ทางสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินมิได้ห้ามไม่ให้ทำเช่นนี้ ถึงอย่างไรบัญชาอมตะก็เป็นของที่ผู้อาวุโสในสำนักประทานให้ การจะใช้งานอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับความประสงค์ของศิษย์ตน
เขตการค้าในคูเมืองคึกคักอย่างมาก หลัวซิวเช่าแผงขายของมาได้หนึ่งแผงด้วยแก้วเทวชั้นล่างหนึ่งพันชิ้น
แผงขายของของคนอื่นวางเต็มไปด้วยสมบัติที่สวยงามมากมายหลากหลาย มีวัตถุดิบที่ใช้กลั่นอาวุธ และยาวิเศษ ยาเซียน รวมไปถึงสมุนไพรเพิ่มพลังต่าง ๆ นานา
ส่วนแผงขายของของหลัวซิวกลับโล่งเปล่ามาก มีแค่บัญชาอมตะชิ้นเดียว
“บัญชาอมตะ?”
“พระเจ้า มีคนมาขายบัญชาอมตะด้วยอย่างนั้นหรือ?”
“รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาคนขายบัญชาอมตะนั่นจัง นั่นมันศิษย์ที่ผู้อาวุโสหวู่หยาเพิ่งรับเข้าสำนักมิใช่หรือ?”
“ได้ยินมาว่าถ้าเลื่อนขั้นเป็นศิษย์ใจกลางแล้วจะได้รับบัญชาอมตะหนึ่งชิ้นเป็นของขวัญ นึกไม่ถึงเลยว่าหมอนั่นจะเอามันมาขายอย่างนั้นหรือ ไม่เอาไหนเกินไปหรือเปล่า?”
ทันทีที่บัญชาอมตะปรากฏ ก็กลายเป็นข่าวฮือฮาไปทั่วเขตการค้า แม้กระทั่งเจ้าของแผงจำนวนมากก็ต่างตกตะลึงไปด้วย ต่างพากันเก็บแผงของตนแล้วพุ่งตรงมาทางนี้
คนจำนวนมากเริ่มเอ่ยปากถามถึงวิธีการซื้อบัญชาอมตะนี้ หลัวซิวก็ไม่ได้ค่อย ๆ ตอบคำถามของทุกคน แต่เป็นการหยิบป้ายป้ายหนึ่งออกมา ซึ่งเนื้อหาที่เขียนติดอยู่บนป้ายคือสมบัติที่ตัวเองต้องการ
สมบัติที่เขาต้องการล้วนเป็นสมุนไพรเพิ่มพลังต่าง ๆ มียาเซียนที่ต้องใช้ในการกลั่นยาเซียนระดับ 1 และมีจิตฟ้าดินAttrต่าง ๆ รวมไปถึงของพิสดารล้ำค่าที่ใช้ในการฝึกวิชาบรรพเทพโลหิต
“บัญชาอมตะนั่นเป็นของข้าล่ะ!”
ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงที่ใสและเย็นชาดังขึ้น ผู้คนที่มุมอยู่หน้าแผงหลัวซิวต่างพากันหลีกทางออกไป หญิงชุดกระโปรงฟ้าที่หน้าตางดงามมากจนเป็นฉนวนที่ทำให้บ้านเมืองล่มสลายเดินตรงเข้ามาด้วยลักษณะท่าทางที่อ่อนช้อยงดงาม
หญิงชุดกระโปรงฟ้าผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน นางก็คือสาวจองหองที่ถูกหลัวซิวใช้ตราเปิดฟ้าโจมตีจนกระเด็นออกไปในตอนนั้นนั่นเอง
หญิงชุดกระโปรงฟ้าผู้นี้มีนามว่าจางเสี่ยวหลิน เป็นลูกศิษย์ของซุ๋นซินเหลียน เล่ากันว่านางเป็นสตรีที่มีร่างแห่งไม้เสวียนพิเศษ อายุเพียง 20 กว่าก็ฝึกตนจนถึงแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 แล้ว มีโอกาสสูงมากที่จะบรรลุถึงแดนเทพมารภายในเวลา 5 ปี
แค่แวบเดียวจางเสี่ยวหลินก็จำหน้าหลัวซิวได้แล้ว แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด: “อาจารย์ลุงหวู่หยารับเจ้าเป็นศิษย์ นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะขายบัญชาอมตะที่อาจารย์ลุงประทานให้เจ้า น่าขำชะมัด!”
“ข้าจะทำอย่างไรแล้วมันเกี่ยวข้องกับเจ้าหรือ หากเจ้าใคร่ซื้อก็ซื้อ ไม่ซื้อก็ไสหัวไปซะ”
สำหรับสตรีที่เย่อหยิ่งจองหองและมั่นใจในตัวเองสูงผู้นี้ แค่เห็นหน้านางหลัวซิวก็รู้สึกรำคาญใจแล้ว
“เจ้าบอกให้ข้าไสหัวไปอย่างนั้นหรือ?”
จางเสี่ยวหลินหัวเสียจนร่างที่อ่อนช้อยสั่นระริก นางเป็นสตรีผู้ภาคภูมิของสวรรค์ในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมิน เคยมีผู้ใดบังอาจพูดจาเช่นนี้กับนาง?
ต่อให้เป็นศิษย์สนิทในเชื้อสายเจ้าศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องทำตัวเกรงอกเกรงใจต่อนาง วัยรุ่นหนุ่มในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินที่รักใคร่ชื่นชมตนก็มีเยอะราวกับเม็ดทรายในมหาสมุทร
“เจ้ากล้าพูดอีกหนหรือไม่?”จางเสี่ยวหลินพูดด้วยอารมณ์ที่โกรธเคือง กระบี่ยุทธ์เล่มหนึ่งลอยขึ้นเหนือหัวนาง มีรังสีกระบี่ที่เฉียบคมและดุดันเปล่งประกาย
หลัวซิวหัวเราะอย่างดูหมิ่น“อย่าได้สำคัญตัวเองมากนัก ประมือกับข้ามีแต่จะทำให้เจ้าอับอายขายหน้าเอง”
หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นศิษย์ของซุ๋นซินเหลียน หลัวซิวเบื่อที่จะเสวนากับนางด้วยซ้ำ
จางเสี่ยวหลินรู้สึกโกรธจนไม่อาจยกโทษให้หลัวซิว นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกคนอื่นดูถูกดูแคลนในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมิน
แต่นางก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าที่หลัวซิวกล่าวมานั้นเป็นความจริง แม้แต่ศิษย์พี่หลิงเฟิงยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ตัวเองไม่สามารถเอาชนะไอ้คนน่าเกลียดน่าชังคนนี้ได้เลยด้วยซ้ำ
แม้ว่าไอ้หมอนี่ที่อยู่ตรงหน้าจะเอาชนะศิษย์พี่หลิงเฟิงได้โดยที่ผลการฝึกตนของทั้งสองอยู่ในแดนเดียวกัน หลิงเฟิงตั้งใจกดอัดผลการฝึกตนลงไปที่แดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2 แต่เมื่อนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ตนถูกหมอนี่ใช้วิชาตราประทับโจมตีจนกระเด็นออกไป จางเสี่ยวหลินก็ทราบแล้วว่าต่อให้ผลการฝึกตนของตัวเองจะอยู่ที่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถเอาชนะเขาได้เสมอไป
เมื่อคิดเช่นนี้ได้ จางเสี่ยวหลินจึงระงับความโกรธที่อยู่ในใจลงไป เลื่อนสายตาลงไปที่บัญชาอมตะที่วางอยู่บนแผง