มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1069
“ใช่แล้ว ในมือของข้าไม่ได้มีทรัพยากรสำหรับฝึกตนแล้ว ดังนั้นเมื่อได้ยินว่ามีแดนปริศนาเทพมารอยู่แห่งหนึ่ง จึงได้มุ่งหน้ามาหาโอกาส” หลัวซิวตอบกลับทันที
ถึงแม้ปากจะพูดออกไปเช่นนี้ แต่เมื่อหลัวซิวได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงชื่อแก๊งรอบรู้ ในในก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย
ตามที่เขารู้มา แก๊งรอบรู้ที่อยู่ภายในโลกแสงดาวเป็นกองกำลังที่มีไว้สำหรับรวบรวมข้อมูลข่าวสารโดยเฉพาะ แม้กระทั่งความสามารถทางการรายงานข่าวนั้น ยังมากกว่าองค์กรนักล่ายุทธ์เสียด้วยซ้ำไป
เพียงแต่ตลอดมานั้น แก๊งรอบรู้เป็นกองกำลังที่ลึกลับมาก ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าที่แท้แล้วกองกำลังนี้กำลังรับใช้ผู้ใดอยู่กันแน่
แต่ภายในโลกแสงดาวเกณฑ์กฎดูเหมือนจะมีหนึ่งกองกำลังที่มีชื่อว่าแก๊งรอบรู้ เห็นได้ชัดว่าแก๊งรอบรู้ของโลกแสงดาวและแก๊งรอบรู้ของโลกแสงดาวเกณฑ์กฎนั้น น่าจะเป็นกองกำลังเดียวกัน
แก๊งรอบรู้สำรวจพบสถานที่ตั้งของแดนปริศนาเทพมารแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าจะพาผู้คนจำนวนมากเช่นนี้ไปค้นหาสมบัติโดยไม่หวังผลตอบแทน ทุก ๆ คนที่ขึ้นมายังเรือลำนี้ ต่างก็ต้องจ่ายหินพลังจิตชั้นสูงหนึ่งแสนชิ้น
ราคานี้ สำหรับผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรส่วนใหญ่ ต่างก็เป็นราคนที่จับต้องได้ยาก แต่หลัวซิวกลับไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เพราะว่าของประเภทหินพลังจิตนั้น สำหรับการฝึกตนของเขา มันไม่ได้มีประโยชน์กับเขาแต่อย่างใดเลย
มีเพียงสมบัติระดับแก้วเทวเท่านั้น จึงจำสามารถสัมผัสได้ถึงความรวดเร็วของผลการฝึกตนที่พุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด
หลังจากรับหินพลังจิตแสนชิ้นไปแล้ว คนจากแก๊งรอบรู้ก็ได้จัดการที่พักภายในห้องโดยสารเรือเรือให้กับหลัวซิวห้องหนึ่ง
โซนของเรือบินลำนี้กว้างใหญ่มาก มีแม้กระทั่งโซนลายค่ายอยู่ด้านใน ทำให้โซนภายในของสามารถเปิดได้กว้างมากยิ่งขึ้น อุปกรณ์ต่าง ๆ ติดตั้งเอาไว้พร้อมใช้งาน
หลัวซิวได้รับการจัดการให้พักอยู่ในห้องเดี่ยวห้องหนึ่ง พื้นที่เพียงประมาณ 50 ตารางเมตร จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก
ภายในห้องโดยสารเรือมีทั้งหมดสามชั้น สองชั้นบนคือที่พัก ชั้นล่างสุดคือตลาด มีนักยุทธ์จำนวนมากมาตั้งแผงลอยที่นั่น หรือบางคนก็แลกเปลี่ยนสมบัติของตนเอง
ภายในโลกแสงดาวเกณฑ์กฎก็ยังมีพสุธาขนาดเล็กอยู่ด้วย ถึงแม้จะไม่กว้างใหญ่ไพศาลราวกับโลกแสงดาว แต่ก็มีการสืบสายเลือดของอสูรจิต อีกทั้งยังมีกองกำลังของสำนักต่าง ๆ อาศัยอยู่ด้วย
หลัวซิวไม่สามารถบรรลุคอขวดของผลการฝึกตนในขณะที่อยู่บนเรือบินได้ ดังนั้นเขาจึงเดินสำรวจรอบ ๆ เรือไปเรื่อย ๆ พบว่าในเรือบินลำนี้ มี เจ้ายุทธจักรอยู่ประมาณร้อยกว่าคน และผู้แข็งแกร่งแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์อีกสามสิบกว่าคน
ต่อให้เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งของโลกแสงดาวก็ยังไม่มีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากขนาดนี้เลย เห็นได้ชัดว่านักยุทธ์ทั้งหมดของโลกแสงดาวเกณฑ์กฎ พลังนั้นมากกว่าภายในโลกแสงดาวเสียอีก
แต่สาเหตุที่ กองกำลังต่าง ๆ ของโลกแสงดาวไม่ได้มาฝึกตนยังโลกแสงดาวเกณฑ์กฎ สาเหตุที่สำคัญนั่นก็เพราะว่าโลกแสงดาวเกณฑ์กฎมีขอบเขตจำกัด พื้นที่ที่เหมาะสมต่อการอยู่รอดและการสืบพันธุ์ของมนุษย์นั้นมีค่อนข้างน้อย ดังนั้นมีเพียงแค่เพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีสิทธิที่จะฝึกตนอยู่ที่นี่ได้
“ได้ยินมาว่าตำหนักดาราได้มีผู้แข็งแกร่งเทพมารสองตนเข้าร่วมอีกแล้ว”
“เทพมารสองตน? หรือว่าจะมาจากโลกแสงดาวฝั่งนั้น?”
“ใช่แล้ว ดูเหมือนทางโลกแสงดาวจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้น ทำให้เทพมารสองตนทำได้เพียงหนีมาหลบซ่อนตัวที่โลกแสงดาวเกณฑ์กฎ”
“ล้อเล่นหรือเปล่า? เทพมารแข็งแกร่งระดับใด ยังจำเป็นต้องหนีมาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ด้วยรึ?”
……
ที่ตลาด หลัวซิวได้ยินบางคำพูดประเภทนี้ สิ่งนี้ทำให้ในใจเขาอดไม่ได้ที่จะระแวดระวังขึ้นมา เพราะว่าเขาสามารถเดาออกมาได้อย่างง่ายดายว่า เทพมารทั้งสองที่เข้าร่วมกับตำหนักดารา มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นเจ้าศักดิ์สิทธิ์ดารานภาและหลิวหงเทียน
“เผ่าพันธุ์มนุษย์กองกำลังต่าง ๆ แห่งโลกแสงดาว เป็นแค่เพียงพลังที่แสดงออกให้เห็นเท่านั้น ภายในโลกแสงดาวเกณฑ์กฎแห่งนี้ ถึงจะเป็นถึงจะเป็นเบื้องหลังที่แท้จริงของแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ” หลัวซิวคิดอยู่ในใจ
“ข้ายังได้ยินมาอีกว่าตำหนักอัคคีนภา ฐานที่โลกแสงดาวได้ถูกทำลายไปแล้ว เหล่าบรรดาพวกมากประสบการณ์ของตำหนักอัคคีนภาที่แดนดารานั้นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เพียงแค่อาจารย์ของพวกเขาต่างก็กำลังปิดขังอยู่ ว่ากันว่าจะบรรลุแดนเทพมาร ดังนั้นตลอดมาจึงไม่ได้ไปที่โลกแสงดาวเพื่อแก้แค้น”