เมื่ออยู่ที่นี่ หลัวซิวสามารถสัมผัสได้ถึงออร่าที่ยิ่งใหญ่จนมิอาจคาดเดาได้ ตลบไปทั่วทุกสารทิศบนท้องฟ้าอันว่างเปล่า ทำให้ตัวสำนึกระดับเทพมารขั้น 2 ของเขาถูกกดอัดรุนแรงมาก แค่สามารถแสดงตัวสำนึกระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 9 ออกมาได้
ซึ่งนี่คือกฎในโลกเซียนเสวียนเทียน ไม่ว่าผลการฝึกตนของเจ้าจะอยู่ระดับใด ล้วนถูกกดอัดลงมาที่ระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นตัวสำนึกวิญญาณหรือร่างยุทธ์ร่างเนื้อ รวมไปถึงบำเพ็ญบู๊
มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ไม่ถูกกดอัด นั่นก็คือการตระหนักรู้และแดนของตัวนักยุทธ์เอง และนี่ก็เป็นมาตรฐานในการวัดความแข็งแกร่งและความอ่อนแอเมื่ออยู่ภายใต้แดนเดียวกันนั่นเอง
หลังจากที่ทุกคนเข้าไปในโลกเซียนเสวียนเทียนแล้วจะแยกออกจากกัน มีเพียงนักยุทธ์บางส่วนที่มาจากสำนักเดียวกันเท่านั้นที่รวมตัวกัน จนประกอบเป็นกลุ่ม ๆ แล้วออกไปฝึกฝนสั่งสมประสบการณ์เป็นหมู่เล็ก ๆ
โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่รวมตัวกันฝึกฝนและตามหาสมบัตินั้น ล้วนเป็นผู้ที่มีผลการฝึกตนและศักยภาพไม่ต่างกันมากนัก ในส่วนของเหล่ายอดฝีมือที่มีผลการฝึกตนและศักยภาพสูงนั้น ต้องไม่มีทางอยากร่วมมือกับคนอ่อนเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
ภายในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมิน หลัวซิวไม่ได้รู้จักและสนิทกับผู้คนเยอะมากนัก และซุ๋นหวู่หยาที่เป็นอาจารย์ในนามของเขานั้นคือผู้แข็งแกร่งระดับเทพมาร หลังจากที่เข้ามาในโลกเซียนเสวียนเทียน เขาก็หายตัวไปเลย ไม่รู้ว่าไปที่ใดแล้ว
ด้วยเหตุนี้หลังจากที่หลัวซิวเข้ามาในโลกเซียนเสวียนเทียน สิ่งแรกที่เขาทำคือสำรวจสภาพแวดล้อมรอบตัว ก่อนจะรีบกลายร่างเป็นแสงกลหายไปจากขอบฟ้า
“ถึงกับกล้าปฏิบัติการคนเดียวอย่างนั้นหรือ?”
สายตาอันเยือกเย็นคู่หนึ่งได้จ้องเขม็งไปในทิศทางที่หลัวซิวบินจากไป และเจ้าของสายตาคู่นี้ก็คือศิษย์พี่ใหญ่แห่งเขาสุดหล้า หลิงเฟิง!
เพื่อรักษาตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองเอาไว้ ตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน เขาก็เริ่มวางแผนหาโอกาสกำจัดหลัวซิวหลังจากที่เข้ามาในโลกเซียนเสวียนเทียนแล้ว
หากหลัวซิวฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์พร้อมกับคนอื่น ๆ ในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินละก็ จะทำให้เขาลงมือได้ยาก แต่หลัวซิวกลับปฏิบัติการคนเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้มันกลับทำให้หลิงเฟิงลงมือได้สะดวกมากยิ่งขึ้น!
“แม้สู้โดยอยู่ในแดนเดียวกันแล้วเจ้าจะเก่งกว่าข้า แต่ท้ายที่สุดเจ้าก็เป็นแค่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 2 เท่านั้น ส่วนผลการฝึกตนของข้านั้นอยู่ที่มหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 8 เมื่ออยู่ในโลกเซียนเสวียนเทียน ข้าจะไม่ได้รับผลกระทบจากการกดอัดใด ๆ มีกำลังรบเทียบทัดกับเทพมาร!”
หลิงเฟิงเหาะเหินเดินฟ้าในทันที ไล่ตามไปในทิศทางที่หลัวซิวจากไป หัวเราะอย่างเยือกเย็นในใจ: “มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพมาร เมื่ออยู่ในโลกเซียนเสวียนเทียนแล้ว ก็ใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าเสมอไป หลัวซิว ครั้งนี้เจ้าต้องได้ตายแน่นอน!”
พื้นที่ภายในโลกเซียนเสวียนเทียนกว้างใหญ่ไพศาลมาก หลัวซิวบินออกไปหลายหมื่นไมล์แล้ว ก่อนจะพบว่าฟ้าดินบริเวณนี้อัดแน่นไปด้วยปราณทิพย์ที่เข้มข้น มากกว่านั้นคือปราณทิพย์บริเวณนี้เข้มข้นกว่าเขตศูนย์กลางในสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเหมินเสียอีก
“น่าเสียดายที่อยู่ในนี้ได้แค่ปีเดียวเท่านั้น หากฝึกตนอยู่ในสถานที่เช่นนี้ยาว ๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผลการฝึกฝนและการเลื่อนขั้นจะเร็วถึงขั้นใด”
ตัวสำนึกสัมผัสได้ว่าบริเวณรอบ ๆ ไร้ซึ่งผู้คน หลัวซิวจึงลงมาจากฟ้า ปรากฏอยู่กลางป่าเขาแห่งหนึ่ง
“ตู้มม!”
ทันใดนั้น ธรณีก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เงามืดที่ใหญ่โตมโหฬารแผ่คลุมลงมา
หลัวซิวรีบเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นเพียงยักษ์ที่สูงตระหง่านร่างหนึ่งกำลังเดินมาจากที่ไกล ทุกย่างก้าวของมันทำให้ธรณีและภูเขาสั่นสะเทือน ออร่าที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่บีบรัดจนมิติบิดเบี้ยว อานุภาพน่าทึ่งอย่างมาก
และสิ่งที่ทำให้หลัวซิวรู้สึกช็อกมากที่สุดคือ ร่างกายทุกส่วนของยักษ์ตัวนี้ล้วนหลอมมาจากแก้วเทว เหมือนดั่งแก้วเทวร่างมนุษย์ตนหนึ่งยังไงอย่างนั้น
“พระเจ้า หรือว่าแก้วเทวฝึกตนจนกลายเป็นปีศาจแล้ว?”หลัวซิวอ้าปากค้างอย่างตะลึงงัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเจอปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้
ยักษ์แก้วเทวตัวนี้มีความสูงอย่างน้อยสามพันเมตร แก้วเทวที่ใหญ่โตมโหฬารเช่นนี้ หากสามารถกลั่นแปรมันได้ละก็ หลัวซิวเชื่อมั่นว่าสามารถทำให้ผลการฝึกตนของตัวเองเพิ่มขึ้นหนึ่งถึงสองแดนเล็ก ๆ เลย
“โครมม!”
ทันใดนั้นเอง แสงกระบี่หนึ่งก็ลอยออกมาจากป่าไม้ โจมตีเข้ากับส่วนศีรษะของยักษ์แก้วเทวอย่างรวดเร็วและดุดัน ทำให้มีประกายไฟที่นับไม่ถ้วนแตกกระจายออกมา