“ขอบใจเจ้ามากนะ”ช่าจื่อเยียนพยักหน้า“เจ้ามาถึงโลกเสวียนเทียนตั้งแต่เมื่อใดหรือ?”
“ตั้งแต่กลับมาจากโลกแสงดาวเกณฑ์กฎ ทราบมาว่าผู้อาวุโสจากไปแล้ว หลังจากที่จัดแจงเรื่องราวในสำนักเสร็จ ข้าก็เดินทางมาที่นี่เลยขอรับ”
หลัวซิวเอ่ยปากพูด“แต่ทว่าหลังจากที่ข้ามาถึงโลกเสวียนเทียน ก็ทราบว่าสำนักเทียนช่าประสบกับความเคราะห์ร้าย ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขอรับ?”
ช่าจื่อเยียนหัวเราะอย่างขมขื่น นางไม่ได้ตอบกลับคำถามนี้ แต่ทว่าหลัวซิวก็พอจะเดาได้อยู่ว่าเป็นเพราะใจแห่งศุภร
เขารู้สึกผิดอยู่ในใจมาก ๆ แต่กลับไม่สามารถบอกกับนางได้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองเป็นคนเอาใจแห่งศุภรไปเอง
“ถ้าหากครานั้นข้ารู้ว่าเอาใจแห่งศุภรไปแล้วจะทำให้สำนักเทียนช่าและผู้อาวุโสช่าจื่อเยียนประสบพบเจอกับเคราะห์ร้ายเช่นนี้ บางทีข้าอาจจะไม่ไปแตะต้องใจแห่งศุภรแล้ว”
เรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วไม่มีทางย้อนเวลากลับไปได้ หลัวซิวก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าการเอาใจแห่งศุภรไป จะส่งผลให้ผลที่ตามมานักหนาเช่นนี้
มิเช่นนั้น ต่อให้เขารู้ว่าใจแห่งศุภรเป็นสมบัติที่ล้ำค่ามาก ๆ เขาก็ไม่มีทางไปแตะต้องมัน
แต่ท้ายที่สุดของก็เอามาแล้ว และส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในภายหลัง ทุกสิ่งทุกอย่างจึงทำได้เพียงปล่อยให้เป็นไปตามชะตาลิขิต
“เสี่ยวเจียงหมิงอยู่กับเจ้าหรือ?”
เมื่อได้ยินหลัวซิวพูดว่าเขาช่วยชีวิตเสี่ยวเจียงหมิงไว้ที่เขามังกรบิน แววตาที่หม่นหมองลงในตอนแรกของช่าจื่อเยียน ก็ดูตื่นเต้นดีใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
ถึงแม้เสี่ยวเจียงหมิงจะไม่ใช่น้องชายแท้ ๆ ของนาง แต่นางไม่มีพ่อแม่ตั้งแต่เล็ก จ้าวเซียนเทียนช่าเป็นผู้รับเลี้ยงนาง นางจึงปฏิบัติต่อเสี่ยวเจียงหมิงเหมือนน้องชายแท้ ๆ ของตัวเองมาโดยตลอด
ครั้นเมื่อเสี่ยวเจียงหมิงถือกำเนิดขึ้นมายังโลกใบนี้ นางยังอยู่โลกมนุษย์ แต่ทว่าทั้งสองเพิ่งพบหน้ากันไม่นาน สำนักเทียนช่าก็ได้ประสบพบเจอกับภัยพิบัติแห่งการล่มสลาย
หลัวซิวเรียกเตาเทพออกมา มีลำแสงหนึ่งส่องออกมาจากเตาเทพสาดลงบนพื้นดิน เขาทำการปล่อยเสี่ยวเจียงหมิงออกมาจากเตาเทพ
“ท่านพี่?”
เสี่ยวเจียงหมิงขยี้ตาอย่างเบลอ ๆ เมื่อเห็นหน้าช่าจื่อเยียน ใบหน้าที่เล็กน้อยก็มีความตะลึงงันปรากฏ
จากนั้นดวงตาเขาก็แดงก่ำขึ้นมาอย่างรวดเร็ว กระโจนเข้าไปในอ้อมอกช่าจื่อเยียนในทันที ร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง“ท่านพี่ เราไม่เหลือใครแล้ว ท่านอาท่านลุงและท่านพ่อท่านแม่ก็เสียชีวิตหมดแล้ว……”
อารมณ์ของช่าจื่อเยียนคล้อยไปตามอารมณ์ของเสี่ยวเจียงหมิง มีน้ำตาไหลพรากลงมาจากดวงตาทั้งสองข้างเช่นกัน สำนักเทียนช่าคือบ้านของนาง แต่ปัจจุบันนางไม่มีบ้านให้กลับไปแล้ว
หลัวซิวอยู่ในตำแหน่งที่ห่างออกไปไม่ไกล มองดูพี่น้องทั้งสองคนที่พึ่งพาอาศัยกัน เขาก็รู้สึกทุกข์ระทมเล็กน้อย
“หากพวกเขารู้ว่าการล่มสลายของสำนักเทียนช่าล้วนเกิดจากฝีมือข้า พวกเขาจะเกลียดข้าหรือไม่?”
หลัวซิวนึกคิดอยู่ในใจ หากสำนักที่ถูกล้มล้างไม่ใช่สำนักเทียนช่า แต่เป็นคนสนิทและสหายในสำนักไท่เสวียน เขารู้สึกว่าตัวเองต้องไม่สามารถให้อภัยผู้ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดได้แน่นอน
และเป็นเพราะคิดเช่นนี้ได้ เพราะฉะนั้นหลัวซิวจึงไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้เช่นกัน และยิ่งรู้สึกผิดต่อเสี่ยวเจียงหมิงกับช่าจื่อเยียนมากขึ้น
“ผู้อาวุโส บาดแผลของท่านนี่ไปได้แต่ใดมาขอรับ?”หลัวซิวเดินขึ้นไปถาม
ถึงอย่างไรช่าจื่อเยียนก็ฝึกตนจนเป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารขั้นสูงแล้ว ถึงแม้ปัจจุบันผลการฝึกตนของนางจะลดลง แต่ทว่าสภาพจิตใจและสติปัญญายังคงอยู่ นางปรับสภาพจิตใจสภาพอารมณ์ที่ไม่แน่วแน่ให้กลับมาสงบได้อย่างรวดเร็ว
“ในเมื่อเจ้าชี้แนะวิธีการเพ็ญตนให้แก่น้องชายข้า เขาก็เรียกเจ้าว่าอาจารย์พี่ ระหว่างเจ้าและข้าก็มิต้องถือสากันมากนัก หากเจ้ายินดี ก็เรียกข้าว่าพี่จื่อเยียนเถิด”ช่าจื่อเยียนอมยิ้มพลางพูด
การปรากฏของเสี่ยวเจียงหมิง ทำให้จิตใจที่หม่นหมองไปแล้วของนางกลับมาเปล่งปลั่งใหม่อีกครั้ง มีความสง่างามและน้ำใจไมตรีของเทวทูตจื่อเยียนในอดีตฟื้นคืนมาเล็กน้อย
“พี่จื่อเยียน……”หลัวซิวรีบเรียกในทันที ไม่ปฏิเสธข้อเสนอนี้แต่อย่างใด
ช่าจื่อเยียนยิ้มพลางพยักหน้า ก่อนที่นางจะรีบตอบกลับ: “สภาพอาการบาดเจ็บของข้าค่อนข้างสาหัส ถูกผู้แข็งแกร่งเทพฟ้าคนหนึ่งโจมตีจนช่องจิตแตกสลาย หากไม่ใช่เพราะข้ายึดกุมเคล็ดวิชาหนึ่งละก็ เกรงว่าจิตวิญญาณของข้าคงตายหายไปจากโลกนี้ตั้งนานแล้ว”