“หากเผ่ามนุษย์ไม่ได้มีเทพมารเพียงสี่คนอย่างเช่นที่เห็นล่ะ แล้วเทพมารที่เหลือจะไปอยู่ที่ไหนได้อีก”
หลัวซิวเงยหน้าขึ้นมองไปยังดาวที่อยู่ไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา เขาเคยได้ยินที่มาของโลกแสงดาว ว่ากันว่าเป็นเพราะบรรดาดวงดาราก็มีกฎโลกแสงดาว
กฎโลกแสงดาวนับว่าเป็นสถานที่ฝึกตนที่ลึกลับ เจ้ายุทธจักรขั้นเก้าหากต้องการจะบรรลุมหาจักรพรรดิยุทธ์ จะต้องมุ่งหน้าทางกฎสัมผัสรู้ของกฎโลกแสงดาว หากมหาจักรพรรดิยุทธ์ต้องการจะบรรลุเทพมารก็จะต้องมุ่งหน้าไปยังกฎสัมผัสรู้ของกฎโลกแสงดาว
หลายปีที่ผ่านมา ผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์หลายคนกำลังพยายามบรรลุกฎโลกแสงดาว และเทพมารทุกคนก็เช่นกัน
ทว่าหลัวซิวเคยแต่ได้ยินกฎโลกแสงดาว แต่กลับยังไม่เคยไปเยือน จอมยุทธ์ทุกคนที่ต้องการจะไปฝึกตนที่กฎโลกแสงดาวจะต้องผ่านเส้นทางของสี่แดนศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ก่อน
หลายหมื่นปีที่ผ่านมานี้ แดนศักดิ์สิทธิ์ทุกแดนของเผ่าพันธ์มนุษย์ล้วนครอบครองแหล่งทรัพยากรที่สมบูรณ์ที่สุดจึงมีฐานะที่สูงส่งมาก
ทุกแดนศักดิ์สิทธิ์ก็จะมีเส้นทางข่าวสารเป็นของตนเอง เรื่องราวที่เกิดที่สำนักฟ้าดินกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว คนทั่วไปต่างพากันตกใจจนตัวแข็งทื่อ
การที่สำนักฟ้าดินยอมจำนนไม่เพียงแค่ไม่มีคนหัวเราะเยาะเท่านั้น ทว่าคนจำนวนมากต่างรู้สึกว่าเจ้าศักดิ์สิทธิ์สวี่ผู้นี้เป็นคนรู้เท่าทันเหตุการณ์มาก เพราะหากเทียบกับตำหนักอัคคีนภาที่โดนทำลายจนเหลือเพียงซากแล้ว หลัวซิวกลับไม่ได้ลงมือบุ่มบ่ามกับสำนักฟ้าดิน
อาณาจักรตะวันออกมีแดนศักดิ์สิทธิ์ห้าแดน นอกจากตำหนักดารานภาแล้ว ยังมีแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภา แดนศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมิน แดนศักดิ์สิทธิ์สำนักทะยานเซียนรวมทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์สระบัวแท้
ซึ่งแดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภาและแดนศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินต่างเข้าร่วมการโจมตีแดนตำหนักจื่อนี้ด้วย
การที่หลัวซิวมาที่อาณาจักรตะวันออก สร้างความสนใจให้กับกองกำลังต่างๆ แดนศักดิ์สิทธิ์พื้นนภาและแดนศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินตอนนี้ไม่สามมารถอยู่อย่างสงบจิตใจได้ จึงพากันไปขอความช่วยเหลือที่ตำหนักดารานภา
“หลัวซิว……”
ในเมืองเมืองหนึ่งของอาณาจักรตะวันออก หลัวซิวได้พบกับลู่เมิ่งเหยา
หลังจากที่ไม่เจอกันมานานหลายปี ตอนนี้ลู่เมิ่งเหยาได้บรรลุแดนเจ้ายุทธจักรไปแล้วแถมพลังจิตแท้ยังบริสุทธ์ ร่างของนางมีพลังแห่งกฎโคจรอยู่ลับๆ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการสอนวิชาของเจ้ายุทธจักรหยกนารา เทพธิดาหานยู่ประสบความสำเร็จ ทำให้ร่างของนางสามารถรวมโลหิตหัวใจได้มาก
เมื่อลู่เมิ่งเหยาเห็นด้านซ้ายขวาของหลัวซิวมีทั้งเหยียนเยว่เอ๋อร์และเยียนซีโรว่ สีหน้าตื่นเต้นที่ได้พบเจอหลัวซิวที่มีในตอนแรกก็พลันเปลี่ยนเป็นความนิ่งเฉย หัวใจของนางเต็มไปด้วยความขมขื่น
นางรู้ดีว่าเวลาสามารถทำให้คนเราเกิดช่องว่างแก่กันได้อย่างง่ายดาย ตอนแรกเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็เป็นอย่างนั้น โดยไม่ทันตั้งตัว นางก็รู้สึกได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหลัวซิวเริ่มห่างไกลกันมากขึ้นเรื่อยๆ
นางอยากบอกหลัวซิวมากว่านางรู้สึกผิดที่ตอนนั้นนางไม่ได้ไปตามหาเขาที่ประเทศเทียนหวูในอาณาจักรใต้ หากตอนนั้นนางไป นางไม่กลัวว่าจะตามหาเขาไม่เจอและบางทีความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเขาอาจจะไม่ห่างเหินกันไกลถึงขั้นนี้
สตรีทั้งสองนางนี้ทั้งเหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ ไม่ว่าจะเป็นพลังการฝึกตนหรือว่ารูปโฉมต่างไม่ได้ด้อยไปกว่านาง แถมยังเหนือกว่านางด้วยซ้ำ
การที่มีสาวงามไร้ที่ติข้างกายซ้ายขวาเช่นนี้ เขาจะแบ่งความสนใจมาที่ตนอีกได้อย่างไร
“เมิ่งเหยา ไม่เจอกันนานเลย” หลัวซิวยิ้มทักทาย
“ทั้งสองนางนี้น่าจะเป็นแม่นางเหยียนกับแม่นางเหยียนใช่หรือไม่” ลู่เมิ่งเหยากล่าวด้วยรอยยิ้ม
แซ่ของสตรีทั้งสองออกเสียงเหมือนกัน นี่ทำให้ลู่เมิ่งเหยารู้สึกว่าบางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตาก็ได้
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางจึงรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองวุ่นวาย
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางข่มอารมณ์ในใจของตัวเองแล้วบอกกล่าววัตถุประสงค์ในการมาถึงของตน
เทวีหานยู่ผ่านด่านได้สำเร็จ และบรรลุถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ ในบรรดาเจ้ายุทธจักรแต่งตั้ง หลังจากที่นางสืบทอดเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวแล้ว ก็เป็นคนที่สองที่บรรลุเจ้ายุทธจักรแต่งตั้งของมหาจักรพรรดิยุทธ์
ด้วยเหตุนี้ ทุกกองกำลังต่างพากันมาร่วมยินดี พอดีกับที่เทวีหานยู่ได้รับทราบข่าวว่าหลัวซิวได้มาถึงอาณาจักรตะวันออกแล้ว ลู่เมิ่งเหยาจึงตั้งใจมาเชิญเขา
ลู่เมิ่งเหยารู้ดีว่า การจัดการเช่นนี้ของอาจารย์ อันที่จริงแล้วก็เพราะต้องการเปิดโอกาสให้นางกับหลัวซิว