มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1096
“ยินดีต้อนรับเจ้าศักดิ์สิทธิ์ออกจากการฝึกฝนตน!”
วินาทีที่เขาปรากฏตัว กลุ่มศิษย์ไท่เสวียนได้รวมตัวกันอยู่ด้านล่าง ภายใต้การนำของเกาเหลียนหง พวกเขาโห่ร้องสรรเสริญออกมาน้ำเสียงดังกังวาน
ณ ด้านในสำนักห้องโถง อาจารย์เทพมารแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่รอคอยมาตลอดสามปีต่างก็ลืมตาขึ้น แต่ละคนมีท่าทางซับซ้อน
การณ์ใหญ่บรรลุสำเร็จแล้ว!
การณ์ใหญ่ที่ว่านี้ หาได้หมายถึงหลัวซิวเพียงเท่านั้น แต่หมายถึงไท่เสวียนด้วย!
หากมีหลัวซิวเพียงคนเดียว แม้ว่าพลังต่อสู้จะไร้เทียมทานเพียงไร แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นมนุษย์ หากเขาต้องการบรรลุเข้าสู่แดนที่สูงขึ้น สักวันเขาคงต้องเดินทางออกไปจากโลกแสงดาวนี้
แต่หลังจากที่หลัวซิวฝึกฝนตนสำเร็จแล้ว ยังคงมีไท่เสวียนซึ่งบัดนี้ได้ก้าวไปสู่แดนศักดิ์สิทธิ์ โดยมีหลัวซิวนั่งอยู่สูงสุด สามารถขนานนามได้ว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแรกบนโลกนี้!
แม้ว่าสักวันที่หลัวซิวจากไป ความน่าเกรงขามของไท่เสวียนก็ยังคงโด่งดังเช่นเดิม พัฒนาเติบโตอย่างรวดเร็ว สามารถกดขี่แดนศักดิ์สิทธิ์อื่นได้
เหตุการณ์เช่นนี้ คงไม่มีใครอยากเห็นมันในแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน
ในขณะนี้หลัวซิวซึ่งอยู่หน้าตำหนักวัฏสงสาร ได้ก้าวขึ้นไปบนอากาศ เดินไปด้านหน้าของเทวเทพ 10,000 ฟุตนั้น
เขามิได้กล่าวสิ่งใดออกมา นิ้วของเขาชี้ขึ้นไปในอากาศ จากนั้นก็มีลำแสงพุ่งมายังเทวเทพนี้
“เขากำลังทำเครื่องหมายร่องรอยกฎหรือ?”
“เขาจะทำเทวเทพนี้ให้กลายเป็นอาวุธหรือ?”
ท่าทางของอาจารย์เทพมารในแดนศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนไปทันที ใบหน้าของทุกคนที่มองไปทางเทวเทพนี้ไม่น่าดูนัก
เนื่องจากเทวเทพนี้ทำจากสมบัติวิเศษระดับมหาจักรพรรดิ จึงเป็นไปไม่ได้ที่ไท่เสวียนจะมีทรัพยากรทางเงินทองมากมายเช่นนี้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นทรัพยากรที่รวบรวมมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
สามารถกล่าวโดยไม่ลังเลได้ว่า หากเทวเทพนี้ถูกสังเวยเพื่อเป็นสมบัติวิเศษระดับมหาจักรพรรดิ สามารถสังเวยได้หลายสิบชิ้น วัสดุที่ใช้คงต้องใจหาย
อย่างไรก็ตาม สมบัติวิเศษระดับมหาจักรพรรดิไม่ถึงระดับเทพมารได้ แม้ว่าพวกเขาจะสังเวยและปรับแต่งเป็นอาวุธ แต่ก็ไม่สามารถแข่งขันกับอาวุธเทพมารได้ เหตุใดหลัวซิวจึงต้องทิ้งร่องรอยกฎเอาไว้?
“บูม!”
ขณะที่หลัวซิวกำลังวาดร่องรอยกฎมากขึ้นเรื่อย ๆ เทวเทพหมื่นฟุตนั้นก็ดูเหมือนจะฟื้นคืนชีพขึ้นมา รัศมีอันทรงพลังแผ่ไหลออกมาอย่างแข็งแกร่ง
รัศมีนี้ทำให้ทุกคนในแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์รู้สึกกดดันอย่างมาก ราวกับว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับจักรพรรดิผู้อยู่ยงคงกระพัน!
แม้ว่าเทพมารจะสัมผัสได้ถึงรัศมีนี้ แต่พวกเขาก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ราวกับว่าเห็นคนที่มีระดับการฝึกฝนไม่ดีเท่าตนเอง แต่กลับมองลงมาที่พวกเขาด้วยดวงตาราวจักรพรรดิมองเห็นสามัญชน
หลังจากนั้นไม่นานหลัวซิวก็เสร็จสิ้นสังเวย แสงของเทวเทพพร่างพรายมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ระยะห่างไกลออกไปหลายพันลี้ก็สามารถเห็นแสงเรืองรองที่นี่ได้
ร่องรอยสุดท้ายของกฎ หลัวซิววาดมันลงบนคิ้วของเทวเทพ 10,000 ฟุตนี้ วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพขนาดเล็กอันงดงามปรากฏขึ้น ทั้งสองขั้วรวมเป็นหนึ่งเดียว รัศมีของพลังเทพดั้งเดิมก็เกิดขึ้น
“เทพมาร……”
สายตาของอาจารย์เทพมารแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างก็เปลี่ยนสี แม้ว่าจะเป็นเทวเทพเทพที่ทำจากสมบัติวิเศษระดับมหาจักรพรรดิ แต่ก็มีรัศมีของเทพมารที่แท้จริง ด้วยวิธีการของหลัวซิว เรียกได้ว่าสามารถน่าประหลาดใจยิ่งนัก ทำให้เทวเทพนี้ให้กลายเป็นสมบัติอันล้ำค่าได้
“บูม……”
ทันใดนั้นเทวเทพหมื่นฟุตก็ขยับ แขนข้างหนึ่งยกขึ้นช้า ๆ และสำนักผู้คุมกฎทั้งสิบแปดแห่งของสำนักเขาไท่เสวียนก็บินเข้าไป และตกลงบนฝ่ามือนั้น
ต่อมา ตำหนักเก่าแก่ทั้งสามก็บินขึ้นไปเช่นกัน มันห้อยอยู่ที่เอวของเทวเทพ ปรากฏอยู่ในเมฆให้เห็นเป็นครั้งคราว
มีเพียงตำหนักวัฏสงสารเท่านั้นที่ฝังอยู่ระหว่างคิ้วของเทวเทพนี้ราวกับรอยจารึก
หลังจากการสังเวยของหลัวซิวด้วยร่องรอยกฎ ทุกคนที่เผชิญกับเทวเทพนี้ รู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับเทพมารอันทรงพลัง
สาเหตุของความรู้สึกนี้มาจากการรับรู้ของหลัวซิวเกี่ยวกับกฎชีวิตดั้งเดิม