหญ่ไร้รั่ว’ หากจัดการคนระดับเดียวกันทั่วไป พริบตาเดียวก็สามารถซัดเนื้อกระดูกของอีกฝ่ายแหลกเป็นผุยผง จิตสิ้นวิญญาณสลายได้แล้ว

แต่หลินสวินกลับทำลายมันได้ในหนึ่งกระบี่!

“ผู้อาวุโส ไม่ต้องออมมือ”

หลินสวินกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ไม่สนใจแพ้ชนะ แต่ขอสู้กันอย่างสำราญใจเป็นพอ”

ตู๋กูยงหัวเราะเสียงดังอย่างผ่าเผย “ดี!”

ผมเคราเขาปลิวไสว ทั่วร่างปรากฏพายุอสนีที่เจิดจ้าแสบตา ในมือรวบประสาน ระเบียบพายุอสนีขนัดแน่นกลายเป็นทวนศึกสีม่วงเล่มหนึ่ง

ตูม!

เขาก้าวออกไปหนึ่งก้าว ฟ้าดินล้วนสั่นสะเทือน ทวนศึกอสนีสีม่วงในมือดุจรุ้งวิเศษนอกฟ้า แหวกทะลวงมาเยือน เผด็จการ ดุกร้าว ฉับไว

กลิ่นอายทำลายล้างอันน่าสะพรึงนั่นราวกับทัณฑ์สวรรค์มาเยือนโลกชัดๆ!

นัยน์ตาหลินสวินวาววับน้อยๆ นี่สิถึงจะน่าสนใจ

เขากระโจนตัวไปข้างหน้า อาภรณ์โบกสะบัด ซัดหมัดเข้าสู้

เคร้ง!

ทวนศึกสีม่วงถูกขวางเอาไว้ทั้งอย่างนั้น ละอองแสงสาดกระเซ็นสามพันจั้ง

ตู๋กูยงไม่ได้แปลกใจ อานุภาพของเขายิ่งกร้าวแกร่งขึ้น โบกตวัดทวนศึกเข้าโรมรัน ทุกการโจมตีล้วนมีอานุภาพทำลายฟ้าดับปฐพี กฎเกณฑ์อสนีนับไม่ถ้วนตลบม้วนทะยาน ดุเดือดทรงพลัง

หลินสวินยังคงสงบนิ่งดังเดิม ไม่ถอยไม่หลบ เข้าต้านรับตรงๆ

ชั่วขณะหนึ่งในลานมรรคใจกลางเกิดเสียงอึงอลไม่หยุด ประกายศักดิ์สิทธิ์ม้วนตลบแผ่กว้างราวเกลียวคลื่นทะเลคลั่ง

การต่อสู้ระดับนี้เรียกได้ว่าเป็นการสู้ที่สุดยอดที่สุดใต้ระดับนิรันดร์แล้ว หากเปลี่ยนเป็นบุคคลจากระดับขั้นอื่นพรวดพราดเข้ามา อึดใจเดียวต้องถูกสังหารเป็นแน่

ทว่าเพียงครู่เดียวเท่านั้นสีหน้าของพวกเสวียนเฟยหลิงล้วนเปลี่ยนเป็นตกใจแกมสงสัย

มรรควิถีของตู๋กูยงปลดปล่อยสุดพลังแล้ว ดึงพลังทั้งหมดออกมาใช้โดยไม่ยั้งมือแต่อย่างใด ทว่าในการต่อสู้ อย่าว่าแต่กำราบหลินสวินเลย ถึงขั้นที่ไม่สามารถได้เปรียบแม้แต่เสี้ยว

ครั้นหันไปมองหลินสวิน เห็นชัดว่ายังยั้งมืออยู่บ้าง หาไม่เกรงว่าตู๋กูยงคงแพ้ไปแล้ว!

“เจ้าหมอนี่เหตุใดถึงแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร…”

ถงเจาอวิ๋นเบิกตากว้าง

ยามนั้นหลังการชำระล้างครั้งใหญ่ของสำนัก เขาเคยสงสัยการตัดสินใจของเสวียนเฟยหลิง ที่เสนอให้หลินสวินมารับตำแหน่งรองหัวหน้าหอคนหนึ่งของหอแรกนภา

ภายหลังได้ยินเสวียนเฟยหลิงบอกว่าหลินสวินที่อยู่ในขั้นหลุดพ้นขั้นต้น สามารถกำราบสัตว์ประหลาดเฒ่าทั้งกลุ่มอย่างพวกจู่เหวินเหิง ฝูเหวินหลี ถงเจาอวิ๋นจึงยอมรับเรื่องที่ให้หลินสวินรับตำแหน่งรองหัวหน้าหอ

แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยเห็นศักยภาพแท้จริงของหลินสวิน ฉะนั้นเวลานี้หลังจากได้เห็นอานุภาพของหลินสวินกับตาถึงได้ตกใจขนาดนี้

“เฒ่าฟาง เจ้ายังมัวเฉยอยู่ทำไม มองไม่ออกหรือว่าด้วยพลังของข้าคนเดียวไม่มีทางบีบเจ้าหนุ่มนี่ให้ใช้พลังทั้งหมดได้”

ในลานมรรค ตู๋กูยงตะโกนเสียงดัง

มุมปากของฟางเต้าผิงกระตุก มีหรือจะฟังไม่ออกว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะลากเขาลงน้ำไปด้วย

“เฒ่าฟาง ไปเถอะ เฒ่าตู๋กูพูดไม่ผิด”

เสวียนเฟยหลิงและคนอื่นๆ ต่างพากันเอ่ยปาก

“ก็ดี”

ฟางเต้าผิงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กระโจนตัวเคลื่อนย้ายเข้าสู่ลานมรรคแล้วบุกใส่หลินสวินทันที

ตูม!

เงาร่างเขาผอมตอบ ทั่วร่างมีแสงสีเขียวเจิดจ้าไหลเวียน ทุกท่วงท่าอิริยาบถล้วนมีวิชาอัศจรรย์นับไม่ถ้วนโปรยปรายลงมา ความยิ่งใหญ่แห่งอานุภาพทำให้ผู้คนต้องเหลียวมอง

“เฒ่าฟางช่างเป็นคนรู้ความดียิ่งนัก เพิ่งเข้าลานมรรคก็ปล่อยพลังทั้งหมดแล้ว เห็นชัดว่ารู้ดีว่าการต่อสู้โรมรันกับปีศาจอย่างหลินสวินไม่สามารถออมมือได้”

หยวนอู่เทียนหัวเราะขึ้นมา

สถานการณ์ต่อสู้ในลานมรรคใจกลางยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ รองหัวหน้าหอสองคนร่วมกันโจมตีหลินสวินคนเดียว เรื่องระดับนี้สามารถทำให้คนระดับเดียวกันคนใดก็ตามอกสั่นขวัญแขวนได้ชัดๆ

ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเสวียนเฟยหลิงต่างรู้สึกแปลกใจคือ แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์ระดับนี้ การรับมือของหลินสวินกลับยังคงผ่อนคลายเช่นเดิม มีระเบียบแบบแผน ไม่เห็นว่าเปลืองแรงสักนิด

ต่อให้เป็นการโจมตีกร้าวแกร่งน่าสะพรึงแค่ไหน ล้วนถูกเขาปัดสลายไปอย่างง่ายดาย

พวกเสวียนเฟยหลิงมองหน้ากันไปมา มีหรือจะมองไม่ออกว่าต่อให้ฟางเต้าผิงกับตู๋กูยงจะร่วมมือกัน ก็ยังไม่สามารถบีบหลินสวินให้เผยพลังทั้งหมดออกมาได้!

นี่น่าเหลือเชื่อเกินไป

“หยวนอู่เทียน ไม่เห็นหรือว่าเฒ่าฟางไม่ไหวแล้ว เจ้ายังมัวรออะไรอยู่”

ตู๋กูยงเริ่มตะโกนเสียงดังอีกครั้ง

ประโยคเดียวแต่พลังทำลายล้างกลับยิ่งใหญ่นัก ทำเอาฟางเต้าผิงและหยวนอู่เทียนล้วนกัดฟันระลอกหนึ่ง

“หลินสวิน เจ้าคิดว่าอย่างไร”

หยวนอู่เทียนกล่าว

รองหัวหน้าหอที่อยู่มาไม่รู้กี่กาลเวลาสองคนร่วมกันจัดการรองหัวหน้าหอวัยหนุ่มอย่างหลินสวิน นี่หากกระจายออกไปย่อมน่าขายหน้ายิ่งแล้ว

หากรองหัวหน้าหอสามคนโจมตีพร้อมกัน นั่นก็รังแกกันเกินไปบ้างแล้ว

“ผู้อาวุโส แค่เข้ามาก็พอ”

ในลานมรรคหลินสวินแหงนหน้ายิ้มกล่าว

“ดี!”

หยวนอู่เทียนไม่พูดมากอีก กระโจนตัวพุ่งเขาสู่ลานมรรค

ฉับพลันสถานการณ์การต่อสู้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างละเอียดอ่อน เมื่อมีหยวนอู่เทียนเพิ่มเข้ามา ยามหลินสวินรับมือก็เห็นชัดว่าไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว

แต่ยังไม่ทันรอให้พวกเสวียนเฟยหลิงถอนใจโล่งอก ก็เห็นในลานมรรคเงาร่างสูงโปร่งของหลินสวินพลันเปล่งแสงออกมา อานุภาพของเขาพุ่งทะยานขึ้นอีกช่วงใหญ่

เพียงครู่เดียวการโจมตีของรองหัวหน้าหอสามคนอย่างตู๋กูยง ฟางเต้าผิง หยวนอู่เทียนถูกสกัด ถึงขั้นมีสัญญาณว่าจะถูกหลินสวินกำราบอยู่รางๆ

นี่ทำเอาพวกเสวียนเฟยหลิงมองจนตาลายระลอกหนึ่ง นี่ถึงจะเป็นฝีมือแท้จริงของหลินสวินหรือ

ไม่ต้องสงสัยสักนิด ก่อนหน้านี้แม้หลินสวินจะเผชิญหน้ากับรองหัวหน้าหอสองคนอย่างตู๋กูยงกับฟางเต้าผิงก็ยังออมมืออยู่บ้าง ไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด

เพราะมีหยวนอู่เทียนเพิ่มเข้ามา ถึงบีบให้เขาไม่กล้าออมมืออีก!

“น้องอวี๋สิ่ง เจ้าก็ไปด้วย”

เสวียนเฟยหลิงนัยน์ตาลุกพราว “ข้ายากเห็นนักว่าหลินสวินจะยืนหยัดได้ถึงเมื่อไหร่”

“ดี”

อวี๋สิ่งรวดเร็วยิ่ง ไม่พูดพล่ามสักนิดก็พุ่งเข้าไปในลานมรรคทันที

ตูม!

ลานมรรคใจกลางกว้างใหญ่ไพศาลปานใด แต่เวลานี้กลับถูกแสงมรรคประกายศักดิ์สิทธิ์กลบท่วม มีลักษณ์ประหลาดน่าสะพรึงมากมาย เสียงอึงอลจากการต่อสู้ดังก้องกลางฟ้าดิน

คนทั่วไปหากอยู่ที่นี่ย่อมไม่สามารถมองสถานการณ์ต่อสู้ได้ชัดเจนสักนิด

ก็มีเพียงพวกเสวียนเฟยหลิง ถึงสามารถมองการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในลานมรรคขณะนี้ได้อย่างชัดเจน

เพียงแต่หว่างคิ้วของพวกเขาค่อยๆ เผยแววเคร่งขรึมขึ้นมาแล้ว

รองหัวหน้าหอสี่คนบุกพร้อมกัน ถึงกับยังกำราบหลินสวินไม่ได้!

แต่ละคนล้วนใช้พลังทั้งหมด สามารถสังหารคนระดับขั้นเดียวกันในโลกภายนอกพวกนั้นได้อย่างง่ายดายแล้ว ทว่าพวกเขาร่วมมือกันกลับยังไม่สามารถข่มประกายคมของหลินสวินได้!

นี่น่าเหลือเชื่อเกินไป

พวกเขาสังเกตโดยละเอียด เมื่อมีรองหัวหน้าหอเพิ่มเจ้าไป อานุภาพบนตัวหลินสวินก็จะไต่ทะยานตามไปด้วยช่วงหนึ่ง และทุกครั้งล้วนสามารถรับการโจมตีทั้งหมดได้อย่างพอดิบพอดี

พวกเสวียนเฟยหลิงอายุมากพรั่งพร้อมประสบการณ์ มีหรือจะมองไม่ออก เกรงว่าหลินสวินคงไม่อยากชนะเร็วเกินไปจนหักหน้าเจ้าเฒ่าพวกนั้นกระมัง

แน่นอน มองจากข้างๆ ก็พิสูจน์ได้ ว่าพลังต่อสู้ของหลินสวินกร้าวแกร่งจนถึงขั้นทำให้ผู้คนไม่อาจมองตื้นลึกออกแล้ว!

ทุกครั้งยามคิดว่าเขาจะถูกบีบจนต้องใช้พลังทั้งหมก อานุภาพบนตัวเขาก็จะพุ่งขึ้นอีกช่วงหนึ่ง นี่ทำให้พวกเสวียนเฟยหลิงล้วนรู้สึกมึนงง

“เฒ่าถง เจ้ากับเฒ่าจางก็เข้าไปด้วยกัน”

เสวียนเฟยหลิงเอ่ยสั่ง

ถงเจาอวิ๋นและจางเชียนซีสบตากันปราดหนึ่ง ล้วนเคลื่อนไหวแล้ว

พวกเขาไม่สนหน้าอะไรแล้ว การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครั้งนี้ดำเนินมาถึงตอนนี้ ทำให้จิตต่อสู้ของพวกเขาถูกจุดติดขึ้นมาเช่นกัน สงสัยใคร่รู้ว่าต้องมีพลังแข็งแกร่งแค่ไหนจึงจะสามารถบีบหลินสวินให้สำแดงพลังทั้งหมดออกมาได้

การเข้าร่วมของถงเจาอวิ๋นและจางเชียนซี ทำให้สถานการณ์การต่อสู้ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นรองหัวหน้าหอหกคนร่วมกันจัดการหลินสวินคนเดียว

เทียบกับเมื่อครู่ สถานการณ์เปลี่ยนเป็นดุเดือดขึ้น

และก็เป็นตอนนี้ที่หลินสวินรู้สึกถึงแรงกดดันขึ้นมาบ้างแล้ว

แต่ก็ยังห่างไกลไม่พออยู่ดี!

เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ปลดปล่อยมรรควิถีแห่งตนสุดกำลังโดยสมบูรณ์ ทุกการเคลื่อนไหวเปี่ยมด้วยท่วงทำนองไร้ศัตรูที่สยบกำราบทุกสิ่ง เพียงพริบตาเดียวก็ทลายการล้อมโจมตีของสัตว์ประหลาดเฒ่าหกคนออกมาได้!

นี่เรียกเสียงอุทานระลอกหนึ่งขึ้นในลาน พวกตู๋กูยงเบิกตากว้าง ล้วนไม่กล้าเชื่อ

ควรรู้ว่าพวกเขาเป็นถึงรองหัวหน้าหอลัทธิแรกกำเนิด ผ่านประสบการณ์โชกโชนมานานปี มองดูการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในโลกมามาก ต่อให้เป็นคนระดับเดียวกันในสิบยักษ์ใหญ่อมตะก็ยังไม่อยู่ในสายตาพวกเขา

อีกทั้งด้วยพลังต่อสู้ของพวกเขา ก็หาใช่สิ่งที่คนระดับเดียวกันทั่วไปจะเทียบได้

แต่ตอนนี้ภายใต้สถานการณ์หกรุมหนึ่ง พวกเขายังคงไม่สามารถกำราบหลินสวินได้ ตรงข้ามกลับถูกเขาพลิกสถานการณ์ เป็นฝ่ายโจมตีกลับ!

“เฒ่าเสวียน เหลือเจ้าคนเดียวแล้ว เจ้าตั้งใจจะชมเรื่องสนุกไปถึงเมื่อไหร่กัน”

ตู๋กูยงตะโกนเสียงดัง

เสวียนเฟยหลิงทอดถอนใจในใจ ภายหน้าเกรงว่าคงต้องถูกลื่อคนนั้นของตนเอาเรื่องนี้มาล้อไปอีกนานแน่

เพราะการต่อสู้ครั้งนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว

ฟุ่บ!

เงาร่างของเขาพริบวาบเข้าสู่ลานมรรค

รองหัวหน้าหอเจ็ดคนโจมตีพร้อมกัน จิตต่อสู้ทั่วร่างหลินสวินถูกกระตุ้น ยิ่งสู้ยิ่งหาญกล้า

พวกตู๋กูยง เสวียนเฟยหลิงแต่ละคนก็กัดฟันกรอด ปลดปล่อยความสามารถทั้งหมดออกมา ความแข็งแกร่งของหลินสวินกระตุ้นเพลิงโทสะของเฒ่าชราเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

เวลาเคลื่อนคล้อย

ขณะที่พวกตู๋กูยงแทบจะโจมตีจนตาแดงก่ำแล้ว จู่ๆ หลินสวินก็ล่าถอยออกมา กล่าวว่า “ผู้อาวุโสทุกท่าน ยุติเพียงเท่านี้แล้วถือว่าเสมอกันเป็นอย่างไร”

พวกตู๋กูยงต่างอึ้งไป มองดูหลินสวินที่ไม่ได้บาดเจ็บแต่อย่างใด ยืนอมยิ้มอยู่ไกลๆ ในใจพลันเกิดอารมณ์ซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมา รู้สึกว่าอึดอัดบริเวณอกยิ่งนัก

สุดท้ายก็ยังเอาเจ้าหมอนี่ไม่ลง!!

เมื่อฝุ่นควันจางหาย นอกลานมรรคใจกลางไม่รู้มีเงาร่างมากมายยืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งในลัทธิแรกกำเนิด เวลานี้ต่างเบิกตากว้าง มองดูทุกเหตุการณ์นี้ด้วยความสะท้านสะเทือน สีหน้าอึ้งค้าง

ก่อนหน้านี้ด้วยมรรควิถีของพวกเขามองไม่เห็นการต่อสู้ในลานมรรคใจกลางได้ถนัดตาสักนิด แต่ตอนนี้พวกเขาล้วนมองเห็นอย่างแจ่มแจ้ง นั่นคือ…

รองหัวหน้าหอเจ็ดคนร่วมกันโจมตีหลินสวิน!?

สวรรค์!

นี่บ้าคลั่งเกินไปแล้วกระมัง

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท